
‘โครงการทางการเมือง’ 2 แบบ | ปราปต์ บุนปาน
มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 มีนาคม 2568
ขณะที่เมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้ว คอการเมืองยังสนใจประเด็น “การเมืองเรื่องเจเนอเรชั่น” กันอยู่เลย
มาถึงช่วงสัปดาห์นี้ ดูเหมือนสังคมการเมืองไทยจะมีคำถามใหม่ๆ ที่น่าสนใจกว่านั้น
กล่าวคือ “การทำงานการเมือง” ควรขับเน้นไปที่ “ความแตกต่าง-ความเฉพาะเจาะจง-ข้อจำกัด” (exclusive)
หรือ “การทำงานการเมือง” ควรหมายถึงการจัดสรรทรัพยากร และการระดมผู้คน-สรรพกำลัง ที่กว้างขวาง ครอบคลุม ตัดข้ามเส้นแบ่งและขีดจำกัดต่างๆ (inclusive)
ถามอย่างสั้นๆ ได้ว่า “โครงการทางการเมือง” ที่พึงปรารถนา นั้นควรเป็นการสร้างความแตกต่าง-เงื่อนไขพิเศษ หรือควรเป็นการผนวกรวมคนอื่นๆ พลังอื่นๆ เข้ามาในสังคมการเมืองกันแน่?
ล่าสุด “โครงการทางการเมือง” สองแบบนี้ ก็ปรากฏให้เห็นชัดเจนในสังคมการเมืองไทย
ด้านหนึ่ง ญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีของพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งควรได้ดำเนินไปตามกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลอันเป็นปกติ ในระบบรัฐสภา ภายใต้การปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย
กลับต้องเผชิญอุปสรรค ข้อขัดข้อง ข้อจำกัดจุกจิก อย่างไม่น่าเชื่อ
จากการพยายามสร้างบรรยากาศให้ “การเมือง” เป็นเรื่องของ “ข้อห้าม-ข้อกำหนด” ว่านักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรทำอะไรไม่ได้ หรือแตะต้องใครไม่ได้
“การเมือง” กลายเป็นความพยายามจะ “คุ้มกัน” บุคคลบางคนออกจากสังคมการเมือง “ปกป้อง” บุคคลบางคนจากความแปดเปื้อนทางการเมือง ทั้งที่ทุกคนต่างก็รับทราบกันด้วยสามัญสำนึกง่ายๆ ว่า เขาเป็น “ตัวละครทางการเมือง” ที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคสมัย
นี่คือ “โครงการทางการเมือง” ที่สร้าง “ความพิเศษ” และ “คนพิเศษ” ขึ้นมา ให้มีลักษณะผิดแผกแปลกแยกจาก “การเมืองในวิถีปกติ”

อีกด้านหนึ่ง เราก็เห็นพรรคฝ่ายค้านอย่าง “พรรคประชาชน” ที่หลายฝ่ายเชื่อว่าอยู่ในช่วง “กระแสตก-ขาลง” มีแนวโน้มจะสูญเสีย “กำลังสำคัญ” ไปอีกหลายสิบชีวิต ในเร็ววันนี้ และ “ทำงานการเมือง” ไม่สำเร็จสักอย่าง
กำลังเดินหน้า “งานการเมืองเล็กๆ” ของตนเอง ผ่าน ส.ส.สมัยแรก อย่าง “รักชนก ศรีนอก” และ “สหัสวัต คุ้มคง” รวมถึงทีม “ประกันสังคมก้าวหน้า” โดย “ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี” และคณะ ซึ่งร่วมกันผลักดัน “สูตรบำนาญประกันสังคมใหม่” จนได้รับความเห็นชอบจากบอร์ดประกันสังคมทั้งสามฝ่าย
นี่คล้ายจะเป็น “การทำงานการเมือง” ในสเกล “เล็กๆ” แต่เป็น “โครงการทางการเมือง” ที่ “ใหญ่โต” และ “ทะเยอทะยาน” มาก
เพราะเป็นการคืน “สิทธิ์ที่ตกหล่นไป” ให้แก่บุคคลที่ควรได้รับ คืนผลประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ 39 ซึ่งเป็น “คนทำงานในวงกว้าง” ไม่ใช่คนรุ่นใครรุ่นมัน พวกใครพวกมัน ฐานคะแนนเสียงใครฐานคะแนนเสียงมัน
เพราะเป็นการทำในสิ่งที่ผู้มีอำนาจทางการเมืองหลายยุคหลายสมัย ไม่ยอมทำ ไม่อยากแตะต้อง
ข้างต้นคือ “การทำงานการเมือง” สองแบบ ที่ปรากฏอย่างเด่นชัด ในสังคมการเมืองไทยร่วมสมัย
คำถามสำคัญต่อจากนี้มีอยู่ว่า “โครงการทางการเมือง” แบบไหน จะตอบสนองโจทย์ของ “การเมืองระดับชาติ” ได้ดี ได้มากกว่ากัน
ระหว่างการเมืองอันเต็มไปด้วย “ข้อห้าม-ข้อจำกัด” กับการเมืองที่พยายามจะ “หลอมรวมผู้คน” ให้เข้ามามีส่วนร่วมหรือได้รับประโยชน์โภชผลในฐานะพลเมืองของประเทศนี้ •
ของดีมีอยู่ | ปราปต์ บุนปาน
https://www.matichonweekly.com/column/article_832696