วันอังคาร, พฤษภาคม 27, 2568

‘พีมูฟ-ยานภัณฑ์-ทะลุฟ้า’ รับทราบข้อหาผิด พ.ร.บ.ชุมนุม จี้ นายกฯ หยุดใช้ กม.ลิดรอนสิทธิประชาชน ภาคประชาชน ยืนยันความบริสุทธิ์ ระบุ ชุมนุมเคลื่อนไหวเป็นสิทธิ เสรีภาพ ได้รับคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และหลักสิทธิมนุษยชนสากล



‘พีมูฟ-ยานภัณฑ์-ทะลุฟ้า’ รับทราบข้อหาผิด พ.ร.บ.ชุมนุม จี้ นายกฯ หยุดใช้ กม.ลิดรอนสิทธิประชาชน

26 พฤษภาคม 2025
The Active Thai PBS

ภาคประชาชน ยืนยันความบริสุทธิ์ ระบุ ชุมนุมเคลื่อนไหวเป็นสิทธิ เสรีภาพ ได้รับคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และหลักสิทธิมนุษยชนสากล ซัด รัฐบาล มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ต้องรับฟังเสียงความทุกข์ชาวบ้าน ไม่ใช่ยัดเยียดคดีความ เตรียมเดินหน้ารณรงค์ทั่วประเทศ ยกเลิก พ.ร.บ.ชุมนุม อย่างถึงที่สุด

วันนี้ (26 พ.ค. 68) ที่ สน.ดุสิต ตัวแทนกลุ่มขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) – แรงงานยานภัณฑ์ – กลุ่มทะลุฟ้า เข้ารับทราบข้อกล่าวหา คดี พ.ร.บ.ชุมนุม โดยมีเครือข่ายภาคประชาชนมาร่วมให้กำลังใจ โดยคดีนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 68 ทางตัวแทนกลุ่มพีมูฟ ได้รับแจ้งจาก จำนงค์ หนูพันธ์ ที่ปรึกษาพีมูฟ ว่า มีหมายเรียกผู้ต้องหาส่งมาที่บ้านถึง 4 คดี โดยเป็นคดีที่เกิดจากการชุมนุมพีมูฟทวงสิทธิ ช่วงเดือน ต.ค. 67 จำนวน 3 คดี ได้แก่

  1. คดีระหว่าง พ.ต.ท.ชัยธัช เชียงทา (รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดุสิต) และสมศักดิ์ บุญมาเลิศ กับพวกรวม 5 คน ได้แก่ สินชัย รู้เพราะจีน, จรัสศรี จันทร์อ้าย, จำนงค์ หนูพันธ์ และธีรเนตร ไชสุวรรณ โดยมีข้อกล่าวหา คือ “พ.ต.ท.ชัยธัชฯ ได้มาแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี จำนงค์ กับพวก ในความผิดฐาน ร่วมกันชุมนุม เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 67 เวลากลางวัน
  2. คดีระหว่าง พ.ต.ท.ชัยธัช เชียงทา (รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดุสิต) และ จำนงค์ หนูพันธ์ โดยมีข้อกล่าวหา คือ “เป็นผู้จัดให้มีการชุมนุมไม่ควบคุมการชุมนุมให้เป็นไปโดยสงบ และฝ่าฝืนคำสั่งประกาศ 50 เมตร รอบทำเนียบรัฐบาล” เหตุเกิด ณ ถนนพิษณุโลก ติดทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 67 เวลาประมาณ 13.15 น
  3. คดีระหว่าง พ.ต.ท.ชัยธัช เชียงทา (รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดุสิต) และ จำนงค์ หนูพันธ์ โดยมีข้อกล่าวหา คือ “เป็นผู้จัดให้มีการชุมนุมไม่ควบคุมการชุมนุมให้เป็นไปโดยสงบ และฝ่าฝืนคำสั่งประกาศ 50 เมตร รอบทำเนียบรัฐบาล” เหตุเกิด ณ ถนนพิษณุโลก ติดทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 67 เวลาประมาณ 10.10 น.


ส่วนอีกหนึ่งคดีเกิดจากการชุมนุมสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า และสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 68 โดยเป็นคดีระหว่าง พ.ต.ท.สุรพันธ์ พันเปี่ยม (รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดุสิต) และ จำนงค์ หนูพันธ์ กับพวกรวม 7 คน ได้แก่ พชร คำชำนาญ, นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์, จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ทะลุฟ้า – Thalufah), กัญญ์วรา หมื่นแก้ว, เกรียงไกร ชีช่วง และ สมพร หารพรม โดยมีข้อกล่าวหา คือ มีความผิดฐานร่วมกันชุมนุมฯ เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 68 ช่วงเวลากลางวัน

ส่วนกรณีพี่น้องแรงงานยานภัณฑ์นั้น มีผู้ถูกดำเนินคดี 4 คน ได้แก่ วิรุต นามณี, สุริยะ ปะสาวะนัง, สุนทร บุญยอด และ ธัชพงษ์ แกดำ โดยมีหมายเรียกจากตำรวจนครบาลดุสิต ออกวันที่ 21 เม.ย. 68 กล่าวหาว่าเป็นผู้จัดให้มีการชุมนุมฝ่าฝืนคำสั่งการประกาศ 50 เมตร รอบทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 68 เวลากลางวัน

ทั้งนี้ตัวแทนกลุ่มพีมูฟ ยืนยันว่า การชุมนุมพีมูฟทวงสิทธิทุกครั้งที่ผ่านมาได้แจ้งชุมนุมสาธารณะตามกระบวนการทุกครั้ง และเป็นการใช้เสรีภาพในการแสดงออกที่ประชาชนพึงทำได้ แต่กลับพบความพยายามในการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสถานีตำรวจนครบาลดุสิต ที่ได้พยายามสั่งให้ผู้ชุมนุมแก้ไขการชุมนุม ย้ายที่ชุมนุม จนไปถึงยกเลิกการชุมนุม โดยที่ไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดว่า การชุมนุมของพีมูฟมีพฤติการณ์ใดที่ขัดกับความสงบหรือก่อความวุ่นวายเดือดร้อน

นอกเสียจากการอ้างตาม มาตรา 7 วรรคท้าย พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ว่า เป็นการชุมนุมในสถานที่ห้ามชุมนุม คือ รัศมี 50 เมตร รอบทำเนียบรัฐบาล



อย่างไรก็ตาม สถานที่ห้ามชุมนุมตามมาตรา 7 ในพ.ร.บ.ชุมนุมฯ ไม่ได้เป็นสถานที่ที่ห้ามจัดการชุมนุมตลอดเวลา กล่าวคือ สามารถชุมนุมได้ในสถานที่ดังกล่าว จนกระทั่งการชุมนุมมีพฤติการณ์เข้าข่ายก่อความไม่สงบหรือสร้างความเดือดร้อนวุ่นวาย ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้มีอำนาจประกาศห้ามชุมนุม จึงจะใช้อำนาจตามมาตรา 7 วรรคท้าย ในการประกาศห้ามชุมนุมได้

“ไม่ควรมีประชาชนถูกดำเนินคดีจากการใช้เสรีภาพในการแสดงออก และจะดำเนินการในทุก ๆ กลไกที่ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ เพื่อให้เกิดตรวจสอบการบังคับใช้กฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นนี้ และต้องยกเลิกการบังคับใช้พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะฉบับนี้ในที่สุด”

ทั้งนี้ได้มีแถลงการณ์ร่วมเครือข่ายภาคประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจาก พ.ร.บ.ชุมนุมฯ เรื่อง ประณามรัฐบาล ‘แพทองธาร’ บังคับใช้กฎหมายปิดปากประชาชน

สืบเนื่องจากการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อกลุ่มผู้ชุมนุมผู้ต่อสู้เรื่องสิทธิในที่ดิน สิทธิแรงงาน รัฐสวัสดิการ และประชาธิปไตย รวม 15 คน จากการเคลื่อนไหวชุมนุมในช่วงเดือนตุลาคม 2567 และเดือนเมษายน 2568 โดยอ้างความผิดตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558

โดยย้ำว่า ประชาชน คือ ผู้บริสุทธิ์ การชุมนุมเคลื่อนไหวเป็นสิทธิเสรีภาพ อันพึงมีที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และหลักสิทธิมนุษยชนสากล ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลอันเป็นศูนย์กลางอำนาจเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ให้สมกับที่เป็นรัฐบาลที่อ้างตัวว่ามาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย จึงควรจะรับฟังเสียงแห่งความทุกข์ร้อนของประชาชน และแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเพื่อบรรเทาความทุกข์ร้อนอันแสนสาหัส ให้เหมือนกับที่หาเสียงกับประชาชนไว้ในช่วงการเลือกตั้ง



“ขอเรียกร้องต่อรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร อีกครั้ง จงหยุดการบังคับใช้กฎหมายที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพและปิดปากประชาชน พร้อมขอให้เดินหน้ายกเลิกคดีความอันไม่เป็นธรรมทั้งปวงที่หน่วยงานรัฐ และเอกชนกระทำต่อพี่น้องประชาชน เมื่อไม่มีปัญญาแก้ไขปัญหา ก็อย่าได้ซ้ำเติมปัญหา จงแสดงความกล้าหาญในการปกป้องพี่น้องประชาชนของท่านให้พ้นจากความทุกข์ทนและหลุดพ้นจากการคุกคามเช่นนี้เสียที”

แถลงการณ์ ยังย้ำด้วยว่า พร้อมเข้าไปรายงานตัวเพื่อปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และขอยืนหยัดเชื่อมั่นว่าการเคลื่อนไหวเรียกร้องของเราไม่ควรถูกยัดเยียดข้อหาประหนึ่งเป็นอาชญากร และขอยืนยันว่า หากการมีกฎหมายชุมนุมเป็นอุปสรรคต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ทำให้ไม่สามารถติดตามการแก้ไขปัญหาหรือวิพากษ์วิจารณ์การทำงานอันล้มเหลวของรัฐบาลได้

“เราจะยืนยันต่อสู้โดยการเดินหน้าประสานเชื่อมโยงเครือข่ายภาคประชาชนทั่วประเทศเพื่อรณรงค์ขับเคลื่อนให้ยกเลิก พ.ร.บ.ชุมนุมฯ อย่างถึงที่สุด”

https://theactive.thaipbs.or.th/news/socialmovement-20250526