
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 พฤษภาคม 2568
เผยแพร่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2568
กระบวนการยุติธรรมไทย
ในวันที่บุ้งไม่อยู่
(บรรยายในงานรำลึก 1 ปี “บุ้ง เนติพร วันที่เธอหายไป” (Remembering Her, Remember Us, 14 พฤษภาคม 2568 ณ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร)
เกริ่นนำ
การเสียชีวิตของ “บุ้ง” เนติพร เสน่ห์สังคม บอกแก่สังคมไทยว่า ถึงเวลาต้องสะสางกระบวนการยุติธรรมของไทยใน 3 เรื่องใหญ่ด้วยกัน คือ
1. กระบวนการยุติธรรมที่เป็นเหตุของความอยุติธรรมเสียเอง โดยเฉพาะที่เกิดกับนักโทษการเมืองหรือทางความคิด
2. การราชทัณฑ์ เรือนจำ เป็นองค์ประกอบหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมที่จะอำนวยให้เกิดความยุติธรรมหรือทำให้เกิดความอยุติธรรมก็ได้
3. การลอยนวลพ้นผิด
ในขณะที่ยังไม่มีคำอธิบายหรือแม้แต่ข้อเท็จจริงให้เกิดความเข้าใจการเสียชีวิตของบุ้งขึ้นบ้าง ทั้งกลับเต็มไปด้วยความพยายามบ่ายเบี่ยงและถ่วงเวลาของทางราชการ แต่ไม่ว่าเราจะได้รับคำตอบหรือไม่ก็ตาม
การเสียชีวิตของเธอจะติดตรึงในประวัติศาสตร์กระบวนการยุติธรรมไทยตลอดไป เพราะเป็นกรณีที่ฟ้องให้เห็นปัญหาทั้งสามประเด็นดังกล่าว
กระบวนการยุติธรรม
ที่เป็นเหตุของความอยุติธรรม
ใช่… มีคนที่อึดอึดใจกับวิธีการประท้วงของบุ้งในหลายกรณีเพราะเห็นว่าก้าวร้าว แม้แต่คนที่เห็นด้วยกับความมุ่งหมายของบุ้งก็อาจจะเห็นว่าวิธีการของเธอทำให้ “เสียแนวร่วม” แทนที่จะเข้าใจและเข้าร่วมกับสิ่งที่เธอเรียกร้อง
เราไม่ต้องเห็นด้วยกับวิธีการประท้วงของบุ้งก็ได้ แต่ลองจับเอาความ “ก้าวร้าวรุนแรงของบุ้ง” เทียบกับความรุนแรงอีกสองประเภทที่เกี่ยวข้องกัน (ผมจะไม่เทียบกับความรุนแรงอีกมากซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันเพราะถือว่าไม่แฟร์)
ประเภทแรก คือ ความรุนแรงทางการเมืองที่สังคมไม่รู้สึกว่าผู้กระทำเป็นคนก้าวร้าวรุนแรง แถมมีคนยอมรับจำนวนมากด้วยซ้ำ ได้แก่ การรัฐประหารและนิติสงคราม
ประเภทที่สอง คือ ความรุนแรงตามกฎหมาย ได้แก่ การไม่ให้ประกัน การฟ้องร้องที่เลอะเทอะ หรือใครๆ ก็ฟ้องได้เพื่อสร้างความกลัว
อีกอย่างหนึ่งซึ่งสังคมไทยเห็นเป็นเรื่องเล็ก ไม่เห็นว่ารุนแรง ทั้งๆ ที่อาจก่อให้เกิดบาดแผลทางจิตใจไปอีกนาน นั่นคือการขังคุกข้ามคืนเพื่อรอศาลหรือรอทำสำนวนเสร็จ
บุ้งประท้วงด้วยการพ่นสี สาดน้ำ ทำแผ่นสอบถาม โต้เถียงต่อปากต่อคำ เทียบไม่ได้เลยกับความรุนแรงสองประเภทข้างต้น ไม่สามารถสร้างความกลัวให้ใครได้ ไม่ก่อบาดแผลทางใจต่อใครทั้งนั้น
ไม่ว่าจะมองวิธีการของบุ้งอย่างไร แต่เราก็ไม่ควรมองข้าม ประเด็นที่เป็นหัวใจของการต่อสู้ของเธอ นั่นคือ ความอยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมของไทย และไม่ควร “โทษเหยื่อ” ว่าการสูญเสียเป็นเพราะการกระทำของเธอเอง
การประท้วงที่นำไปสู่การจับกุมคุมขังบุ้งส่วนมากเกี่ยวกับความอยุติธรรมที่มีต่อผู้ที่มีความคิดค่านิยมซึ่งต่างไปจากที่สังคมไทยยึดถืออย่างตายตัวและคับแคบ หรือนักโทษทางความคิดและการเมือง โดยเฉพาะถูกปฏิเสธสิทธิในการประกันตัว
คงไม่จำเป็นต้องอธิบายกันยืดยาวอีกแล้วว่า การใช้กฎหมายโดยเฉพาะมาตรา 112 ด้วยเหตุผลทางการเมืองเป็นปัญหาขนาดไหน ทั้งตัวบทและการบังคับใช้ การให้ใครก็ฟ้องได้ การตีความที่เกินเลยแถมไม่คงเส้นคงวา การดำเนินคดีที่ผิดปกติบ่อยครั้ง และความกลัวทั้งในหมู่ประชาชนและในหมู่เจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายนี้ ทั้งตำรวจ อัยการ และศาล จนมีผลทำให้การพิจารณาและตัดสินคดีจำนวนมากเคลือบแคลงน่าสงสัย เป็นรอยด่างดำของประเทศไทยในสายตานานาชาติ
ความอยุติธรรมเกิดมากขึ้นเรื่อยในกระบวนการพิจารณาคดี เช่น การไม่เรียกหลักฐานให้จำเลยด้วยการอ้างมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ การพิจารณาคดีลับทั้งๆ ที่กฎหมายมิให้ทำเช่นนั้น แต่กลับทำโดยอ้างข้อยกเว้น อ้างความมั่นคง คำตัดสินที่ไม่ลงชื่อผู้พิพากษา การให้อธิบดีศาลเข้าแทรกแซงการตัดสิน ฯลฯ ส่วนใหญ่ถูกปฏิเสธไม่ให้ประกันตัวออกมาสู้คดี
สิ่งที่บุ้งต่อสู้นั้นก็เพื่อขจัดความอยุติธรรมความผิดเพี้ยนเหล่านี้ในกระบวนการยุติธรรม
กรณีของพอล แชมเบอร์ส บ่งชี้ว่าความผิดปกติเกิดขึ้นซ้ำเล่าจนกลายเป็นปกติสำหรับคดีเหล่านี้ การฟ้องที่เริ่มจากคนคนเดียวในเฟซบุ๊ก ฟ้องสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่มีหลักฐานเพียงพอ เจ้าหน้าที่ก็ไม่กลั่นกรองเพราะทั้งตำรวจ อัยการ จนถึงศาลกลัวกันหมด กลัวจนไม่ยอมให้ประกันไว้ก่อน ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนว่าไม่มีมูล ไม่มีหลักฐานหรืออาจจะเกิดจากคนฟ้องแปลผิดเองด้วยซ้ำ แต่ก็นำไปสู่การเสียอิสรภาพอย่างน้อยหนึ่งคืน
ทว่า สังคมไทยไม่เห็นว่าการเอาคนขังคุกคืนหนึ่งเป็นความอยุติธรรมที่รุนแรง
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาภายใต้ตุลาการภิวัตน์ มีคดีทำนองเดียวกันอีกจำนวนมาก
ความอยุติธรรมของกระบวนการยุติธรรมเป็นที่รับรู้กันทั่วสังคมไทย ถึงขนาดที่กลายเป็นวิกฤตความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าวงการตุลาการจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม วิกฤตความน่าเชื่อถือจะดำรงอยู่ตลอดไปตราบเท่าที่ไม่มีความพยายามแก้ไข ในระหว่างนี้สาธารณชนทำอะไรไม่ได้เพราะตุลาการเป็นอิสระจากการวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม
ภาวะเช่นนี้ทำให้สาธารณชนกลัว “นิติสงคราม” หรือการใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉลเพื่อทำร้ายประชาชนที่คิดต่างมีค่านิยมต่าง แถมทำร้ายอย่างคาดการณ์ไม่ได้ว่าแค่ไหนทำได้ แค่ไหนไม่สมควร เราท่านจะโดนเมื่อไร
เหล่านี้คือเป้าหมายที่บุ้งต้องการต่อสู้แก้ไข
คำถามสำคัญมากที่สังคมไทยยังไม่ได้เริ่มถกเถียงกันเลยก็คือ ในเมื่อกระบวนการยุติธรรมก่อความอยุติธรรมเสียเอง แล้วเราจะมีหนทางจัดการอย่างไรนอกเหนือไปจากขอร้องวิงวอนฝากความหวังกับกระบวนการที่ก่อความอยุติธรรมให้แก้ไขตนเอง แต่ไม่มีหนทางอื่นที่จะทำให้กระบวนการยุติธรรมดังกล่าวต้องรับผิด (accountable) แต่อย่างใด

ราชทัณฑ์ (1)
ผมเคยมีโอกาสร่วมงานรำลึกถึงบุ้งครั้งหนึ่งไม่กี่เดือนหลังจากที่เธอเสียชีวิต
ผมอยากจะขอย้ำ ผมทราบดีว่าผู้จัดงานและเพื่อนของบุ้งคงอยากสืบทอดเจตนาของเธอในการ “ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม” คำคำนี้ชวนให้นึกถึงตำรวจ ศาล อัยการมากกว่า คนจำนวนไม่น้อยอาจจะลืมไปแล้วว่าราชทัณฑ์ คุก ตะราง ก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมด้วย
การราชทัณฑ์หลุดรอดการจับตาของสังคมมานานเกินไปแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมมีความสำคัญมากและมีปัญหามาก
ผมเห็นว่าการเสียชีวิตของบุ้งมีความหมายเป็นพิเศษตรงที่ได้เปิดเผยธาตุแท้ของราชทัณฑ์ไทยเป็นการเฉพาะว่ามีคุณสมบัติโหดร้ายไร้มนุษยธรรมขนาดไหน เปิดเผยปัญหาระดับวิกฤตของการราชทัณฑ์ของไทย
กรณีบุ้งและกรณีอากง อำพล ตั้งนพกุล ฟ้องถึงความล่าช้า ไม่แยแส ไม่พร้อม ไม่ปฏิบัติต่อนักโทษที่เจ็บป่วยเป็นมนุษย์ บวกด้วยความพยายามรักษาหน้า ปกปิดความผิด ด้วยการบ่ายเบี่ยงหน่วงเหนี่ยวกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริงถึงการเสียชีวิตของเธอ กรณีของบุ้งจึงสามารถเป็นหลักฐานเพื่อจะยกเครื่องกิจการราชทัณฑ์ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางได้
หลายท่านอาจไม่รู้ว่าสภาพของเรือนจำเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการสารภาพของผู้ถูกคุมขังคดีการเมืองมากขนาดไหน การที่พวกเขาส่วนใหญ่ถูกปฏิเสธการประกันตัว จึงได้รับรู้ชีวิตในเรือนจำแต่เริ่มต้น หลายคนคิดคำนวณว่าจะสารภาพ (ทั้งๆ ที่ยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิด) เพื่อตัดตอนการพิจารณาคดีที่ยืดยาวและหวังจะได้ลดโทษลงครึ่งหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการติดคุกนาน
ข้อเท็จจริงของคดีไม่ใช่ปัจจัยสำคัญต่อการสารภาพเท่ากับสภาพคุก เท่ากับว่าคำสารภาพหลายคดีเกิดจากการถูกคุกคาม แม้ว่าไม่ใช่จากเจ้าพนักงาน แต่เป็นการคุกคามด้วยสภาพของเรือนจำ ในทางกฎหมาย คำสารภาพในภาวะเช่นนี้อาจถือว่าเป็น False confession
ถ้าหากการต่อสู้ช่วยให้เกิดการปรับปรุงปฏิรูปขึ้น จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อนักโทษนับหมื่นแสนคนในเรือนจำทั่วประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่มิใช่นักโทษการเมือง
ยกตัวอย่างเช่น การใส่กุญแจข้อเท้า ซึ่งเป็นการเรียกอย่างสวยหรูแทนคำว่า “ตรวน” ในสมัยก่อนแค่นั้นเอง โดยใช้กุญแจมือแทนที่จะเป็นวงเหล็กหนักๆ และใช้โซ่เส้นเล็กกว่าตรวนแต่ก่อน หรือการห้ามนักโทษใส่รองเท้าเวลามาศาล น่าอนาถที่เราท่านไม่รู้สึกอะไรแล้วเวลาเห็นนักโทษเท้าเปล่ามีโซ่ล่ามสองขาจนเดินไม่ถนัดในห้องพิจารณาคดีอันสูงส่ง
ข้อบังคับเหล่านี้มีไว้ลดทอนความเป็นคน (dehumanize) ของนักโทษ เพื่อหล่อเลี้ยงความภูมิใจของเจ้าพนักงานว่าตนเป็นคนมีอำนาจ ไม่มีประโยชน์อื่นใด ดังนั้น หากยกเลิกได้ นักโทษนับหมื่นแสนคนจะเป็นมนุษย์เสมอคนอื่นๆ เสียที
คุกของไทยเป็นแหล่งลดทอนความเป็นคน ถ้าเราเห็นว่าการทำเช่นนั้นป่าเถื่อนและไม่ควรมีใครถูกลดทอนความเป็นคน เราก็ควรทลายแหล่งผลิตความป่าเถื่อนดังกล่าว คุกของไทยดังที่เป็นอยู่น่าจะเป็นแหล่งแรกๆ ที่สมควรถูกทลาย
การราชทัณฑ์ของไทยในปัจจุบันเป็นมรดกของการสอบสวนและลงโทษตามจารีตโบราณที่เรียกกันว่า “จารีตนครบาล” (ยกเลิก พ.ศ.2439 สมัยรัชกาลที่ 5) ซึ่งถือว่าผู้ต้องขังมีความผิดจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าตนเองบริสุทธิ์ และยอมให้ใช้การทรมานเพื่อรีดคำสารภาพได้ การราชทัณฑ์ของไทยยังเปลี่ยนไม่ผ่านไปสู่การลงโทษแบบอารยะสมัยใหม่ที่ถือว่านักโทษเป็นมนุษย์เหมือนกันที่ถูกลงโทษเพื่อให้บำบัดแก้ไขปรับปรุงตัว (correction)
การแปลคำว่า “ราชทัณฑ์” ในภาษาไทย ว่าเท่ากับ “Corrections” ในภาษาอังกฤษเป็นการแปลแบบขี้ตู่ เพราะเอาจารีตการสอบสวนลงทัณฑ์คนละระบบมาวางเคียงว่าเหมือนกัน
เลิกเถอะครับ เพราะโลกสมัยนี้ข้ามการสอบสวนและลงโทษที่ป่าเถื่อนแบบจารีตนครบาลมานานแล้ว ทั้งนี้ การแก้ไขจนถึงยกเลิกการใส่ตรวนและการห้ามใส่รองเท้า สามารถทำได้โดยแก้กฎระดับกระทรวงทบวงกรม ไม่ต้องทำเป็นพระราชบัญญัติผ่านสามวาระในรัฐสภาแต่อย่างใด
ผมเห็นว่าสังคมไทยไม่เคยสนใจกิจการราชทัณฑ์อย่างจริงจัง ก็เพราะเห็นเป็นเรื่องของคนคุกที่น่ารังเกียจ
ราชทัณฑ์ (2)
กรณีของบุ้ง กรณีอากง และกรณีทำนองเดียวกันอื่นๆ ยังสามารถเปรียบเทียบกับ “กรณีชั้น 14” เพื่อให้เห็นความแตกต่างตรงข้ามกัน ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจมากขึ้นว่าทำไมจึงต้องปฏิรูปการราชทัณฑ์
จริงอยู่ว่าการลงโทษทักษิณ ชินวัตร นั้นน่าสงสัยไม่เป็นธรรม การตัดสินลงโทษเขาอยู่ในบริบทของความพยายามเล่นงานทักษิณ เอาเขาออกไปจากการเมืองไทย จึงเป็นความอยุติธรรมอีกกรณีที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมถูกตั้งข้อสงสัย
การที่เขาพยายามหาทางเอาตัวรอดจากเรือนจำเป็นสิ่งน่าเห็นใจ แต่วิถีทางออกที่เขาเลือกคือ “ดีล” โดยยอมรับการลงโทษ แต่ทำข้อแลกเปลี่ยนกับผู้ทรงอำนาจของรัฐพันลึก เพื่อให้เขาไม่ต้องเข้าเรือนจำ แถมกลับมาเป็นผู้มีอำนาจได้อีกครั้ง
วิถีทางออกนี้ต้องโกหกต่อสาธารณชน แถมไม่แคร์ว่าจะสมจริงมีเหตุผลหรือจะเป็นแค่จำอวดตบหน้าประชาชน ทำราวกับประชาชนโง่งมและยอมให้ถูกลากจูงไปทางไหนก็ได้ จะพูดเลอะเทอะอย่างไรก็ได้
นี่เป็นวิถีทางที่ก่อปัญหามาก เพราะ “เอาโอกาสอันเกิดจากอาณัติ (mandate) ที่สาธารณชนมอบหมายให้ในการเลือกตั้งเพื่อให้สร้างความเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ในสังคมไทย เอาไปแลกกับสิ่งที่ตนต้องการ ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรเลยกับผลประโยชน์สาธารณะ” (นี่คือความหมายของการ “ตระบัดสัตย์” – โปรดอ่านข้อความที่เน้นอีกครั้ง — อย่าบิดความหมายเป็นอย่างอื่นเพื่อเลี่ยงการรับผิดชอบ)
ในขณะที่ผู้ต้องขังทั้งหลาย ทั้งนักโทษการเมืองและไม่เกี่ยวกับการเมือง ยังประสบปัญหาถูกพรากสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ในเรือนจำสมควรได้รับ ทั้งสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อาหารที่กินไม่ลง และการรักษาพยาบาลที่ขาดแคลน ไม่เหมาะสมและไม่เพียงพอในยามเจ็บป่วย แต่อภิสิทธิ์ชนคนนั้น นอกจากจะสยบยอมไม่ต่อสู้กับความอยุติธรรมแล้ว ยังกลับใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลเพื่อหาประโยชน์ให้ตนเอง คือได้รับการงดเว้นไม่ต้องเข้าเรือนจำ แถมยังเลิกความพยายามนิรโทษกรรมให้นักโทษการเมืองตามที่สัญญาไว้ตอนหาเสียง เพราะเอาไปแลกกับการไม่ต้องติดคุกไปแล้ว
อภิสิทธิ์พิเศษที่เขาได้รับ ไม่เคยมีมาก่อนในระบบการรักษาพยาบาลของราชทัณฑ์ ตรงข้ามลิบลับกับชะตากรรมของผู้ต้องขังปกติซึ่งได้รับการรักษาพยาบาลอย่างจำกัด ล่าช้าอย่างน่ารังเกียจ ไม่เหมาะสมและไม่เพียงพออย่างน่าอนาถ ไร้มนุษยธรรมอย่างเหลือเชื่อ (เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกือบ 50 ปีก่อนในกรณีโอริสสา ไอราวัณวัฒน์ ผู้ต้องขังคดี 6 ตุลาต้องรอหลายเดือนจนกระทั่งรัฐบาลไทยจะถูกกดดันจากนานาชาติอย่างหนัก ราชทัณฑ์จึงยอมส่งเขาไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาแผลเน่าเฟะเนื่องจากถูกกระสุนกรอกเข้าปากที่ธรรมศาสตร์)
อภิสิทธิ์ที่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างสุดพิเศษ ช่างแตกแตกต่างลิบลับราวสวรรค์กับนรกกับกรณีอากงและบุ้งที่เสียชีวิตเพราะถูกปฏิเสธการรักษาที่เพียงพอเหมาะสมและทันการณ์ ต่างลิบลับกับกรณีเอกชัย หงส์กังวาน และนักโทษอื่นๆ ซึ่งตามปกติจะถูกสงสัยไม่เชื่อไว้ก่อนว่าป่วยหนักจริง เพราะนักโทษปกติน่าถือเชื่อน้อยกว่ามนุษย์ปกติ
ครั้นเกิดการเสียชีวิตแล้ว ทางราชการยังไม่แคร์ ไม่เห็นหัวนักโทษถึงขนาดที่ไม่สนใจอธิบายตามความจริงหรืออย่างมีเหตุผล ไม่ให้หลักฐาน ไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวน ความเพิกเฉยละเลยต่อนักโทษเช่นนี้ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 50 ปีมาแล้ว และน่าจะนานกว่านั้น เพราะนักโทษเผชิญกับการปฏิบัติราวไม่ใช่มนุษย์มาตั้งแต่การราชทัณฑ์แบบจารีต พวกเขาไม่สามารถมีปากเสียงเพราะถึงอย่างไรก็คงไม่มีใครฟัง
โศกนาฏกรรมที่เกิดกับบุ้งเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของทั้งระบบเรือนจำในประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำแต่ไม่มีใครสนใจความทุกข์ร้อนของนักโทษปกติทั้งหลาย แม้แต่พวกเราก็ไม่ค่อยสนใจพวกเขา
สรุป กรณีหนึ่ง ทำการตบตาประชาชน ได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างดีเป็นพิเศษ เพราะดีลทำให้เขาเป็นฝ่ายอภิสิทธิ์ชนสูงกว่าคนธรรมดาไปแล้ว
กรณีบุ้ง ถูกเจ้าหน้าที่ปกปิดความจริงต่อสาธารณชน ได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่อย่างแย่เป็นพิเศษ เพราะเธอเป็นคนคุกที่มีค่าน้อยกว่ามนุษย์ปกติไปแล้ว (เปลี่ยนชื่อบุ้ง เป็นอากง เป็นเอกชัย เป็นชื่ออื่นอีกมากมายก็ย่อมได้)
ลอยนวลพ้นผิด (impunity)
กรณีของบุ้ง ยังเกี่ยวข้องกับความอยุติธรรมอีกอย่าง คือ การที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์บ่ายเบี่ยงหน่วงเหนี่ยวการหาความจริง พยายามหลีกเลี่ยงการรับผิด (accountability) หรือเพื่อลอยนวลพ้นผิด (impunity) นั่นเอง
การลอยนวลพ้นผิดเป็นโรคร้ายที่เรื้อรังในระบบการเมืองและระบบยุติธรรมของไทย Tyrell Haberkorn ถึงกับเสนอว่า การลอยนวลพ้นผิดเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการสร้างชาติของไทยมาตั้งแต่ต้น
ผมเห็นว่า ประเทศไทยเป็น “นิติรัฐอภิสิทธิ์” (prerogative state) หมายถึง รัฐที่ปกครองโดยระบบกฎหมายที่ให้อภิสิทธิ์แก่รัฐมากเป็นพิเศษโดยอ้างว่าเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ อภิสิทธิ์ทางกฎหมายที่สำคัญ คือ การงดใช้กฎหมายปกติ ให้อำนาจพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐใน “ภาวะยกเว้น” ที่รัฐอ้างว่ามีภัยต่อความมั่นคงและ/หรือสถานการณ์ฉุกเฉิน
แต่อภิสิทธิ์ซึ่งเหลือล้นที่สุดที่ไม่มีรัฐปกติที่ใดในโลกได้รับ แต่กลับเป็นองค์ประกอบหนึ่งของรัฐไทย คือ อภิสิทธิ์ที่กระทำผิดก็ไม่ถือเป็นความผิด
สังคมไทยเริ่มตระหนักถึงปัญหาการลอยนวลพ้นผิดเช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เรามักเรียกว่า “วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด” ซึ่งถูกเพียงครึ่งเดียว นั่นคือรัฐไทยอ้างอภิสิทธิ์เช่นนี้บ่อยครั้งจนกระทั่งกลายเป็นวัฒนธรรมการเมืองไทย แต่เนื้อแท้ของการลอยนวลพ้นผิดคืออภิสิทธิ์ที่จะไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย
การแก้ไขวัฒนธรรมมักต้องอาศัยการถกเถียงยาวนาน ออกคำสั่งบังคับกันได้ยาก แต่อภิสิทธิ์ลอยนวลพ้นผิดสามารถระงับได้โดยกฎหมายที่บัญญัติให้ถือว่าอภิสิทธิ์เหลือล้นดังกล่าวนั้นผิดกฎหมาย
นักวิชาการยังมีภารกิจที่ต้องจัดการเกี่ยวกับเรื่องลอยนวลพ้นผิดนี้ ก็คือ ในเมื่อเป็นคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งของรัฐไทย เราต้องศึกษาเข้าใจมากกว่านี้ว่าในสถานการณ์หรือเงื่อนไขเช่นใดที่มักมีการอ้างให้อภิสิทธิ์เช่นนี้ มีแบบแผน (pattern) หรือไม่ ใช้เหตุผลหรือความหมายอะไรบ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมต่อสาธารณชน เป็นต้น เพื่อจะพยายามขจัดทั้งตัวการกระทำผิดๆ และปัจจัยเงื่อนไขต่างๆ ที่เอื้ออำนวยให้เกิดการลอยนวลพ้นผิด
กล่าวโดยสรุป
เราสามารถทำให้การเสียชีวิตของบุ้งมีความหมายมากกว่าการรำลึกให้สังคมจดจำเธอ ด้วยการทำให้กรณีของบุ้งมีความหมายต่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ในความเห็นของผม เราควรทำให้กรณีบุ้งและกรณีอากงจุดประกายและเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการปฏิรูปกิจการราชทัณฑ์
สังคมไทยจะเฉยชากับความอยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมไปอีกนานเท่าไร ขึ้นอยู่กับการรณรงค์ให้ความรู้แก่สาธารณชน ต่อสู้กับความเฉยชาเช่นนั้น พร้อมๆ กับต่อสู้กับอำนาจที่ขัดขวางการเปลี่ยนแปลง
พอทีเถอะกับการกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของบุ้งเอง ถ้าสังคมไทยจะไร้ศีลธรรมปานนั้น ผมก็จะไม่แปลกใจเลยถ้าหากสังคมไทยจะถึงจุดที่หายนะล้มเหลว ไม่เพียงทางเศรษฐกิจ แต่รวมถึงความล้มเหลวทางศีลธรรม จริยธรรม ล้มเหลวทั้งกระบวนการยุติธรรมด้วย
แต่เราคงไม่ต้องการเห็นความล้มเหลวขนาดนั้น กรณีการเสียชีวิตของบุ้งจึงเป็นโอกาสดีที่เราจะทำให้สังคมไทยตื่นตัวและเริ่มจัดการแก้ไขอย่างจริงจัง
https://www.matichonweekly.com/column/article_842485