https://www.facebook.com/watch/?v=1056306663075397
.....
"มันมาเยอะเมื่อปีนี้ ไปตรงไหนก็เจอ" สำรวจการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ในทะเลภาคตะวันออก

ปลาหมอคางดำที่ชาวประมงหว่านแหได้บริเวณชายฝั่งอ่าวคุ้งกระเบน จ.จันทบุรี เมื่อ 30 เม.ย. 2568
.....
"มันมาเยอะเมื่อปีนี้ ไปตรงไหนก็เจอ" สำรวจการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ในทะเลภาคตะวันออก

ปลาหมอคางดำที่ชาวประมงหว่านแหได้บริเวณชายฝั่งอ่าวคุ้งกระเบน จ.จันทบุรี เมื่อ 30 เม.ย. 2568
นงนภัส พัฒน์แช่ม
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
10 พฤษภาคม 2025
ตั้งแต่ ก.ค. 2567 กรมประมงออกหลายมาตรการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำ ทั้งการประกาศรับซื้อ ปล่อยปลานักล่า ดัดแปลงพันธุกรรมให้ปลาเป็นหมัน ฯลฯ หลังพบพวกมันแพร่พันธุ์ในหลายพื้นที่ รวมถึงในบึงมักกะสัน กรุงเทพฯ
ผ่านมาเกือบ 10 เดือน มีรายงานว่าปลาหมอคางดำยังคงแพร่กระจายออกไปในหลายพื้นที่ และพบในทะเลฝั่งอ่าวไทยทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก อาทิในจังหวัด ระยอง จันทบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ฯลฯ
สัปดาห์ที่ผ่านมา นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวท็อปนิวส์ ว่า สามารถควบคุมการระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศจาก 19 จังหวัด เหลือเพียง 16 จังหวัด โดยมีเพียง 5-6 จังหวัดที่พบการระบาดระดับปานกลาง และไม่พบการระบาดในระดับหนาแน่นแล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังมีการเผยแพร่ภาพจากโซเชียลมีเดียอยู่เรื่อย ๆ ว่าพบเห็นพวกมันชุกชุมในหลายพื้นที่
บีบีซีไทยสำรวจอ่าวคุ้งกระเบน จ.จันทบุรี ซึ่งถูกรุกรานด้วยปลาหมอคางดำจนกลายเป็นสายพันธุ์ที่พบได้ปกติใกล้ชายฝั่ง และหาคำตอบว่าเหตุใดมาตรการต่าง ๆ ที่ดำเนินมาแล้วเกือบ 10 เดือนยังกำจัดพวกมันไม่ได้
ที่ไหน ๆ ก็เจอ 'ปลาหมอคางดำ'
10 พฤษภาคม 2025
ตั้งแต่ ก.ค. 2567 กรมประมงออกหลายมาตรการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำ ทั้งการประกาศรับซื้อ ปล่อยปลานักล่า ดัดแปลงพันธุกรรมให้ปลาเป็นหมัน ฯลฯ หลังพบพวกมันแพร่พันธุ์ในหลายพื้นที่ รวมถึงในบึงมักกะสัน กรุงเทพฯ
ผ่านมาเกือบ 10 เดือน มีรายงานว่าปลาหมอคางดำยังคงแพร่กระจายออกไปในหลายพื้นที่ และพบในทะเลฝั่งอ่าวไทยทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก อาทิในจังหวัด ระยอง จันทบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ฯลฯ
สัปดาห์ที่ผ่านมา นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวท็อปนิวส์ ว่า สามารถควบคุมการระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศจาก 19 จังหวัด เหลือเพียง 16 จังหวัด โดยมีเพียง 5-6 จังหวัดที่พบการระบาดระดับปานกลาง และไม่พบการระบาดในระดับหนาแน่นแล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังมีการเผยแพร่ภาพจากโซเชียลมีเดียอยู่เรื่อย ๆ ว่าพบเห็นพวกมันชุกชุมในหลายพื้นที่
บีบีซีไทยสำรวจอ่าวคุ้งกระเบน จ.จันทบุรี ซึ่งถูกรุกรานด้วยปลาหมอคางดำจนกลายเป็นสายพันธุ์ที่พบได้ปกติใกล้ชายฝั่ง และหาคำตอบว่าเหตุใดมาตรการต่าง ๆ ที่ดำเนินมาแล้วเกือบ 10 เดือนยังกำจัดพวกมันไม่ได้
ที่ไหน ๆ ก็เจอ 'ปลาหมอคางดำ'
ชายฝั่งอ่าวคุ้งกระเบนในพื้นที่หมู่ 7 ต.คลองขุด อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี
ชาวประมงเรือเล็กคนหนึ่งหว่านแหใกล้ชายฝั่งอ่าวคุ้งกระเบนติดกับบ้านของเขา หลังเห็นฝูงปลาหมอคางดำว่ายมาใกล้ ช่วงบ่ายของวันที่ 30 เม.ย. ที่บีบีซีลงพื้นที่ จากการหว่านแหเพียงครั้งเดียว เขาได้ปลาหมอคางดำราว 10-20 ตัว ซึ่งเขาบอกว่าจะใช้พวกมันเป็นอาหารให้สุนัข แมว และปลาเก๋าที่เลี้ยงไว้
เขาปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของพวกมันในพื้นที่ พร้อมบอกให้เราไปคุยกับ "ผู้ใหญ่นิด" น้าชายของเขาซึ่งเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านคนเก่าแก่ในพื้นที่ ขณะที่ชาวประมงในพื้นที่อีก 2 คนที่เราเจอก็บอกว่าพบปลาหมอคางดำเป็นประจำบริเวณท่าเทียบเรือประมงในอ่าวคุ้งกระเบน
ทั้งนี้ จากการสำรวจเพิ่มเติมโดยการวางอวนห่างประมาณ 100 เมตรจากชายฝั่งในอ่าว นอกจากปลาหมอคางดำที่ติดอวนมา ยังพบสัตว์น้ำพื้นถิ่นต่าง ๆ อาทิ ปลาข้างปาน ปลากระบอก ปลาใบขนุน ปลากะล่อน รวมถึงปูหินและปูม้าด้วย
ชาวประมงเรือเล็กคนหนึ่งหว่านแหใกล้ชายฝั่งอ่าวคุ้งกระเบนติดกับบ้านของเขา หลังเห็นฝูงปลาหมอคางดำว่ายมาใกล้ ช่วงบ่ายของวันที่ 30 เม.ย. ที่บีบีซีลงพื้นที่ จากการหว่านแหเพียงครั้งเดียว เขาได้ปลาหมอคางดำราว 10-20 ตัว ซึ่งเขาบอกว่าจะใช้พวกมันเป็นอาหารให้สุนัข แมว และปลาเก๋าที่เลี้ยงไว้
เขาปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของพวกมันในพื้นที่ พร้อมบอกให้เราไปคุยกับ "ผู้ใหญ่นิด" น้าชายของเขาซึ่งเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านคนเก่าแก่ในพื้นที่ ขณะที่ชาวประมงในพื้นที่อีก 2 คนที่เราเจอก็บอกว่าพบปลาหมอคางดำเป็นประจำบริเวณท่าเทียบเรือประมงในอ่าวคุ้งกระเบน
ทั้งนี้ จากการสำรวจเพิ่มเติมโดยการวางอวนห่างประมาณ 100 เมตรจากชายฝั่งในอ่าว นอกจากปลาหมอคางดำที่ติดอวนมา ยังพบสัตว์น้ำพื้นถิ่นต่าง ๆ อาทิ ปลาข้างปาน ปลากระบอก ปลาใบขนุน ปลากะล่อน รวมถึงปูหินและปูม้าด้วย

กุ้ง ปู ปลากระบอก (ล่างซ้าย) และปลาชนิดอื่น ๆ ที่ส่วนมากเป็นปลาข้างปาน ติดอวนมาพร้อมกับปลาหมอคางดำ เมื่อ 1 พ.ค. 2568
"พบ[ปลาหมอคางดำ]ตั้งแต่ 3-4 ปีที่แล้ว มันเริ่มมีนะ แต่ตอนนี้เริ่มเยอะ" นิด อิ่มสาระพางค์ อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 ต.คลองขุด อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เปิดเผยกับบีบีซีไทย "มันมาเยอะเมื่อปีนี้ ไปตรงไหนก็เจอ"
เขาบอกว่าเขาติดตามการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในพื้นที่ ในฐานะที่เป็นประธานกลุ่มประมงพื้นบ้านอ่าวคุ้งกระเบน ซึ่งเป็นกลุ่มประมงในหมู่บ้าน เขาเล่าว่าพบพวกมันในแหล่งน้ำตั้งแต่ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และหลังจากนั้นก็พบว่ามีจำนวนที่ชุกชุมขึ้นเรื่อย ๆ

นิด อิ่มสาระพางค์ ประธานกลุ่มประมงพื้นบ้านอ่าวคุ้งกระเบน หว่านแหเพื่อสำรวจปริมาณปลาหมอคางดำในคลองส่งน้ำที่ใช้สำหรับเลี้ยงกุ้งของเกษตรกร
นอกจากบริเวณชายฝั่ง เขาพาบีบีซีไทยสำรวจคลองส่งน้ำที่ใช้สำหรับเลี้ยงกุ้งของเกษตรกรซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน โดยทดลองหว่านแหลงในคลองหนึ่งครั้ง พบว่าปลาที่ได้เป็นปลาหมอคางดำเกือบทั้งหมด ส่วนปลาชนิดอื่นที่ติดมาด้วยมีเพียง "ปลากะล่อน" ตัวเล็ก ๆ ประมาณ 10 ตัวเท่านั้น
นิดเปิดเผยอีกว่าปลาหมอคางดำเหล่านี้อยู่ในบ่อร้างที่มีอยู่จำนวนมากในพื้นที่ ซึ่งอยู่ในโครงการพระราชดำริที่จัดสรรให้เกษตรกรเลี้ยงกุ้ง แต่บางคนก็ไม่ได้ทำต่อ
เขาให้ข้อมูลเสริมด้วยว่า สำหรับเกษตรกรที่ยังเลี้ยงกุ้งอยู่ ตอนนี้ยังไม่ถูกรุกรานจากปลาหมอคางดำ เพราะมีวิธีบริหารจัดการ

ภาพเปรียบเทียบปริมาณของปลาหมอคางดำ (ซ้าย) และปลากะล่อน (ขวา) ที่พบจากการหว่านแหในคลองส่งน้ำที่ใช้สำหรับเลี้ยงกุ้งของเกษตรกรอ่าวคุ้งกระเบน เมื่อ 30 เม.ย. 2568
บีบีซีไทยสำรวจบ่อกุ้งของเกษตรกรรายอื่น ๆ ส่วนที่ยังประกอบการอยู่ พบว่ามีลักษณะคล้าย ๆ กัน คือภายในบ่อจะมีกังหันตีน้ำ เหนือน้ำมีการคลุมตาข่ายกันนก และบริเวณท่อที่ส่งน้ำเข้าไปในบ่อจะถูกคลุมทับด้วยอวนตาถี่เพื่อกรองน้ำที่เข้าบ่อ
"ถ้า[ปลาหมอคางดำ]เข้ามา [กุ้ง]ก็ไม่เหลือ " ผู้เลี้ยงกุ้งรายหนึ่งบอกกับบีบีซีไทย เขาบอกว่าแม้ลำคลองข้างบ่อกุ้งของเขาจะเต็มไปด้วยปลาหมอคางดำ แต่พวกมันไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในบ่อของเขาได้ เพราะก่อนจะลงกุ้ง เขาได้สูบน้ำออกจากบ่อเลี้ยงกุ้งของตนเองจนหมด จากนั้นใช้กากชาโรยเพื่อให้ปลาหมอคางดำที่ยังหลงเหลืออยู่ตายก่อน แล้วจึงใส่น้ำเข้าบ่อใหม่โดยกรองผ่านอวนตาถี่
เกษตรกรรายนี้เล่าว่า นี่เป็นวิธีการที่ผู้เลี้ยงกุ้งในโครงการใช้เหมือนกันทั้งหมด ซึ่งเขามองว่าเป็นวิธีที่ได้ผลในการป้องกันไม่ให้ปลาหมอคางดำเข้ามากินกุ้งที่เลี้ยงไว้ จึงรู้สึกว่าการแพร่ระบาดของมันยังไม่ได้ส่งผลกระทบกับเขาเท่าใดนัก
ขณะที่ประธานกลุ่มประมงฯ ผู้ซึ่งก็เคยทำบ่อเลี้ยงกุ้ง มองว่าการจะกำจัดปลาหมอคางดำในบ่อไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเกษตรกร แต่สิ่งที่เป็นโจทย์หนักคือการกำจัดมันในทะเล เพราะไม่สามารถใช้วิธีการเดียวกันในการกำจัดได้ เนื่องจากจะกระทบกับปลาอื่น ๆ ที่เป็นแหล่งรายได้ของชาวประมง

บ่อเลี้ยงกุ้งของเกษตรกรในพื้นที่โครงการของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีกังหันตีน้ำและตาข่ายปกคลุม เกษตรกรเล่าว่าใช้อวนตาถี่คลุมท่อที่ส่งน้ำเข้าบ่อเพื่อป้องกันปลาหมอคางดำ
ผลกระทบต่อชาวประมง เมื่อสัตว์ทะเลน้อยลง
อ่าวคุ้งกระเบน เป็นพื้นที่ที่อยู่ในโครงการ "ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ" ซึ่งดำเนินโครงการพัฒนา อนุรักษ์ ฟื้นฟู และการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลบริเวณพื้นที่อ่าวคุ้งกระเบนและพื้นที่ใกล้เคียงราว 4,000 ไร่ ใน อ.ท่าใหม่ และ อ.นายายอาม จ.จันทบุรี โดยมีการส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ทำการเกษตร รวมถึงอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรประมง
กว่าทศวรรษที่ผ่านมา ที่นี่ทำโครงการ "ธนาคารปูม้า" ขยายพันธุ์ปูม้าในอ่าวซึ่งกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญอย่างหนึ่งของชาวประมง แต่หลังปลาหมอคางดำเข้ามา ปริมาณปูม้าก็ลดลง
"เดี๋ยว[ปลาหมอคางดำ]ไประบาดที่บ้านเรา จะเอามาทำเหยื่อปู" นี่คือความคิดแรกของ นิวัติ ธัญญชาติ อดีตผู้ร่วมดำเนินโครงการธนาคารปูม้ากับศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ โดยขณะนี้เขาเป็นตัวแทนจากภาคประชาชนที่เข้าไปนั่งใน "คณะกรรมการนโยบายและแผนงานแห่งชาติ" ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และยังเป็นผู้ที่เคลื่อนไหวเรื่องปลาหมอคางดำใน จ.จันทบุรี ด้วย

นิวัติ ธัญญชาติ (ซ้ายสุด) เป็นตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบจากปลาหมอคางดำใน จ.จันทบุรี ร่วมเสวนากับตัวแทนเกษตรกรจากจังหวัดอื่น ๆ ที่มูลนิธิชีววิถี (Bio Thai)
เขาบอกบีบีซีไทยว่าเริ่มพบปลาหมอคางดำที่แม่น้ำในพื้นที่ปากน้ำประแสร์ จ.ระยอง ตั้งแต่ปี 2560 โดยที่ไม่รู้ว่าในเวลาต่อมาเมื่อมันแพร่ระบาดในจังหวัดจริง ๆ สัตว์ที่เขาคิดว่าจะใช้เป็นเหยื่อปู จะกลับมากินไข่ปูม้าที่เขาพยายามเพาะพันธุ์ในอ่าวคุ้งกระเบน
"พอ 2562-2563 ลูก ๆ บ้านผู้ใหญ่ก็บ่นว่าปูม้าในอ่าวหมด... ช่วงโควิด ชาวบ้านก็ไม่ค่อยได้จับ แต่ทำไมปูม้ามันหาย ก็คุยกับพี่โต (อดีตรักษาการ ผอ.ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ) ว่าสาเหตุเพราะอะไร หรือน้ำมันร้อน เพราะลูกปูเราก็ปล่อยแบบมหาศาลแล้วนะ เป็นแสน ๆ แม่[ปู] ระดมปล่อยต่อคืนไม่รู้กี่สิบล้านลูกปู แต่มันไม่เพิ่ม มันมีแต่จะถอย ๆ" เขาย้อนเล่า
"ก็หาสาเหตุจน เอ้า มันมีปลาหมอคางดำมาโผล่ แต่มันตัวใหญ่แล้ว แสดงว่าต้องเป็นมันหรือเปล่า... ก็เลยลองปล่อย[ปู]ตอนกลางวันดู ปรากฎว่าลูกมัน (ปลาหมอคางดำ) ตัวเล็ก ๆ แบบนี้ พรึ่บ กิน มันปล่อยออกจากปากเลยนะ เหมือนเอเลียน มันปล่อยลูกออกจากปากแล้วมันก็เฝ้าอยู่... มันกินไข่ปู" นิวัติระบุ
ขณะที่นิดสะท้อนว่านอกจากปูม้าแล้ว ปริมาณปลากระบอก ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจในอ่าวคุ้งกระเบนอีกชนิดหนึ่งก็ลดลงนับจากนั้น ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นเพราะปลาหมอคางดำไปกินไข่หรือตัวอ่อนของพวกมัน ทำให้ชาวประมงเรือเล็กบางส่วนเลิกอาชีพนี้ไป ส่วนคนที่ยังทำต่อก็ต้องหางานเสริมหรือพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ
"ผมว่าถ้าไม่มีการปราบปรามกันจริงจังนะ ในอนาคตไม่เกิน 5 ปี สัตว์ที่ชาวบ้านทำประมงอยู่นี่ ผมว่าจะไม่เหลือ แล้วจะไม่เหลืออะไรเลย ต้องเปลี่ยนอาชีพ การประมงพื้นบ้านเนี่ย ปลาหมอคางดำมันจะครองพื้นที่หมด" ประธานกลุ่มประมงพื้นบ้านผู้นี้สะท้อน

ปลาหมอคางดำที่ติดมากับอวนประมงในทะเลอ่าวคุ้งกระเบน (เมื่อ 1 พ.ค. 2568)
'รับซื้อไม่ต่อเนื่อง – เงื่อนไขไม่คุ้มเหนื่อย'
ตั้งแต่เดือน ส.ค. 2567 กรมประมงออกประกาศ รับซื้อปลาหมอคางดำจากแพปลาในพื้นที่ 11 จังหวัด รวมถึงจันทบุรี ในราคากิโลกรัมละ 20 บาท เพื่อนำไปผลิตน้ำหมักชีวภาพ หลัง ครม. เห็นชอบแผนการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567-2570 ของกรมประมง
นิดเล่าว่าขณะนั้นชาวบ้านก็แข็งขันกันจับปลาหมอคางดำส่งให้กับผู้ค้าคนกลาง ซึ่งรับซื้อในราคากิโลกรัมละ 15 บาท และขายต่อให้กับรัฐในราคา 20 บาท
อย่างไรก็ตาม กระบวนการเหล่านี้มีอายุอยู่ไม่ถึงสองสัปดาห์ หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ค้าคนกลางเข้ามารับซื้อปลาหมอคางดำจากชาวประมงอีกเลย ซึ่งเขามองว่าเป็นเพราะผู้ค้าคนกลางเผชิญกับเงื่อนไขมากมายที่ไม่คุ้มกับค่าเหนื่อย อาทิ ต้องสำรองจ่ายให้กับชาวประมงไปก่อน แล้วอีก 15 วันถึงจะเบิกเงินจากประมงอำเภอได้ รวมถึงจุดรับซื้อที่อยู่ต่างอำเภอทำให้เงินที่จะได้รับไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายในการขนส่ง
"สมมุติว่าเขาได้ซัก 200 กิโลไปส่ง ได้เงินประมาณ 1,000 บาท (จากส่วนต่างกิโลกรัมละ 5 บาท) เขาไม่เหลืออะไรหรอก หักค่าน้ำมันไปกลับ 300 [บาท] บวกลบง่าย ๆ นะ ค่าคนงานหนึ่งคนก็ต้องให้เขา ตีไปวันนึง 300 แล้ว ต้องมีคนงานช่วยยกช่วยขนถ่าย ไป 600 แล้ว ค่าน้ำแข็งอีก 200 ต้องซื้อน้ำแข็งมาดอง ก็ไป 800 แล้ว เขาเหลืออีก 200 [บาท] เขากินข้าวอีกจานนึง 50 [บาท] คาราบาวด้วย 60 [บาท] แล้ว ถ้าสูบบุหรี่ก็อีก 70 [บาท] เข้าเนื้อแล้ว" นิดอธิบาย
ด้าน สมพร รุ่งกำเนิดวงศ์ ประมงจังหวัดจันทบุรี ยอมรับกับบีบีซีไทยว่า การรับซื้อปลาหมอคางดำในพื้นที่ไม่ต่อเนื่องจริง โดยที่ผ่านมามีการรับซื้อ 3 ครั้ง ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียง 1-2 เดือนในช่วงปีงบประมาณ 2567 ส่วนหลายเดือนที่หายไปเพราะรองบประมาณ ซึ่งเพิ่งได้รับอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีมา 98 ล้านบาท ทำให้เปิดรับซื้อรอบที่ 4 ได้
อย่างไรก็ตาม สมพรมองว่าอีกปัจจัยหนึ่งอยู่ที่ความร่วมมือของคนในพื้นที่ด้วย เพราะในการประกาศรับซื้อทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา บางอำเภอก็ไม่มีผู้มาลงทะเบียนจะรับซื้อจากชาวประมงเลย ส่วนกระแสที่ว่ารับซื้อแล้วต้องเดินทางไกลในการไปขายให้รัฐนั้น หากเอกชนช่วยกันรับซื้อไปใช้ประโยชน์ด้วยก็จะไม่เป็นปัญหา เพราะในหลายชุมชนก็มีโครงการทำน้ำหมักชีวภาพ ซึ่งสามารถนำปลาหมอคางดำไปใช้ประโยชน์ได้อยู่แล้ว
"ครั้งที่ 4 นี้พูดกันง่าย ๆ ว่าเราอ้อนวอนนะ ให้มีคนรับซื้อ เพราะมันมีกระแสที่บอกว่า [อำเภอ]ท่าใหม่ จะไปขาย[อำเภอ]นายายอาม มันไกล ผมถึงบอกว่าทำไมล่ะ คนในพื้นที่ไม่ช่วยกัน" สมพรกล่าวเชิงตัดพ้อกับบีบีซีไทย
ประมงจังหวัดจันทบุรีผู้นี้ยังชี้แจงกรณีที่ผู้ค้าคนกลางอาจได้กำไรไม่คุ้มทุนด้วยว่า "รอบ 2 รอบ 3 เขาไม่ fix (กำหนด) เลยนะว่าคุณจะต้องรับซื้อกิโลละ 15 บาท ผู้รวบรวมซื้อกิโลละกี่บาทก็ได้ แต่ราชการจ่ายให้ 20 บาท เพราะฉะนั้นคุณจะซื้อ 10 บาทก็ได้ แต่กระแสที่บอกว่าทำไมถึงไม่ค่อยมีคนมาซื้อ คนจับมาขาย เพราะเขาบอกว่าเขาไปทำประมงอย่างอื่นได้เงินมากกว่าไปจับปลาหมอคางดำ"

ท่าเทียบเรือประมงภายในอ่าวคุ้งกระเบน ซึ่งเป็นจุดที่ชาวประมงบอกว่ามักพบปลาหมอคางดำชุกชุม
8 พ.ค. – 30 ก.ย. 2568 คือกำหนดการรับซื้อปลาหมอคางดำรอบล่าสุดของกรมประมง (รอบที่ 4 ใน จ.จันทบุรี) ที่ประกาศเงื่อนไขออกมาแล้วว่า รัฐจะใช้งบประมาณในการรับซื้อ 20 บาท/กิโลกรัม โดยจ่ายให้กับชาวประมงหรือผู้จับปลามาขาย 15 บาท/กิโลกรัม และจ่ายให้กับผู้รวบรวมหรือแพปลาที่เข้าร่วมโครงการฯ เป็นค่าขนส่งและค่าบริหารจัดการรวบรวม 5 บาท/กิโลกรัม โดยมี 40 จุดรับซื้อกระจายอยู่ใน 14 จังหวัด
"เขา[เจ้าหน้าที่ประมง]ก็มาบอกให้ผมช่วยหาแม่ค้าคนกลางให้" ประธานกลุ่มประมงพื้นบ้านอ่าวคุ้งกระเบนบอกกับบีบีซีไทย "ผมก็บอกไปว่าผมหาไม่ได้หรอก ถ้าเงื่อนไขแบบเดิม"
นิดเชื่อว่าหากมีการเพิ่มราคาในการรับซื้อปลาหมอคางดำให้คุ้มค่าเหนื่อยของผู้ค้าคนกลางและชาวประมง เช่น อาจเพิ่มเป็น 25 บาท/กิโลกรัม ให้ผู้ค้าคนกลางได้กำไรเพิ่มขึ้น หรืออาจแบ่งส่วนต่างให้ชาวประมงด้วย และทำอย่างต่อเนื่อง การจะระดมจับปลาหมอคางดำให้เหลือน้อยจนไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศนั้น ไม่เกินความสามารถของชาวประมงในพื้นที่
ทว่าประมงจังหวัดจันทบุรีก็ตั้งคำถามเรื่องงบประมาณว่า "ส่วนหนึ่งว่าราคาไม่จูงใจ แต่ผมถามว่าจะ[ต้อง]เอางบประมาณมาเท่าไหร่ [เพื่อ]จะซื้อกิโล 50-100 บาท"
ปล่อยปลานักล่าได้ผลแค่ไหน ?

ปลากะพงที่มีการแจกจ่ายให้กับเกษตรกรในโครงการของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ สามารถกินปลาหมอคางดำที่ตัวเล็กกว่าได้
ตั้งแต่ ก.ค. 2567 ที่กรมประมงเริ่มปล่อยปลานักล่า อาทิ ปลากะพงขาว และปลาอีกง ในพื้นที่แพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในหลายจังหวัดนั้น ที่จันทบุรีนอกจากจะมีการแจกปลากะพงขาวให้กับเกษตรกรไปปล่อยในบ่อที่พบปลาหมอคางดำแล้ว ผู้นำกลุ่มประมงฯ เล่าว่าที่อ่าวคุ้งกระเบนก็มีการนำปลากะพงราว 70,000 ตัวมาปล่อยเช่นกัน โดยส่วนหนึ่งเป็นปลาที่เอกชนในพื้นที่สนับสนุนด้วย
อย่างไรก็ตาม เขามองว่ามาตรการนี้ไม่ได้ผลมากนัก เพราะธรรมชาติของปลาหมอคางดำมักอยู่บริเวณน้ำตื้นใกล้ชายฝั่ง ขณะที่ปลากะพงมักอยู่บริเวณน้ำลึก ทำให้พวกมันแทบไม่ได้เจอกัน มีเพียงบางจุด เช่นใต้สะพานท่าเทียบเรือประมงที่ปลาทั้งสองชนิดอยู่บริเวณเดียวกัน เพราะมีร่มเงาบังจากแดด ซึ่งเขาก็เคยเห็นปลากะพงว่ายไล่กินปลาหมอคางดำบริเวณนั้น แต่ก็เป็นเพียงจุดเดียวเท่านั้น
ขณะที่ประมงจังหวัดจันทบุรี อธิบายกับบีบีซีไทยว่า การปล่อยปลากะพงในพื้นที่นั้น เจตนาเพื่อปล่อยเป็น "พื้นที่กันชน" จำกัดวงไม่ให้ปลาหมอคางดำแพร่กระจายออกไปยังอำเภออื่น เพราะในพื้นที่อ่าวคุ้งกระเบนก็มี "ปลาผู้ล่า" ชนิดอื่น ๆ อยู่ ซึ่งผลการสำรวจของกรมประมงพบว่าภายในอ่าวยังมีความหลากหลายชีวภาพ มีปลาอยู่ 11 ชนิด ซึ่งมีจำนวนมากกว่าปลาหมอคางดำ
กรมประมงยืนยันปลาหมอคางดำระบาดน้อยลง
เมื่อไม่นานมานี้ นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวท็อปนิวส์ ว่า สามารถควบคุมการระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศจาก 19 จังหวัด เหลือเพียง 16 จังหวัด โดยมีเพียง 5-6 จังหวัดที่พบการระบาดระดับปานกลาง และไม่พบการระบาดในระดับหนาแน่นแล้ว
ขณะที่ข้อมูลจากประมงจังหวัดจันทบุรี บอกว่าการระบาดในจังหวัดมีอยู่เพียง 2 อำเภอ คือ อ.ท่าใหม่ และ อ.นายายอาม ซึ่งเชื่อมต่อกับจังหวัดระยอง โดยจากการสำรวจโดยศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่แบ่งโซนสำรวจกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งจันทบุรี พบว่าปลาหมอคางดำมีความชุกชุมลดลงนับตั้งแต่ที่รัฐออกมาตรการต่าง ๆ
โดยผลสำรวจเมื่อเดือน ก.ค. 2567 พบความชุกชุมของปลาหมอคางดำภายในจังหวัดอยู่ที่ 185 ตัว/100 ตร.ม. ขณะที่ผลสำรวจล่าสุดเมื่อเดือน ม.ค. 2568 พบว่าเหลือเพียง 17 ตัว/100 ตร.ม.
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูข้อมูลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ที่เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก (ศวทอ.) สำรวจความชุกชุมของปลาหมอคางดำเมื่อ 29 เม.ย. – 1 พ.ค. 2568 พบว่าเฉพาะในพื้นที่อ่าวคุ้งกระเบนพบ 28 ตัว ซึ่งคิดเป็นค่าเฉลี่ยเท่ากับ 74.27 ตัว/100 ตร.ม.
เฟซบุ๊กของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งยังโพสต์ข้อมูลการสำรวจการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำในทะเลจังหวัดต่าง ๆ ช่วงเดือน มี.ค. - พ.ค. 2568 พบหลายจังหวัด อาทิ ระยอง สมุทรสาคร ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร มีปลาหมอคางดำในทะเล แต่ปริมาณที่พบเท่าที่มีการเปิดเผย ยังไม่ชุกชุมเท่ากับในอ่าวคุ้งกระเบน
ขณะที่ในลำคลองธรรมชาติ โซเชียลมีเดียเผยแพร่วิดีโอฝูงปลาหมอคางดำ ว่าพบไปถึง อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช แล้ว

กำจัดปลาหมอคางดำ หน้าที่ใคร ?
นับจนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 10 เดือนแล้วที่กรมประมงออก 5 มาตรการในการกำจัดปลาหมอคางดำ ปัญหาสำคัญที่คนในพื้นที่สะท้อน คือมาตรการเหล่านั้นไม่ต่อเนื่อง และบางแนวคิดก็ยังไม่เห็นผลในทางปฏิบัติ เช่น แนวคิดการดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อให้ปลาเป็นหมัน
"ต้องวางมาตรการให้เด็ดขาดหน่อย" ประธานกลุ่มประมงฯ ระบุ เขามองว่ายังไม่เห็นเจ้าภาพที่ชัดเจนในกำจัดปลาหมอคางดำอย่างจริงจังและต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งที่บางพื้นที่ เช่นในบ่อร้างต่าง ๆ ที่ไม่ได้เลี้ยงกุ้งแล้วนั้น การกำจัดพวกมันให้หมดไปไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทุกวันนี้กลับขึ้นอยู่กับเจ้าของบ่อแต่ละบ่อเองว่าจะทำอย่างไรกับพวกมัน
"เขาก็ไม่ได้ทำลาย[ปลาหมอ]คางดำนะ ส่วนหนึ่งเขาก็เอาไปทำเหยื่อปูได้ เอาไปทำเหยื่อปลากะพงได้ เขาก็เก็บของเขาไว้อย่างนี้ โดยที่ไม่ได้เลี้ยงนะ ธรรมชาติ ไม่ได้ให้อาหาร" นิดบอกกับบีบีซีไทย "แต่ถ้าจะกำจัดจริง ๆ เขาก็ยินดีร่วมมือ"
"คือคนที่อยู่ในโครงการพระราชดำรินะครับ ถ้าลองไปถามจริง ๆ เขามีความสนใจมากน้อยแค่ไหนในการกำจัด" ประมงจังหวัดจันทบุรีตั้งคำถาม "เพราะผมลงไปทำสองรอบ เรียกคุยด้วยซ้ำไป ต้องยอมรับนะครับว่า บางครั้งเกษตรกรก็รอขอความช่วยเหลืออย่างเดียว ให้รัฐทำให้หมด"
ประมงจังหวัดจันทบุรีผู้นี้บอกกับบีบีซีไทยด้วยว่า จากที่เขาเคยไปทำกิจกรรม "ลงแขก ลงคลอง" ช่วยกันล่าปลาหมอคางดำกับชาวบ้าน ทั้งที่ตอนแรกตกลงกันดีว่าจะให้ "ทีมผู้ล่า" เข้าไปล่า แต่เมื่อรู้ว่าปลาขายได้กิโลกรัมละ 15 บาท เจ้าของบ่อก็อยากจะเก็บปลาไว้เอง
"หลายท่านนี่พูดว่าจะต้องกำจัดให้เป็นศูนย์ ผมว่าอะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ในธรรมชาติ คุณไม่สามารถกำจัดให้เป็นศูนย์ได้" สมพรระบุ เขามองว่าหากเอกชนช่วยกันเอาปลาหมอคางดำไปใช้ประโยชน์ เช่น เอาไปรังสรรค์เป็นเมนูต่าง ๆ ทำน้ำหมักชีวภาพ หรือเอาเนื้อไปขายให้ผู้เลี้ยงปูทะเล ก็จะช่วยควบคุมปริมาณของพวกมันได้
"จะให้ภาครัฐดำเนินการอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชนหรือภาคชาวประมงนี่ ผมเข้าใจว่าการแก้ปัญหานะ ถ้าไม่บูรณาการร่วมกันโอกาสสำเร็จยาก" เขาระบุ

เครือข่ายประชาชน 19 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากปลาหมอคางดำ นำปลาหมอคางดำราว 2 ตันไปเทที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อเน้นย้ำข้อเรียกร้อง เมื่อ 18 มี.ค. 2568
ย้อนไปเมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2568 เครือข่ายประชาชน 19 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากปลาหมอคางดำ รวมตัวเคลื่อนไหวโดยนำปลาหมอคางดำ 2 ตันไปเทที่หน้าทำเนียบรัฐบาล หลังข้อเรียกร้องที่เครือข่ายยื่นถึงรัฐบาลเมื่อ 13 ม.ค. ไม่ได้รับการตอบสนอง
ข้อเรียกร้องดังกล่าวมี 4 ข้อ คือ
- ขอให้ตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบหาผู้กระทำความผิด
- กำจัดปลาหมอคางดำให้หมดภายใน 1 ปี และเร่งฟื้นฟูระบบนิเวศ
- ประกาศเขตภัยพิบัติทันที
- ให้หน่วยงานรัฐฟ้องผู้กระทำความผิดมาชดใช้เยียวยา

เครือข่ายประชาชน 19 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากปลาหมอคางดำ ระบุว่าพวกเขาจะยกระดับการเคลื่อนไหวหากยังไม่ได้รับการตอบสนองตามข้อเรียกร้องทั้ง 4 ข้อ (เมื่อ 27 มี.ค. 2568)
นิวัติ ซึ่งอยู่ในกลุ่มเครือข่ายที่ออกมาเคลื่อนไหว บอกว่าหลังจากการไปเทปลาหน้าทำเนียบฯ และ สส.พรรคประชาชนนำไปอภิปรายในสภา มีเพียงการตั้งงบประมาณมา 98 ล้านบาทเพื่อกำจัดปลาหมอคางดำ แต่ยังไม่เห็นรายละเอียดวิธีการกำจัดที่ชัดเจน รวมถึงหน้าตาของคณะทำงานที่จะเข้ามาบริหารการใช้งบประมาณเหล่านี้ ซึ่งมีความสำคัญ เพราะหากไม่มีความเชี่ยวชาญมากพอ ก็อาจทำให้กำจัดพวกมันไม่ถูกจุด
นอกจากนี้ เขายังมองว่างบประมาณที่ใช้กำจัดปลาหมอคางดำไม่ควรมาจากภาษีของประชาชน แต่กรมประมงควรฟ้องเอาจากผู้ที่ทำให้ปลาหมอคางดำระบาด
"ถ้า[ปลาหมอคางดำ]หมดแล้วเนี่ย คุณก็ต้องไปดำเนินคดีกับคนที่ทำให้ระบาด แล้วก็เอาเงินกับภาษีกลับมาคืนรัฐให้ได้" นิวัติย้ำ
ก่อนหน้านี้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CFP ถูกตั้งคำถามว่าเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในไทยหรือไม่ เพราะเคยขอนำเข้าปลาหมอคางดำเมื่อปี 2549 ก่อนที่ปี 2555 จะเริ่มพบการแพร่ระบาดของพวกมันในแหล่งน้ำใน ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ตำบลเดียวกันกับที่ศูนย์ทดลองของ CPF ตั้งอยู่ ซึ่งที่ผ่านมา CPF ปฏิเสธมาโดยตลอด โดยระบุว่าปลาหมอคางดำที่นำเข้ามาตายหมดแล้ว
สำนักข่าว "ไทยพีบีเอส" รายงานว่า CPF ได้ฟ้องหมิ่นประมาท นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (BioThai) ที่มักออกมาตั้งคำถามและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ แต่ในขณะเดียวกัน CPF เองก็ถูกกลุ่มชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบในบางพื้นที่ อาทิ จ.สมุทรสงคราม ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการขาดรายได้เพราะปลาหมอคางดำเช่นกัน
ขณะที่ความเคลื่อนไหวจากภาครัฐยังไม่มีข้อสรุปอย่างเป็นทางการว่าปลาหมอคางดำซึ่งเป็น "เอเลียนสปีชีส์" นี้ เข้ามาแพร่ระบาดในไทยได้อย่างไร และใครต้องรับผิดชอบกับการแพร่ระบาดของพวกมันจนสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล แม้การวิเคราะห์จากกรมประมงเอง จะเคยพบว่าปลาหมอคางดำที่แพร่ระบาดในประเทศไทยมีแหล่งที่มาร่วมกัน และการแพร่กระจายของพวกมันไปยังจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งอยู่ห่างออกไปน่าจะเกิดจากการกระทำของมนุษย์ มากกว่าจะเป็นไปตามธรรมชาติ
https://www.bbc.com/thai/articles/cp3ndp09n3xo