วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 29, 2568

เปิดคำแถลง “ธงชัย วินิจจะกูล” กรณียื่นคำร้องขอศาลไต่สวนการใช้เครื่องพันธนาการกับ อานนท์ นำภา ย้ำ “กุญแจเท้าต้องใช้เป็นกรณียกเว้นเท่านั้น”


โดย CrCF มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
28 พฤษภาคม, 2025

เปิดคำแถลง “ธงชัย วินิจจะกูล” กรณียื่นคำร้องขอศาลไต่สวนการใช้เครื่องพันธนาการกับ อานนท์ นำภา ย้ำ “กุญแจเท้าต้องใช้เป็นกรณียกเว้นเท่านั้น”

28 พฤษภาคม 2568

เรียน ท่านสื่อมวลชนและสาธารณชนที่สนใจ

ผมได้แสดงความวิตกมาหลายครั้งเกี่ยวกับระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่มีปัญหาและควรจะต้องปฏิรูปหรือยกเครื่องครั้งใหญ่ รวมทั้งที่เกี่ยวกับนักโทษการเมือง โดยเฉพาะการไม่ให้ประกันตัว เหล่านี้ยังเป็นปัญหาสำคัญมากๆ

อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมที่มักถูกมองข้ามคือ การราชทัณฑ์และเรือนจำ รวมทั้งปัญหาที่น่าจะแก้ไขได้ไม่ยากก็กลับไม่มีการปรับปรุงแก้ไขแต่อย่างใด เช่น การใส่เครื่องพันธนาการผู้ต้องหา

นอกเหนือจากข้อกฎหมายต่าง ๆ ว่า การใส่ตรวน/กุญแจเท้าขัดต่อกฎหมายอะไรอย่างไรบ้าง รวมทั้งขัดต่อ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ตามที่ทนายและนักกฎหมายได้อธิบายแล้วนั้น

ในฐานะคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์

ตามประวัติเกี่ยวกับเครื่องพันธนาการในระบบราชทัณฑ์ไทยที่บัญญัติใน พ.ร.บ. ราชทัณฑ์หลายฉบับตลอดร้อยปีที่ผ่านมา (นับตั้งแต่ 2461 มาจนถึงฉบับล่าสุด 2560) เราทราบว่าในยุคต่างๆ เครื่องพันธนาการเปลี่ยนแปลงไปเพื่อลดทอนการทรมานผู้ต้องหา ลดความป่าเถื่อนโหดร้าย ไม่เหมาะสมกับความเป็นมนุษย์ของนักโทษ จากโซ่หนักเส้นใหญ่ถึงเส้นเล็กลงเบาลง จากตรวนวงแหวนเหล็กถึงกุญแจข้อเท้า

บางช่วง ยกเลิกโซ่ตรวนที่ขาและข้อเท้า พันธนาการของผู้ต้องหาออกจากเรือนจำมีเพียงกุญแจมือเท่านั้น บางช่วงผู้ต้องขังที่ยังไม่ต้องคำพิพากษาถึงที่สุด ไม่ต้องใส่เครื่องพันธนาการด้วยซ้ำ

แต่การใส่เครื่องพันธนาการยังคงอยู่มาจนทุกวันนี้ด้วยเหตุผลเดียวเหมือนเดิมตลอดร้อยปี คือ ป้องกันการหลบหนี

กฎหมายแทบทุกฉบับให้ผู้ควบคุมมีอำนาจใช้ดุลพินิจใส่เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องขังบางรายได้ แล้วแต่กรณี แต่บางช่วง (รวมถึงปัจจุบัน) เหมารวมไปหมดว่าผู้ต้องหาอาจจะหลบหนี ทั้งยุ่งยากต่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ จึงให้ใส่เครื่องพันธนาการทุกราย การเหมารวมเช่นนี้เท่ากับทำให้ข้อยกเว้นกลายเป็นแนวปฏิบัติทั่วไป เป็นการเหมารวมอย่างโหดร้ายไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ไม่สนใจกับมนุษยธรรมและความเป็นมนุษย์ของนักโทษส่วนใหญ่ เอาปัญหาที่เกิดจากนักโทษจำนวนน้อย นาน ๆ สักครั้งหนึ่ง และความสะดวกไม่สะดวกของเจ้าหน้าที่มาเป็นเหตุผลที่ก่อให้เกิดความการปฏิบัติอย่างโหดร้ายกับนักโทษอื่นๆทั้งหมดเช่นนี้จึงย่อมไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง

ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่มาร่วมฟังการพิจารณาคดีของอานนท์

ผมมีโอกาสไปฟังการพิจารณาคดีของอานนท์ก่อนหน้านี้ 3 – 4 ครั้ง ทุกครั้งจะเห็นเขาถูกล่ามด้วยกุญแจข้อเท้าและโซ่ตรึงขาสองข้างไว้ให้เดินไม่ถนัด และไม่ให้ใส่รองเท้า แม้กระทั่งในวันที่เขาทำหน้าที่ทนาย อานนท์ก็อยู่ในชุดนักโทษมีกุญแจข้อเท้า มีโซ่ล่ามและไม่สวมรองเท้าเช่นกัน ภาพที่เห็นน่าเวทนาและรู้สึกกระทบความรู้สึกว่าทำไมถึงต้องปฏิบัติต่อคนที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเช่นนั้น

อานนท์เป็นทนายความ มีความรู้ความสามารถสูง เป็นที่เคารพของผู้คนจำนวนมาก เป็นบุคคลสาธารณะซึ่งเรารู้จักกันดีว่าสุภาพน่านับถือ เขามิได้มีพฤติกรรมพยายามหลบหนี มิได้ประพฤติผิดทำร้ายใคร ไม่มีอำนาจและมิได้ใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือมิชอบอย่างอีกหลายคนที่ลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคม คนแบบนี้สมควรจะได้รับการยกย่อง ไม่ใช่ปฏิบัติต่อเขาราวกับไม่ใช่มนุษย์เต็มคน

ผมมีความเห็นร้องต่อศาลไปว่า

หนึ่ง พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ทุกฉบับ รวมทั้งฉบับ พ.ศ. 2560 ที่ใช้ปัจจุบัน มาตรา 21 บัญญัติห้ามใช้เครื่องพันธนาการแก่ผู้ต้องขัง เว้นแต่เพียงบางกรณี เช่น เมื่อผู้ต้องขังถูกคุมตัวไปนอกเรือนจำและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ควบคุมเห็นเป็นการสมควรที่จะต้องใช้เครื่องพันธนาการ จะเห็นได้ว่าเจตจำนงของกฎหมายห้ามใช้เครื่องพันธนาการ แต่ให้ใช้ได้เป็น “ข้อยกเว้น” เท่าที่จำเป็น เช่น กรณีนักโทษอุกฉกรรจ์ หรือสงสัยหรือมีประวัติพยายามหลบหนี นักโทษส่วนข้างมากมิได้มีพฤติกรรมหรือประวัติเช่นนั้น และมิได้มีข้อหาหรือประกอบอาชญากรรมอย่างอุกฉกรรจ์แต่อย่างใด แต่ทว่า ทุกวันนี้การใส่เครื่องพันธนาการได้กลายเป็นแนวปฏิบัติอย่างเป็นปกติ สำหรับแทบทุกกรณีเมื่อออกจากเรือนจำ มิใช่ข้อยกเว้นอีกต่อไป จึงน่าจะถึงเวลาแล้วที่การใส่เครื่องพันธนาการควรจะเป็นเพียงข้อยกเว้นตามเจตจำนงของกฎหมาย ไม่ใช่แนวปฏิบัติตามปกติ จนต้องมาร้องเรียนให้ปลดพันธนาการเป็นกรณียกเว้น

สอง ความวิตกว่าผู้ต้องหาอาจหลบหนีนั้น โดยสถิติและโดยสามัญสำนึก เป็นไปได้น้อยมาก เพียงไม่กี่คดี การเหมารวมว่านักโทษส่วนใหญ่พยายามหลบหนีจึงต้องพันธนาการย่อมไม่ถูกต้อง เป็นการเหมารวมที่โหดร้าย ยิ่งไปกว่านั้นการหลบหนีมักเกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือมีผู้ช่วยเหลือ เจ้าที่ราชทัณฑ์เกือบทั้งหมดปฏิบัติหน้าที่อย่างสุจริต ย่อมเพียงพอที่จะไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าวได้ง่ายๆ ในเมื่อการหลบหนีเป็นเพียงข้อยกเว้น การพันธนาการก็ควรเป็นข้อยกเว้นในกรณีเพื่อความปลอดภัยในห้องพิจารณาคดีแค่นั้น

กรณีอานนท์นั้น ไม่ปรากฏว่าพฤติกรรมหรือประวัติที่พึงสงสัยหรือมีประวัติพยายามหลบหนีแต่อย่างใด

สาม ท่านผู้พิพากษาบนบัลลังก์ ท่านอัยการผู้ฟ้อง ทนาย และวิญญูชนในห้องพิจารณาคดีล้วนเป็นอารยชนที่เข้าใจดีด้วยสามัญสำนึกว่าการปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยกันอย่างป่าเถื่อนเป็นอย่างไร น่าเวทนาน่ารังเกียจขนาดไหน การพันธนาการนักโทษซึ่งส่วนใหญ่มิได้คิดหรือมีพฤติกรรมจะหลบหนี ย่อมเป็นที่กระทบกระเทือนต่อจิตใจของอารยชนอย่างเราท่านแน่นอน แล้วทำไมจึงจะต้องสืบทอดการปฏิบัติอันป่าเถื่อนเช่นนั้นต่อไป ยิ่งผู้ถูกพันธนาการเป็นบุคคลน่าเคารพยกย่องอย่างนายอานนท์ นำภา เรายิ่งน่าจะฉุกคิดว่าแนวปฏิบัติเหมาะสมหรือไม่ ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องทบทวนแนวปฏิบัติที่ไม่เหมาะสม

สี่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแสดงพระราชดำริชัดเจนว่าเหตุผลที่ยกเลิกการสอบสวนและลงโทษแบบจารีตนครบาลเมื่อ พ.ศ. 2439 นั้น เพราะแนวปฏิบัติดังกล่าวไม่ศิวิไลซ์ ไม่มีอารยธรรม ในสายตาของนานาชาติ ซึ่งพระองค์ทรงเห็นด้วย การใส่กุญแจเท้าพันธนาการแม้กระทั่งในศาล จึงเป็นสิ่งไม่สมควรด้วยเหตุผลทำนองเดียวกับที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้าได้แสดงไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว

ห้า อานนท์เป็นบุคคลที่สังคมนานาชาติให้ความน่าเชื่อถืออย่างมาก เขาได้รับรางวัลระดับโลกหลายรางวัล เช่นรางวัลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยจากเกาหลีใต้เมื่อปี 2564 ล่าสุดเขาได้รับรางวัลนานาชาติ Front line Defenders Award 2568 ดังนั้นคดีของเขาย่อมอยู่ในสายตาของนานาชาติจำนวนมาก การที่เขาถูกใส่พันธนาการทุกครั้งที่เขามาออกศาล ย่อมเป็นที่รับรู้จับจ้องมองเห็นจากสายตาจำนวนมากทั่วทั้งโลก จึงไม่เป็นผลดีต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยแต่อย่างใด

จึงขอให้ศาลทำการไต่สวนเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมนายอานนท์ นำภา ว่ามีเหตุผลอย่างไรจึงจำเป็นต้องใส่เครื่องพันธนาการในกรณีนี้ ซึ่งเป็น “ข้อยกเว้น” ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560

การยื่นคำร้องในครั้งนี้ กระทำต่อคดีอานนท์ นำภา เพราะเป็นการดำเนินการผ่านทางศาลจึงต้องเป็นเฉพาะกรณี แต่เราหวังว่าการขอให้ศาลทำการไต่สวนเจ้าหน้าที่ฯ เช่นนี้ จะเป็นทางออกในทางปฏิบัติที่เป็นคุณต่อผู้ต้องขังทุกคนทุกกรณี เป็นการย้ำว่าเจ้าหน้าที่ต่างหากที่ต้องพร้อมอธิบายว่าทำไมกรณีนั้นๆจึงเป็นกรณียกเว้นตามกฎหมาย เป็นการย้ำว่าศาลต้องไต่สวนทุกกรณี มิใช่มีคำสั่งเป็นสูตรว่าเจ้าหน้าที่มิได้ทำผิดกฎหมาย เราเห็นว่าศาลควรไต่สวนว่ากรณีหนึ่งๆ สมควรยกเว้นหรือไม่ ไม่ใช่ออกคำสั่งยอมให้เป็นการยกเว้นไม่ต้องบังคับใช้กฎหมายสำหรับผู้ต้องขังทุกคนทุกกรณีอย่างที่เป็นอยู่

แนวปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายเข้ารูปเข้ารอยตามเจตจำนงของกฎหมาย และใช้กับทุกกรณี หากศาลรับฟังคำร้องนี้ ผลของการร้องครั้งนี้จึงมิใช่การแสวงหาอภิสิทธิ์ให้กับอานนท์เพียงคนเดียวแต่อย่างใด

แน่นอนว่า ปัญหาการใส่ตรวนราวกับสังคมไทยยังป่าเถื่อนอยู่นี้ สามารถแก้ไขได้โดยอธิบดีหรือรัฐมนตรีสั่งการ หรือโดยประกาศเป็นนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่หน่วยราชการพึงรับไปปฏิบัติ ย่อมเป็นคุณแก่นักโทษทั้งระบบในทุกเรือนจำ แทนที่จะต้องร้องขอเป็นกรณีๆ ดังที่เป็นอยู่

การยื่นคำร้องนี้จึงเป็นทั้งข้อเรียกร้องต่อรัฐเกี่ยวกับนโยบาย และเป็นการนำเสนอแนวปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมด้วยไปพร้อมกันสำหรับผู้ต้องขังทุกกรณี

ขอสาธารณชนได้โปรดพิจารณา

ธงชัย วินิจจะกูล

https://crcfthailand.org/2025/05/28/59478/