วันศุกร์, พฤษภาคม 30, 2568

อะไรทำให้ปัญหาสารพิษในแม่น้ำจัดการได้ยากเย็น - เรื่องนี้ต้องไปดูที่ต้นทางในพม่า


Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส 
Yesterday
·
อะไรทำให้ปัญหาสารพิษในแม่น้ำจัดการได้ยากเย็น - เรื่องนี้ต้องไปดูที่ต้นทางในพม่า

ต้นทางของมลพิษในแม่น้ำกกที่กำลังเข้าขั้นวิกฤติมาจากการทำเหมืองทองและเหมืองแร่หายากในพม่า ซึ่งการทำเหมืองเหล่านี้ไม่มีการจัดการสารพิษอย่างเหมาะสม และปล่อยสารเหล่านั้นลงสู่แม่น้ำโดยตรง
เหมืองดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ของ ‘กองทัพว้า’ กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่และเข้มแข็งที่สุดในเวลานี้ คาดว่ามีนักรบไม่ต่ำกว่า 30,000 คน พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ทันสมัยในระดับที่กองทัพพม่า หรือตัดมาดอว์ ไม่ค่อยกล้าต่อกรด้วย
สถานะอย่างเป็นทางการของว้าภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของพม่า คือ เขตปกครองตนเองว้า อยู่ภายใต้การบริหารของพรรคสหรัฐว้า (UWSP) มีอำนาจเต็มในการควบคุมกองทัพสหรัฐว้าและการบริหารงานในพื้นที่ทั้งหมด หลายกรณีว้าสามารถติดต่อต่างประเทศเฉพาะอย่างยิ่งจีนได้เองโดยไม่ต้องขึ้นต่ออำนาจของสภาบริหารแห่งรัฐของ มิน อ่อง หล่าย ส่วนทหารพม่าก็ห้ามเข้าเขตว้าก่อนได้รับอนุญาต
สิ่งที่ว้าครอบครองไว้ในมือคือ แหล่งผลิตแร่หายากที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากจีนและสหรัฐฯ แร่เหล่านี้ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีสูง ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือไปจนถึงขีปนาวุธ
นั่นทำให้การเข้าไปตรวจสอบ ควบคุม หรือจัดการปัญหาการปล่อยสารพิษจากเหมืองทองและเหมืองแร่หายากในพื้นที่ว้าแทบไม่มีใครสามารถทำได้ หรือแม้แต่กล้าเข้าไปยุ่ง
มีวิธีไหนหรือใครสามารถยื่นมือเข้าช่วยแก้ปัญหามลพิษทางน้ำข้ามแดนที่กำลังเข้าขั้นวิกฤตินี้ได้บ้าง อ่านในบทความโดย สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี
https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/105440
.....

ทำไมปัญหาสารพิษในแม่น้ำกกจากเขตว้าในพม่ารุนแรงเกินกว่าอำนาจรัฐใดๆ จะจัดการได้?



28 พ.ค. 68
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี
Thairath Plus

Summary
  • ต้นทางของมลพิษในแม่น้ำกกที่กำลังเข้าขั้นวิกฤติมาจากการทำเหมืองทองและเหมืองแร่หายากในพม่า ซึ่งการทำเหมืองเหล่านี้ไม่มีการจัดการสารพิษอย่างเหมาะสม และปล่อยสารเหล่านั้นลงสู่แม่น้ำโดยตรง
  • เหมืองดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ว้า กองกำลังชาติพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุด มีกำลังพลจำนวนมาก อาวุธทันสมัย เมื่อเหมืองแร่หายากที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลกอยู่ในพื้นที่ของว้า จึงทำให้ว้ามีขุมทรัพย์ขนาดใหญ่อยู่ในมือ
  • การทำเหมืองแร่หายากใช้สารละลายแอมโมเนียมซัลเฟต ซึ่งเป็นสารพิษร้ายแรง เพื่อชะล้างแร่ โดยไม่มีมาตรการด้านความปลอดภัย กิจกรรมเหมืองแร่ที่ไร้การควบคุมจึงเปลี่ยนพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำกกให้กลายเป็นพื้นที่อันตรายต่อสิ่งแวดล้อมในระดับวิกฤติ
หลังจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ตรวจพบสารปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในแม่น้ำกก ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพของประชาชนที่ใช้น้ำในแม่น้ำดังกล่าวเพื่อการอุปโภคบริโภค คณะกรรมการแม่น้ำโขงฝ่ายไทยได้ขอความช่วยเหลือไปยังคณะกรรมการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) ที่นครหลวงเวียงจันทน์ ให้ช่วยประสานไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนที่กำลังหนักหน่วงขึ้นทุกวัน

แม่น้ำกกมีความยาวทั้งสิ้น 285 กิโลเมตร มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาแดนลาวและเทือกเขาผีปันน้ำทางตอนเหนือของเมืองกก จังหวัดเชียงตุง ในรัฐฉานของประเทศพม่า ไหลข้ามพรมแดนเข้าสู่ประเทศไทยที่ช่องแม่น้ำกก อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านอำเภอเมืองเชียงราย ก่อนจะไหลลงแม่น้ำโขงที่สบกก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

เนื่องจากแม่น้ำกกเป็นลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขง และด้วยความตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำนักเลขาธิการของคณะกรรมการแม่น้ำโขงจึงได้รับเรื่องของไทยเอาไว้ และเสนอให้มีการจัดตั้งระบบเฝ้าระวังคุณภาพน้ำร่วมระหว่างไทยและพม่า (Joint Water Quality Monitoring Initiative) ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายเพื่อประเมินคุณภาพน้ำด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ภายใต้ระเบียบการตรวจสอบคุณภาพน้ำ (Procedure for Water Quality: PWQ) ของคณะกรรมการแม่น้ำโขง ซึ่งประเทศสมาชิกได้ตกลงร่วมกันก่อนหน้า

องค์ประกอบหลักในการดำเนินการตามความริเริ่มนี้คือ จะต้องมีการเก็บตัวอย่างน้ำจากแม่น้ำกกมาตรวจอย่างสม่ำเสมอ มีการทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการปฏิบัติการ อีกทั้งจะต้องมีการพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าในกรณีเกิดมลภาวะ และจะต้องมีการรายงานผลต่อสาธารณะอย่างชัดเจนโปร่งใส พร้อมทั้งสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย

นั่นเป็นเรื่องหลักการและวิถีทางการทูต คณะกรรมการแม่น้ำโขงฝ่ายไทยเสนอเรื่องเข้าไปที่เวียงจันทน์อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนเมษายน 2025 คณะกรรมการแม่น้ำโขงได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม เรียกร้องให้พม่าและไทยร่วมมือกันอย่างสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหามลภาวะในแม่น้ำกก ไม่มีรายละเอียดอะไรเพิ่มเติมว่า จะทำอย่างไรให้ทั้งสองประเทศร่วมมือกันจัดการเรื่องนี้

ปัญหาสำคัญของคณะกรรมการแม่น้ำโขงคือ ประเทศพม่าไม่ได้เป็นสมาชิก แต่มีฐานะเป็นแค่เพียงประเทศคู่เจรจา (dialogue partner) ซึ่งหมายความว่าความตกลงแม่น้ำโขงปี 1995 ที่ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ในฐานะสมาชิกทำกันเอาไว้นั้นไม่มีผลบังคับใช้กับพม่า ข้อเสนอใดๆ ของคณะกรรมการที่ว่ามาทั้งหมดนั้นจะเกิดเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลพม่าสมัครใจให้ความร่วมมือหรือเข้าร่วมเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทหารพม่าตอบกลับไปยังคณะกรรมการแม่น้ำโขงว่ายินดีจะเข้าร่วมการเฝ้าระวังและติดตามคุณภาพน้ำตามที่ได้เสนอขึ้นมา โดยจะให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล เทคนิค ความเชี่ยวชาญกับประเทศไทยอย่างสม่ำเสมอเพื่อประสิทธิภาพในการควบคุมคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก

ฟังดูเหมือนจะเป็นท่าทีที่ดีและให้ความหวังว่าจะสามารถจัดการปัญหามลภาวะในแม่น้ำกกได้ไม่ยากนัก แต่ในความเป็นจริงนั้น โอกาสที่เจ้าหน้าที่หรือผู้เชี่ยวชาญของรัฐบาลทหารพม่าจะเข้าไปเก็บตัวอย่างน้ำในเขตยึดครองของกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army: UWSA) นั้นมีน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้

กองทัพว้าเป็นกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่และเข้มแข็งที่สุดในเวลานี้ คาดว่าน่าจะมีนักรบไม่ต่ำกว่า 30,000 คน พร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ค่อนข้างทันสมัยในระดับที่กองทัพพม่า (ตัดมาดอว์) ไม่ค่อยกล้าต่อกรด้วย ดังนั้น UWSA จึงสามารถขยายดินแดนจากทางตอนเหนือของรัฐฉานมุ่งสู่ใต้มาจนประชิดชายแดนไทยได้อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ความที่กลุ่มว้าเข้มแข็งและได้มหาอำนาจจีนหนุนหลัง ทำให้พื้นที่ของว้าค่อนข้างสงบจึงเปิดโอกาสให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายอย่างเกิดขึ้นและขยายตัวได้เรื่อยมา

หลายปีมานี้กองทัพว้าให้สัมปทานเหมืองทองและแร่หายาก (rare earth) แก่นักลงทุนชาวจีนอย่างมากมาย จนอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นยุคเฟื่องฟูเลยทีเดียว

มีรายงานว่าแรงงานชาวจีนมากกว่า 300 คนทำงานในเหมืองเหล่านี้ โดยทำการขุดเจาะภูเขา ขุดลอกลำธาร และใช้สารเคมีอย่างไซยาไนด์เพื่อสกัดทองคำ มีน้ำเสียที่เป็นพิษไหลลงสู่แม่น้ำกกโดยตรง นับตั้งแต่การรัฐประหารในพม่าเมื่อปี 2021 การทำเหมืองในเขตว้าได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วคาดว่าน่าจะมีอยู่ประมาณ 30-40 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่รวมกว่า 11,000 ไร่

ภาพถ่ายจากดาวเทียมยืนยันว่า ไม่มีการจัดเก็บของเสียหรือสร้างบ่อกักเก็บตะกอนอย่างเหมาะสม ซึ่งชี้ให้เห็นว่าน้ำเสียที่ปนเปื้อนไซยาไนด์และโลหะหนักกำลังไหลลงสู่แม่น้ำลำธารโดยตรง กิจกรรมเหมืองแร่ที่ไร้การควบคุมเช่นนี้ได้เปลี่ยนพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำกกให้กลายเป็นพื้นที่อันตรายต่อสิ่งแวดล้อมในระดับวิกฤติ

นอกจากทองคำแล้ว ยังมีหลักฐานปรากฏว่ามีการทำเหมืองแร่หายากอย่างผิดกฎหมายในพื้นที่ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้าใกล้ชายแดนไทย

การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดพบแหล่งเหมืองแร่หายากอย่างน้อย 2 แห่งในพื้นที่เมืองยอน (รัฐฉานตอนใต้) ห่างจากอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ประมาณ 25 กิโลเมตร ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีบ่อชะล้างและละลายแร่อยู่เป็นแถวสำหรับการสกัดแร่ด้วยสารเคมีอยู่อีกด้วย

การทำเหมืองแร่หายากใช้สารละลายแอมโมเนียมซัลเฟต ซึ่งเป็นสารพิษร้ายแรง เพื่อชะล้างแร่ให้ออกมา และเหมืองเหล่านี้ก็ไม่มีมาตรการความปลอดภัยเช่นกัน กิจกรรมดังกล่าวกำลังทำลายทั้งดินและน้ำในลักษณะเดียวกับการทำเหมืองทองคำ อาจจะกล่าวได้ว่าความเฟื่องฟูของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของว้าคือหายนะของสภาพแวดล้อมต้นแม่น้ำกกโดยแท้

พม่าเป็นแหล่งผลิตแร่หายากใหญ่เป็นอันดับสามของโลกรองจากจีนและสหรัฐฯ แร่พวกนี้ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีสูงทั้งหลายแหล่ ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือไปจนถึงขีปนาวุธ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ว้าจะเปิดพื้นที่ยึดครองของตนเองเพื่อขุดค้นหาแร่มีค่ากันอย่างขนานใหญ่ และมันจะกลายเป็นแหล่งรายได้ที่จะเสริมเพิ่มเติมจากการผลิตและค้ายาเสพติดซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมที่สร้างกองทัพว้าให้ใหญ่โตแข็งแกร่งได้มาจนถึงทุกวันนี้

สถานะอย่างเป็นทางการของว้าภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของพม่า คือ เขตปกครองตนเองว้า (Wa Self-Administration Division) ประกอบไปด้วย 2 อำเภอในพื้นที่ของรัฐฉานทางตอนเหนือ มีทั้งหมด 6 เมืองคือ หัวปัง เมืองมา ปันไว นาพัน เมตมัน และปางซาง อยู่ภายใต้การบริหารของพรรคสหรัฐว้า (United Wa State Party: UWSP) มีอำนาจเต็มในการควบคุมกองทัพสหรัฐว้าและการบริหารงานในเขตพื้นที่ทั้งหมด รวมทั้งให้สัมปทานธุรกิจ ยิ่งไปกว่านั้น หลายกรณีติดต่อกับต่างประเทศเฉพาะอย่างยิ่งจีนได้เองโดยไม่ต้องขึ้นต่ออำนาจของสภาบริหารแห่งรัฐ (State Administration Council: SAC) ของ มิน อ่อง หล่าย แต่อย่างใดเลย ส่วนทหารตัดมาดอว์หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลทหารพม่าก็ห้ามเข้าไปในเขตว้าก่อนได้รับอนุญาต

เพราะฉะนั้น รัฐบาลทหารพม่าก็ได้แต่เพียงรับทราบว่ามีการทำเหมืองทองคำและแร่หายากในเขตว้า แต่ไม่มีอำนาจที่จะเข้าจัดการหรือควบคุมแต่อย่างใด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีการดำเนินกิจกรรมในการขุดค้นแร่เหล่านั้นโดยไม่ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่ออะไรทั้งสิ้น อีกทั้งโลกภายนอกก็ไม่มีข้อมูลชัดเจนนักว่า อำนาจการปกครองของว้าได้เอาใจใส่หรือมีระบบในการควบคุมดูแลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองแร่กันอย่างไร

สถานการณ์เช่นนี้ รัฐบาลไทยคงไม่สามารถอาศัยช่องทางการทูตปกติเพื่อติดต่อประสานงานไปยังรัฐบาลทหารพม่า หรือขอให้คณะกรรมการแม่น้ำโขงช่วยประสานงานก็คงไม่เกิดผลใดๆ เพราะรัฐบาลทหารพม่าคงช่วยอะไรไม่ได้ หรือจะหวังพึ่งการทูตทหารโดยการนำเรื่องนี้ไปหารือในคณะกรรมการชายแดนฝ่ายภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ซึ่งจะมีการประชุมกันในเดือนมิถุนายนนี้ที่เมืองเชียงตุง ก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากไปกว่าแม่ทัพของตัดมาดอว์แสดงการรับทราบปัญหาของไทยเท่านั้น แต่จะให้ไปดำเนินการควบคุมการทำเหมืองในเขตรัฐว้าคงเป็นไปไม่ได้

หนทางที่ดีที่สุดคือการใช้การทูตหลังบ้าน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยจะต้องติดต่อประสานงานกับผู้มีอำนาจที่แท้จริงของว้าที่ปางซางโดยตรง ประสานสมทบกับทางการจีนที่ปักกิ่งให้ช่วยเจรจาหว่านล้อมให้อำนาจการปกครองของว้าเอาใจใส่เรื่องสิ่งแวดล้อมมากกว่าที่เป็นอยู่ ให้พวกเขายอมลงทุนในเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวว้าเองด้วย

ทองคำและแร่หายากเป็นสิ่งมีค่าราคาแพง ถ้าหากพรรคสหรัฐว้าตั้งใจพัฒนามันให้เป็นแหล่งรายได้หลักแทนการผลิตและค้ายาเสพติด จะทำให้ว้ากลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ร่ำรวยอย่างมีอารยะธรรมได้ และผู้มีอารยธรรมย่อมต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อมเพราะมันจะทำให้พวกเขาสามารถอยู่รวมกับเพื่อนบ้านได้อย่างสงบและสุขสบายอย่างยั่งยืน

https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/105440