
เมื่อ 8 ชั่วโมงที่แล้ว
บีบีซีไทย
"สำนักงานพระคลังข้างที่" กลับมาเป็นที่พูดถึงของสังคมอีกครั้ง หลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเตรียมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเสนอโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในช่วงวันที่ 28 พ.ค. นี้
สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวคือ การเปลี่ยนชื่อ "สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์" ให้เป็น "สำนักงานพระคลังข้างที่" และโอนกิจการของสำนักพระราชวังเฉพาะส่วนของงานพระคลังข้างที่ไปเป็นของสำนักงานพระคลังข้างที่
หากย้อนไปในประวัติศาสตร์ แม้ "สำนักงานพระคลังข้างที่" จะเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2478 แต่คำว่า "พระคลังข้างที่" มีต้นกำเนิดและถูกใช้มาตั้งแต่สมัยการปกครองภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่สามารถสืบย้อนรากความเป็นมาได้ตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์
"พระคลังข้างที่" เคยมีทั้งยุค "รุ่งเรือง" และยุคที่ถูก "ลดบทบาทอำนาจ" ไปตามแต่ละยุคสมัย บีบีซีไทยพาย้อนประวัติศาสตร์จากอดีตถึงปัจจุบันของ "พระคลังข้างที่" และวิวัฒนาการระบบการจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย
ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในสมัยการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์
วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2543 เรื่อง "การจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" โดยสกุณา เทวะรัตน์มณีกุล ระบุไว้ว่า ระบบการจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในสมัยการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ยังไม่มีการแบ่งแยกระหว่างทรัพย์สินส่วนตัวของพระองค์และทรัพย์สินของแผ่นดิน โดยให้ถือว่าทรัพย์สินทั้งหมดในราชอาณาจักรและแผ่นดินนั้นเป็นของพระมหากษัตริย์
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ระบุว่า นับตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เงินที่ทรงใช้ถือเป็นเงินส่วนพระองค์ที่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ตามพระราชอัธยาศัย โดยไม่ต้องบอกให้ผู้อื่นรู้ ซึ่งเงินดังกล่าวเรียกว่า "เงินข้างที่" ซึ่งเปรียบเสมือนกระเป๋าเงินส่วนพระองค์ และทรงโปรดให้มีกำปั่นหรือหีบไม้ วางไว้ข้างที่บรรทมเพื่อเก็บรักษา "เงินข้างที่"
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ คำว่า "คลังข้างที่" ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยพระองค์ทรงทำการค้าและเก็บทรัพย์สมบัติได้มากขึ้น ทำให้มีกำปั่นเก็บเงินมากขึ้น จึงต้องนำไปแยกเก็บไว้อีกห้องหนึ่งเหมือนอย่างคลัง จึงเรียกเงินส่วนนี้ว่า "คลังข้างที่"
การแยกพระราชทรัพย์เป็นอิสระจากเงินแผ่นดินในสมัย ร.5 และการจัดตั้งกรมพระคลังข้างที่
"สำนักงานพระคลังข้างที่" กลับมาเป็นที่พูดถึงของสังคมอีกครั้ง หลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเตรียมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งเสนอโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในช่วงวันที่ 28 พ.ค. นี้
สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวคือ การเปลี่ยนชื่อ "สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์" ให้เป็น "สำนักงานพระคลังข้างที่" และโอนกิจการของสำนักพระราชวังเฉพาะส่วนของงานพระคลังข้างที่ไปเป็นของสำนักงานพระคลังข้างที่
หากย้อนไปในประวัติศาสตร์ แม้ "สำนักงานพระคลังข้างที่" จะเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2478 แต่คำว่า "พระคลังข้างที่" มีต้นกำเนิดและถูกใช้มาตั้งแต่สมัยการปกครองภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่สามารถสืบย้อนรากความเป็นมาได้ตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์
"พระคลังข้างที่" เคยมีทั้งยุค "รุ่งเรือง" และยุคที่ถูก "ลดบทบาทอำนาจ" ไปตามแต่ละยุคสมัย บีบีซีไทยพาย้อนประวัติศาสตร์จากอดีตถึงปัจจุบันของ "พระคลังข้างที่" และวิวัฒนาการระบบการจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย
ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในสมัยการปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์
วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2543 เรื่อง "การจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" โดยสกุณา เทวะรัตน์มณีกุล ระบุไว้ว่า ระบบการจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในสมัยการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ยังไม่มีการแบ่งแยกระหว่างทรัพย์สินส่วนตัวของพระองค์และทรัพย์สินของแผ่นดิน โดยให้ถือว่าทรัพย์สินทั้งหมดในราชอาณาจักรและแผ่นดินนั้นเป็นของพระมหากษัตริย์
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ระบุว่า นับตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เงินที่ทรงใช้ถือเป็นเงินส่วนพระองค์ที่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ตามพระราชอัธยาศัย โดยไม่ต้องบอกให้ผู้อื่นรู้ ซึ่งเงินดังกล่าวเรียกว่า "เงินข้างที่" ซึ่งเปรียบเสมือนกระเป๋าเงินส่วนพระองค์ และทรงโปรดให้มีกำปั่นหรือหีบไม้ วางไว้ข้างที่บรรทมเพื่อเก็บรักษา "เงินข้างที่"
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ คำว่า "คลังข้างที่" ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยพระองค์ทรงทำการค้าและเก็บทรัพย์สมบัติได้มากขึ้น ทำให้มีกำปั่นเก็บเงินมากขึ้น จึงต้องนำไปแยกเก็บไว้อีกห้องหนึ่งเหมือนอย่างคลัง จึงเรียกเงินส่วนนี้ว่า "คลังข้างที่"
การแยกพระราชทรัพย์เป็นอิสระจากเงินแผ่นดินในสมัย ร.5 และการจัดตั้งกรมพระคลังข้างที่

รัชกาลที่ 5 มีพระราชประสงค์ที่จะทรงมีพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในอัตราที่แน่นอนและแยกเป็นอิสระจากเงินแผ่นดิน
งานศึกษาของชลลดา วัฒนศิริ ในวารสารเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เรื่อง "พระคลังข้างที่กับการลงทุนธุรกิจในประเทศไทย" ตีพิมพ์เมื่อปี 2531 ระบุถึงการปฏิรูปครั้งใหญ่ของการคลังประเทศไทยไว้ว่า เกิดขึ้นเนื่องจากพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ในการที่จะทรงมีพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในอัตราที่แน่นอนและแยกเป็นอิสระจากเงินแผ่นดิน อีกทั้งรัชกาลที่ 5 ทรงเห็นข้อบกพร่องของระบบจัดเก็บรายได้ของแผ่นดินในยุคสมัยก่อน
วิทยานิพนธ์เรื่อง "การจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ของสกุณาระบุว่า ระบบจัดการคลังและระบบการจัดเก็บภาษีสมัยก่อนเปิดช่องให้มีเงินรั่วไหลมาก ส่งผลกระทบต่อรายได้ของแผ่นดิน และรวมถึงรายได้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จึงทำให้เกิดการปฏิรูปคลังครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2433 คือ การจัดตั้ง "กรมพระคลังข้างที่" เพื่อทำหน้าที่บริหารการเงินและรักษาผลประโยชน์ส่วนพระองค์
โดยมีหลักฐานที่ปรากฏให้เห็นถึงความประสงค์ที่จะทรงแยกเงินแผ่นดินออกจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ในพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่3/336 ลงวันที่ 21 พ.ค. รัตนโกสินทรศก (ร.ศ.) 122 ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า
"…ที่ตำบลบางขุนพรหมริมคลองผดุงกรุงเกษมฝั่งเหนืออยู่ในที่บริเวณสวนดุสิต ข้าพเจ้าได้ให้เจ้าพนักงานกระทรวงนครบาล จัดซื้อไว้ด้วยเงินพระคลังข้างที่… ที่ตำบลที่กล่าวมานี้ ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะทำเป็นบ้านให้ลูกชายเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพรได้อยู่เป็นสิทธิเป็นทรัพย์ของตนสืบไป… เพราะเงินรายได้นี้ข้าพเจ้า มิได้ใช้เงินสำหรับแผ่นดินที่จะจับจ่ายราชการ ได้ใช้เงินพระคลังข้างที่ ซึ่งเป็นเงินสำหรับพระองค์ของพระเจ้าแผ่นดินเอง ไม่เกี่ยวข้องด้วยราชการแผ่นดิน…"
รายรับของ "กรมพระคลังข้างที่" ในอดีต
งานของชลลดาในวารสารเศรษฐศาสตร์ยังระบุถึงการกำหนดรายรับของกรมพระคลังข้างที่ไว้ด้วยว่า รายรับของพระคลังข้างที่มาจากส่วนแบ่งเงินผลประโยชน์แผ่นดินในอัตราร้อยละ 15 ของรายได้แผ่นดินในแต่ละปี ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อย เนื่องจากผลประโยชน์แผ่นดินเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในสมัยรัชกาลที่ 5 ช่วงปี 2435-2447 พบว่า รายได้แผ่นดินเพิ่มจาก 15 ล้านบาท สูงสุดถึง 45 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม งานศึกษาชิ้นดังกล่าวระบุด้วยว่า พระคลังข้างที่ไม่ได้รับเงินครบตามจำนวนอัตราร้อยละ 15 ดังที่กำหนด เนื่องจากอัตราที่กำหนดไว้เป็นเพียงการประมาณรายจ่ายราชสำนักในแต่ละปี ซึ่งในบางปีพระคลังข้างที่ก็ไม่ได้ใช้เงินมากเท่าที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ การกำหนดอัตรารายรับที่ร้อยละ 15 ได้ถูกยกเลิกไปในช่วงกลางสมัยรัชกาลที่ 5 และได้แทนที่ด้วยการกำหนดงบประมาณรายได้ประจำปีในอัตราปีละ 6 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 9 ล้านบาท ในสมัยรัชกาลที่ 6
รายรับเหล่านี้ถูกนำมาใช้จ่ายทั้งในกิจการส่วนพระองค์ และเพื่อจัดการลงทุนหาผลประโยชน์เพิ่มเติม โดยการดำเนินงานจัดหาผลประโยชน์ของพระคลังข้างที่อยู่ภายใต้การจัดการดูแลของอธิบดีกรมพระคลังข้างที่ ขณะที่การจัดผลประโยชน์ของกรมพระคลังข้างที่ ตลอดจนการลงทุน และการตัดสินใจดำเนินงาน ล้วนอยู่ภายใต้พระบรมราชวินิจฉัยโดยตรงของพระมหากษัตริย์
การลงทุนต่าง ๆ ของ "พระคลังข้างที่" ในอดีต
การขยายตัวของระบบเศรษฐกิจการค้าเสรีนิยมที่มีมากขึ้นนับตั้งแต่เกิดสนธิสัญญาเบาว์ริงในปี 2398 ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้พระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทรงประกอบการค้า และลงทุนหาประโยชน์เพิ่มเติมให้พระคลังข้างที่ โดยลักษณะการลงทุนต่าง ๆ ของพระคลังข้างที่ ตามที่วิทยานิพนธ์เรื่อง "การจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ระบุไว้ แยกประเภทการลงทุนในสมัยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
- กลุ่มธุรกิจการเงิน และพาณิชยกรรม
- กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ พระคลังข้างที่ยังดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับที่ดิน ตลาด และตึกแถวให้เช่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงจัดซื้อที่ดินทำเลดีหลายแห่งทั้งในเขตกรุงเทพ ฯ และในเขตหัวเมือง โดยการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินของพระคลังข้างที่ได้มาโดยหลากวิธี เช่น การจับจองที่ดินว่างเปล่า การโอนที่หลวงกระทรวงต่าง ๆ ที่มิได้ใช้ประโยชน์มาไว้ในกรรมสิทธิ์ ได้มาโดยหลุดจำนอง และได้มาโดยการจัดซื้อเอง
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) คือธนาคารแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยรัชกาลที่ 5 โดยชื่อในตอนแรกคือ "แบงก์สยามกัมมาจล""
2. การลงทุนในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม เนื่องจากกลุ่มธุรกิจประเภทนี้ต้องใช้เงินทุนสูงมาก และมีวิธีการประกอบธุรกิจที่ซับซ้อน พระคลังข้างที่จึงมักเลือกร่วมลงทุนมากกว่าจะเป็นผู้ประกอบการเอง ในอนุสรณ์ 50 ปี ของ ธนาคารไทยพาณิชย์ ปี 2500 ระบุไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้ทรงรับซื้อหุ้นของแบงก์สยามกัมมาจล (Siam Commercial bank Co. Ltd.) ไว้ 300 หุ้น และเมื่อกิจการดำเนินไปได้ดี พระคลังข้างที่จึงมีการซื้อหุ้นเพิ่ม นอกจากนี้พระคลังข้างที่ในสมัยรัชกาลที่ 6 ยังซื้อหุ้นถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนทุนของบริษัทปูนซีเมนต์ไทยในตอนก่อตั้ง ซึ่งถือเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดแห่งแรกของประเทศ ตามงานศึกษาของชลลดา
การจัดการทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475
2. การลงทุนในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม เนื่องจากกลุ่มธุรกิจประเภทนี้ต้องใช้เงินทุนสูงมาก และมีวิธีการประกอบธุรกิจที่ซับซ้อน พระคลังข้างที่จึงมักเลือกร่วมลงทุนมากกว่าจะเป็นผู้ประกอบการเอง ในอนุสรณ์ 50 ปี ของ ธนาคารไทยพาณิชย์ ปี 2500 ระบุไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้ทรงรับซื้อหุ้นของแบงก์สยามกัมมาจล (Siam Commercial bank Co. Ltd.) ไว้ 300 หุ้น และเมื่อกิจการดำเนินไปได้ดี พระคลังข้างที่จึงมีการซื้อหุ้นเพิ่ม นอกจากนี้พระคลังข้างที่ในสมัยรัชกาลที่ 6 ยังซื้อหุ้นถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนทุนของบริษัทปูนซีเมนต์ไทยในตอนก่อตั้ง ซึ่งถือเป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดแห่งแรกของประเทศ ตามงานศึกษาของชลลดา
การจัดการทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475

หนังสือเรื่อง "เจ้าทรัพย์ บทวิพากษ์เศรษฐกิจการเมืองไทยร่วมสมัย" โดย รศ.ดร.ปวงชน อุนจะนำ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ระบุถึงการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ของกรมพระคลังข้างที่ไว้ว่า เกิดจากการสิ้นสุดลงของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2475 การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญของ "คณะราษฎร" ได้เปลี่ยนสถานะของพระมหากษัตริย์ ให้กลายมาเป็นพระมหากษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ
รัฐบาลที่ก่อตั้งขึ้นหลังการปฏิวัติ 2475 มีความพยายามที่จะแบ่งแยกทรัพย์สินของสถาบันกษัตริย์ออกเป็น 3 ส่วน คือ
- ส่วนที่เป็นของกษัตริย์เป็นการส่วนพระองค์ ซึ่งต้องเสียภาษีอากร
- ส่วนที่เป็นของราชอาณาจักร เป็นทรัพย์สินร่วมกับของคนทั้งชาติ ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษี

ทั้งนี้ ในงานวิจัย "สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับการลงทุนทางธุรกิจ" ที่ตีพิมพ์เมื่อ 29 มิ.ย. 2549 ของ รศ.ดร.พอพันธ์ อุยยานนท์ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อธิบายว่า ด้วยในปี พ.ศ. 2476 รัฐบาลพยายามที่จะลดบทบาทอำนาจของกรมพระคลังข้างที่ จึงได้จัดตั้งกระทรวง ทบวง กรม เพื่อยุบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้มาอยู่ด้วยกันภายใต้ชื่อใหม่ว่า "ศาลาว่าการพระราชวัง" และในปี พ.ศ. 2478 รัฐบาลได้ลดทอนสถานภาพของ "กระทรวงวัง" ลงเป็น "สำนักงานพระคลังข้างที่" ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของนายกรัฐมนตรี
ต่อมาในปี พ.ศ. 2480 ได้มีการจัดตั้ง "สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ซึ่งเป็นการลดบทบาทของกรมพระคลังข้างที่ และอำนาจหน้าที่ในการดูแลทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ก็ตกไปอยู่ในความดูแลของกระทวงการคลัง ตามความใน พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 ทั้งนี้ ตามงานศึกษาของชลลดาระบุว่า ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ. 2475 จนถึงปี พ.ศ. 2480 กรมพระคลังข้างที่ได้รับงบการจัดสรรเฉลี่ยเพียงปีละ 440,000 บาทเท่านั้น
งานวิจัย "สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับการลงทุนทางธุรกิจ" ระบุด้วยว่าในช่วงปี พ.ศ. 2490-2491 เป็นระยะเวลาที่ฝ่ายอนุรักษ์หรือฝ่ายนิยมเจ้า ซึ่งมีแกนกลางอยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้กลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง หลังการรัฐประหารปี 2490 ซึ่งถือเป็นการรัฐประหารปิดฉากอำนาจทางการเมืองของคณะราษฎร สายนายปรีดี พนมยงค์
ในปี พ.ศ. 2491 ในช่วงระยะสั้น ๆ ของรัฐบาลซึ่งนำโดยนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 ให้กลายมาเป็น พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2491 สาระสำคัญ คือการตั้ง "สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" เพื่อดูแลทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แทนที่กระทรวงการคลัง และแก้ไขให้การจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้นไปเป็นตามพระราชอัธยาศัย โดยให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีสภาพเป็นนิติบุคคลที่เป็นอิสระจากรัฐบาล จึงมีอำนาจกระทำนิติกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเองได้ และสำนักงานทรัพย์สินฯ ยังสามารถเป็นโจทก์ฟ้องคดีเอง หรือถูกฟ้องในคดีต่าง ๆ ได้อีกด้วย
การจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10

หลังจากปี พ.ศ. 2491 นับเป็นเวลาเกือบ 70 ปี ที่ไม่มีการแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฯ อีก จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2560 ได้มีประกาศราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ "พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2560" ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
สาระสำคัญของ พ.ร.บ. ฉบับนี้ คือการให้คำนิยามที่ชัดเจนของ "ทรัพย์สินส่วนพระองค์" "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" และ "ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์", ให้ทรัพย์สินส่วนพระองค์ตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่มีอยู่ในวันก่อนวันที่ พ.ร.บ. นี้ใช้บังคับ เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ และเปลี่ยนแปลงที่มาของประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้มาจากการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์โดยตรง จากเดิมที่ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั่งเป็นประธานโดยตำแหน่ง
ทั้งนี้ รศ.ดร.ปวงชน อธิบายในหนังสือ "เจ้าทรัพย์ บทวิพากษ์เศรษฐกิจการเมืองไทยร่วมสมัย" ไว้ว่าผลของการบังคับใช้ พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวคือ "ทรัพย์สินของสถาบันกษัตริย์ได้รับการถ่ายโอนไปอยู่ใต้การถือครองของกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว และการจัดการ การดูแลรักษา การจัดหาผลประโยชน์ และการดำเนินการอื่นใด อันเกี่ยวกับทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย"

หลังจากประกาศใช้ พ.ร.บ. จัดระเบียบทรัพย์สินฯ พ.ศ. 2560 ประมาณปีกว่า พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 ก็ถูกบรรจุเข้าสภาผู้แทนราษฎร และผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมลับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อ 25 ต.ค. 2561
ใจความสำคัญของ พ.ร.บ. ฉบับแก้ไขดังกล่าว คือการให้รวมทรัพย์สินทั้งหมดเข้าด้วยกันเพื่อบริหารจัดการในรูปแบบเดียวกัน ภายใต้ชื่อ "ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์" อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนชื่อ ในรายละเอียดต่าง ๆ เช่น
- การเปลี่ยนชื่อ พ.ร.บ. จาก "พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์" เป็น "พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์"
- การเปลี่ยนชื่อประเภทของทรัพย์สินจาก "ทรัพย์สินส่วนพระองค์" เป็น "ทรัพย์สินในพระองค์" และ "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" เป็น "ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์"
- เปลี่ยนชื่อ "สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" เป็น "สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์"
การเปลี่ยนชื่อ "พระคลังข้างที่" นัยต่อประเทศไทยคืออะไร ?
"ร่าง พ.ร.บ. นี้ไม่ได้มีผลกระทบกับประชาชน แต่ผมคิดว่ามองในมุมการเมืองวัฒนธรรม ร่าง พ.ร.บ. นี้กระทบต่อการเมืองวัฒนธรรมไทยอย่างมีนัยสำคัญ" ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานเสวนา "ประชาธิปไตยบนทางแพร่ง" เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา
ศ.ดร.เกษียร ชี้ว่าหากจะคิดว่าการเปลี่ยนชื่อหน่วยงานครั้งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อสังคมด้านใดด้านหนึ่งเลย คงจะไม่จริงทั้งหมด เนื่องจากอาจมีผลกระทบด้านวัฒนธรรมตามมาจาก พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว
นักวิชาการรัฐศาสตร์จากสำนัก มธ. กล่าวว่า ปัจจุบันสังคมไทยยังมีปัญหาในเรื่องวัฒนธรรมรัฐแบบอุปถัมภ์ (Patrimonial) ซึ่งบุคคลผู้เข้าไปกุมอำนาจในบางหน่วยงานอาจมีพฤติกรรมไม่แยกทรัพย์สินส่วนรวมและส่วนตัว ถือเป็นปัญหาสำคัญของรัฐและราชการไทย ประเทศจึงควรส่งเสริมวัฒนธรรมที่แยกชัดระหว่างทรัพย์สินส่วนตัวและทรัพย์ของหลวง ดังนั้น "คำจึงมีความสำคัญ เพราะคุมคำ คุมความหมาย คุมความคิด คุมคน" ศ.ดร.เกษียร ระบุ

ศ.ดร.เกษียร กล่าวต่อไปว่า ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สังคมมักมีจินตนาการที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่เห็นความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ (Monarchy) มากกว่าประชาธิปไตย (Democracy) หรือในทางกลับกันคือ ให้ความสำคัญต่อประชาธิปไตยมากกว่า ดังนั้น ในการจัดการกับ พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว จึงเป็นที่น่าจับตามองว่า รัฐบาลชุดนี้จะเลือกก้าวเดินไปในทิศทางไหนของทางแห่งจินตนาการสองทางข้างต้น ก่อนกล่าวสรุปว่าการเปลี่ยนชื่อ "สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์" ให้เป็น "สำนักงานพระคลังข้างที่" นั้นเปรียบเสมือน "สัญลักษณ์แห่งจินตนากรรมสภาวะยกเว้นย้อนยุคในนิติรัฐ"
ด้าน ศ.กิตติคุณ ดร.ธงชัย วินิจจะกูล จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน (University of Wisconsin-Madison) กล่าวแสดงทัศนะในงานเสวนาเดียวกันว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจที่ พ.ร.บ. ฉบับนี้จะถูกยื่นเข้าสภาในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ซึ่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นแกนนำ แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือความต้องการที่แท้จริงของผู้ยื่นร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว เนื่องจาก "ความต้องการที่เกิดในปัจจุบันจะกลับไปเปลี่ยนความหมายของคำว่าพระคลังข้างที่" และเห็นว่า "มีมูลอยู่ที่เขาเลือกใช้คำนี้"
https://www.bbc.com/thai/articles/clyg94d30zgo