
Pacharawan Chaipuwarat
9 hours ago
·
เรื่องนี้มันน่าสนใจดี แหะๆ
Pacharawan Chaipuwarat
3 hours ago
·
เอาล่ะค่ะทุกคน ลูกศรเพิ่งตั้งสติได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น ยอมรับว่า งง ตกใจ โกรธ และช็อคอยู่
ซึ่ง ณ ตอนนี้ พยายามสอบถามจากทางฝั่งทรู เขาบอกว่าจะตรวจสอบให้ แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ พอเห็นว่าโพสต์มีการแชร์ไปไกล เลยคิดว่าอยากจะอธิบายกับเรื่องที่เกิดขึ้นจากฝั่งของลูกศรก่อนนะคะ
ขออธิบายก่อนว่าคนเขียนบท กับคนควบคุมบทต่างกันอย่างไร?
คนเขียนบท คือคนที่เริ่มทำบทตั้งแต่เรื่องย่อ ทรีทเม้นต์ scenario และตัว screenplay ส่วนคนควบคุมบท คือเป็นคนจากทางค่ายที่มาคอยตรวจสอบบทจากที่เราเขียนอีกที คอยรีเช็คและคอมเม้นท์ว่าอะไรทำได้ไม่ได้ในการถ่ายทำจริง เช็คว่าบทที่เขียนมีความเมคเซ้นส์หรือไม่ และก็จะมา discuss กับคนเขียนว่าปรับแก้ได้อย่างไร ควรไปในทิศทางใด และคนเขียนบท ก็จะนำไปปรับแก้อีกที
เราไม่มีเจตนาโจมตี หรือพาดพิงถึงผู้ที่ได้รับการสลับชื่อมาแทน เพราะเราได้เจอเค้าแค่ 3-4 ครั้ง เราส่งงาน เขาคอมเมนท์ เรา discuss กัน แล้วแก้งานตามบรีฟที่ได้รับมาเท่านั้น แต่รู้สึกว่าจำเป็นต้องออกมาพูดในฐานะคนที่ต้องอยู่กับโปรเจคต์นี้มานานกว่า 1 ปีเต็ม ตั้งแต่วันแรก จนถึงคำว่า Final Draft
ในฐานะคนเขียนบท เราต่างรู้ดีว่า Final draft เหมือนเป็นโลกเสมือนจริง เมื่อเข้าสู่กระบวนการถ่ายทำ บทที่เขียนว่า Final ก็จะต้องถูกปรับแก้อยู่ดีและความยากของเรื่องนี้คือ บททางการแพทย์ ที่เราทราบมาว่า ในส่วนของ Production ได้มีการขอคำปรึกษาจากคุณหมออีกทีม เลยทำให้บางเคสจะต้องถูกเปลี่ยนแปลง และพอเปลี่ยนเคส บทในเรื่องบางส่วนก็ต้องถูกเปลี่ยนตามเช่นกัน ซึ่งเราก็เพิ่งมาทราบเรื่องการเปลี่ยนแปลงบางส่วนนี้ภายหลัง แล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะไม่ได้มีการบอกกล่าวเรื่องนี้มาก่อน แต่เราก็คิดในแง่ดีว่า เขาคงต้องหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรื่องนี้แหละมั้ง
แต่สุดท้ายแล้ว หลายๆ elements ที่อยู่ในเรื่องมันมาจากการตั้งต้น และลงรายละเอียดของเรา ทั้งชื่อหมอโฌน เจตมีชัย ชื่อโฌน (มาจากโชติช่วง เปล่งปลั่ง ส่องสว่าง ผสมกับการที่ตัวละคร original ชื่อชีอน และ ฌอน เมอร์ฟี่) ชื่อหมอพรีม และหมออีกหลายคนในเรื่อง ต่างมาจากชื่อของคนที่เรารู้จัก และอยากใส่ไว้เป็นกิมมิกให้ตัวเองรับรู้ หลายเคสที่เราเอามาจากการสัมภาษณ์คุณหมอนับสิบราย เราเข้าออกโรงพยาบาลเป็นสิบครั้ง เราทำรีเสิร์ชเคสต่างๆ ให้มันเชื่อมกับความดราม่าในสังคมไทย เราต้องเป็นไมเกรน กรดไหลย้อน นั่งทำงานจนปวดหลัง (และตอนนี้ก็เป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นไปแล้ว) เพื่ออยากให้งานออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราบันทึกข้อมูลการแพทย์เป็นเล่มๆ เพื่อให้ฝ่ายโปรดักชั่นทำงานต่อให้ได้มากที่สุด เราทำคนเดียว เป็นปี แล้วคุณให้เราได้แค่คำว่า ‘ทีม’
จริงๆสำหรับเราแล้ว “เราไม่ได้เรียกร้องขอให้ลบชื่อเขาออกแต่อย่างใด” เรายังคิดเลยว่า ถ้ารู้สึกว่ามีการปรับแก้จนแทบจะเขียนในบางส่วนไป อยากจะใส่ชื่อคนเขียนบทร่วม เรายังไม่ติดใจเลย ไม่มีปัญหาอะไรด้วย เราเข้าใจอยู่แล้วว่าการปรับแก้บท ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่มันก็ตลกดีนะ ตรงที่ในตอนนั้น ที่เรื่องนี้ฉายออกไป ผลลัพท์เป็นอย่างไรยังไม่มีใครรู้ เครดิตที่อยู่ในเรื่อง เรายังอยู่ในนามคนเขียนบท (คนเดียว) ถ้าเรื่องเกิดมี feedback แย่ เราก็จะเป็นคนเดียวที่โดนด่า แต่พอเรื่องนี้ได้รับคำชม ได้ชิงรางวัล คนที่เสี่ยงโดนด่าในตอนแรก กลับไม่ได้อะไรเลย นอกจากการถูกลบชื่อออกหน้าตาเฉย และได้เป็นแค่ ‘ทีม’
เอาเป็นว่าเขียนมาจนถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะสามารถเรียกร้องอะไรได้มั้ย เสียงที่เราพยายามบอก ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินรึเปล่า แต่ถ้าเฟสบุ๊คมีเสียงได้ ก็อยากจะตะโกนออกมาดังๆว่า ‘อย่าทำแบบนี้กับคนทำงานด้วยกันเลย เครดิตมันเป็นเรื่องสำคัญมากนะ ไม่ว่าจะตำแหน่งไหน!’
เอาล่ะ เมื่อกี้เป็นพาร์ทมุมมองจากการทำงานแบบ fact ไปแล้ว พาร์ทนี้ขออนุญาตพ่นความรู้สึกในใจทั้งหมด แบบไม่กลั่นกรองเลย จะบอกว่าไบแอสเข้าข้างตัวเองล้วนๆเลยก็ได้ เริ่ม!
ตั้งแต่เราเขียนบทมา นี่ก็น่าจะเข้าปีที่ 4 หรือ 5 แล้ว เราไม่ใช่นักเขียนที่ดัง เราไม่ได้มีชื่อเสียง
เราเป็นแค่คนธรรมดาที่รักงานศิลปะ จนวันนึง เราได้โอกาสทำงานนี้ เราทำมันอย่างเต็มที่ เรายอมนอนน้อย
เรายอมแก้หลายดราฟต์ เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าเราทำเต็มที่กับมันแค่ไหน
เอาจริงการมีชื่อเข้าชิง ไม่ได้สำคัญกับเราขนาดนั้น แต่การที่คุณทำแบบนี้ จนเรารู้สึกต้องออกมาปกป้องตัวเอง เพราะอะไรรู้มั้ย?
เพราะงานนี้ เป็นงานแรก ที่ทำให้พ่อแม่เราเข้าใจจริงๆ
กับอาชีพที่เราพยายามทำมาตลอด
พ่อแม่เราเป็นคนธรรมดา อาชีพเขียนบทซีรี่ย์ ฟังแล้วอาจจะดูว้าวในตอนแรก แต่เขาไม่เข้าใจ ว่ามันคืออะไร มันต้องทำอะไรบ้าง
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมลูกเขาไม่ได้กลับบ้านต่างจังหวัดเลยหลายเดือน
เขาไม่เข้าใจ ว่าทำไมลูกเขาต้องนอนดึกทุกวัน งานก็หนัก เงินก็น้อย
จนกระทั่งเขาเห็นชื่อเราในเครดิต
แม่บอกเพื่อนแม่ได้ ว่าลูกสาวทำงานอะไรอย่างภาคภูมิใจ
พ่อแชร์โพสต์งานนี้ไม่หยุด และคอยซัพพอร์ทเรามาตลอด
เพราะเขารู้แล้วว่าลูกของเขากำลังทำในสิ่งที่รัก
เรื่องนี้ที่เกิดขึ้นมันเลยสั่นคลอนทางความรู้สึกเรามากๆ ว่าพ่อกับแม่ ครอบครัว คนรอบข้างที่รักเราจะสับสนกับสิ่งนี้มากแค่ไหน การลบเครดิตคนอื่น มันไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่เคยเป็นเรื่องเล็กๆเลย
เขียนมาจนถึงตอนนี้ก็ได้แต่คิดว่า วงการเขียนบทละคร คนก็น้อยมากๆแล้วนะ ยังคิดจะทำร้ายกันอีกเหรอ เพราะบอกตามตรง มันบั่นทอนจิตใจคนทำงานจนเราเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าเราจะรักมันได้ต่อแค่ไหน
มองย้อนกลับไปมันเหนื่อยจริงๆนะ มันเหนื่อยมาก ในฐานะคนเขียนบท และคนธรรมดาคนหนึ่ง
สุดท้ายแล้ว ถึงแม้เรื่องนี้จะเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่อย่างน้อยเราแค่อยากพูดออกมา ขอแค่รักษาศักดิ์ศรีของคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ยังอยากทำอาชีพนี้ด้วยความรักต่อไป
https://www.facebook.com/arrow.chaipuwarat/posts/28648587098119326
.....
Atukkit Sawangsuk
2 hours ago
·
writer กับ adviser
พอได้ชิงรางวัล กลายเป็นผลงาน adviser
