วันอาทิตย์, มีนาคม 16, 2568

ค่ำคืนแห่งความสูญเสีย วันที่ 15 มีนาคม 2568 ครอบครัวเขาจะใจสลายขนาดไหน


Areeya Nithithanabaworn
16 hours ago
·
ค่ำคืนแห่งความสูญเสีย
วันที่ 15 มีนาคม 2568 เวลา 01:55 น.
เราสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากช่วงพักเพราะได้ยินเสียงรถกู้ภัยจำนวนมากแล่นผ่านถนนหน้า รพ. ไป
ตอนนั้นคิดในใจว่าหรือสะพานพระราม2จะถล่ม?
พอรวบรวมสติได้ ตัดสินใจเดินไปที่หน้าต่าง แล้วสิ่งที่เห็นก็คือรถกู้ภัยเกิน 20 คัน จอดอยู่บริเวณด่านเก็บเงินทางด่วนดาวคะนอง เรารีบเปิดทวิตเตอร์ดูทันที และพบว่าคานเหล็กถล่มลงมาจริงๆ
ในใจตอนนั้นรู้ชะตากรรมตัวเองแล้ว คืนนี้คงต้องหนักแน่ เพราะโรงพยาบาลที่เราทำงานอยู่คือจุดที่ใกล้เหตุการณ์ที่สุด และไม่กี่อึดใจต่อมา โรงพยาบาลก็ประกาศ Code Mass Casualty ที่ห้องฉุกเฉินทันที
นั่นแปลว่าพยาบาลจากทุกแผนกต้องถูกระดมลง ER
เรากับพี่ PN อีกคนช่วยกันเข็นรถ IV ลงไป
อีกวอร์ดเข็นรถ Dressing ทุกคนเตรียมพร้อมเต็มที่ แต่ระหว่างก้าวขาไป ER เราเองก็รู้สึกหวั่นๆ
กลัวว่าต้องเห็นภาพการสูญเสีย กลัวเสียงร้องไห้ของญาติหรือจากคนเจ็บ เพราะไม่ว่าเราจะทำงานมานานแค่ไหน ก็ไม่เคยทำใจให้ชินกับความเป็นจริงเหล่านี้ได้
แต่พอเดินเข้าไปถึง ER ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ในวินาทีนั้น ความกลัวหมดไปแล้วคิดแค่ว่าจะช่วยผู้บาดเจ็บ/ทำตัวให้เป็นประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
ผู้ป่วยรายแรกที่เจอคือเคสนอนไม่ได้สติ มีทีมแพทย์และพยาบาลช่วยกันกู้ชีพ ตัวคนไข้เต็มไปด้วยฝุ่นและดิน ทราบภายหลังว่าเขามี Fracture skull, hematoma, ICH หลายตำแหน่ง และ Rt. Pneumothorax อาการหนักมาก
ส่วนเราได้รับมอบหมายให้ดูแลเคส สีเหลือง เป็นแรงงานชาวเมียนมาร์คนหนึ่งที่พอสื่อสารกันได้บ้าง แต่บางคำก็เกินความเข้าใจของเขา โชคดีที่มีล่าม stand by ช่วยแปล
มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราประหลาดใจคือแรงงานทุกคนที่มาถึง ไม่มีใครร้องไห้หรือโวยวายเลย ในใจคิดว่า
พวกเขาเข้มแข็งกันมาก ถ้าเป็นเรา คงช็อกหรือร้องไห้ไปแล้ว
เราตรวจดูบาดแผลของผู้ป่วย พบว่าเป็น abrasion wound ทั่วทั้งตัว ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า โดยเฉพาะช่วงหน้าอกที่ถลอกยาวมาก
แต่สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือแผลที่ หลังเข่าซ้ายเป็น laceration wound คล้ายเส้นเอ็นฉีกขาด เรากับพี่ผู้ช่วยก็ช่วยกันเช็ดตัว เอาดิน,ฝุ่น,คราบโคลนตามตัวออก และทำแผลให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แต่เพราะแผลเปื้อนโคลน การทำความสะอาดจึงยากมาก ต้องขูดออกทีละจุด ซึ่งเราสงสารคนไข้มาก เพราะรู้ว่ามันต้องเจ็บสุดๆ แต่เขากลับไม่ร้องสักคำ
ทุกอย่างใน ER ดำเนินไปอย่างวุ่นวาย ทั้งช่วยกันหาของ ตามหมอ เปิดเส้น เย็บแผล จองห้องแอดมิท แต่สุดท้าย ทุกคนก็ร่วมมือกันจนสามารถเคลียร์เคสไปได้ประมาณนึง
เมื่อผู้ป่วยเริ่มถูกส่งขึ้นวอร์ด เรากลับไปเตรียมรับเคสต่อ คนไข้ที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นแรงงานเมียนมาร์และกัมพูชา มีคนไทยเพียงหนึ่งคน
แล้วก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เราน้ำตาคลอ
ชายไทยที่ถูกแอดมิทขึ้นมา ขอให้เราช่วยโทรหาโทรศัพท์ของเขาที่หายไปในที่เกิดเหตุ แต่เมื่อโทรไปแล้วไม่มีใครรับ เราจึงบอกให้ทำใจ อาจตามไม่เจอแล้ว
จากการซักประวัติ คนไข้เล่าว่า ขาขวาของเขาติดอยู่บนคานเหล็ก ทำให้ร่างกายห้อยลงมา มีแผลถลอกที่ขาหนีบและ แผลเปิดที่ Scrotum ส่วนโทรศัพท์ก็ตกไปตรงไหนไม่รู้
เราเลยบอกว่า “ให้ใช้โทรศัพท์ของเราติดต่อญาติไหม? ตอนนี้ข่าวออกไปเยอะแล้ว ครอบครัวอาจเป็นห่วง” คนไข้พยักหน้า และบอกว่าอยากโทรหาภรรยา
แต่ปัญหาคือ เขาจำเบอร์โทรภรรยาไม่ได้ (จะลาแบ้)
เราพยายามช่วยนึก ถามว่า งั้นโทรหาคุณพ่อคุณแม่ก่อนไหม?
โชคดีที่คนไข้ยังจำเบอร์พ่อได้
สุดท้ายโทรติดคุณพ่อ คุณพ่อจึงให้เบอร์ภรรยามา
และเมื่อเราโทรไป ปลายสายที่เป็นภรรยารับแล้วร้องไห้ทันที
ตอนนั้น ใจเราเริ่มสั่น ได้ยินเสียงร้องไห้แล้วน้ำตาจะไหลตาม แต่ต้องฮึบไว้ แล้วพูดว่า
“ใจเย็นๆ นะคะ หนูโทรจากโรงพยาบาล ตอนนี้คุณ B ปลอดภัย นอนรักษาตัวอยู่ที่ชั้นนี้นะคะ เดี๋ยวให้คุยกันนะ ไม่ต้องกังวล เขาเจ็บไม่มาก แค่โทรศัพท์หาย พยาบาลเลยช่วยโทรให้”
จากนั้นเราส่งสายให้สามีภรรยาคุยกัน… แต่ทุกคำพูดก็ยังดังเข้าหูเรา เสียงร้องไห้ของภรรยาคนไข้ดังออกมาจากโทรศัพท์ ความรู้สึกของคนที่คิดว่าต้องสูญเสียคนที่รักไป
เรายืนอยู่ตรงนั้น ฟังทุกคำพูด และรู้สึกหดหู่ เพราะในขณะที่คนไข้รายนี้ยังได้ยินเสียงภรรยา ยังได้คุยกับคนรัก แต่กับบางคนไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว บางคนไม่มีญาติอยู่ในไทย บางคนไม่มีโทรศัพท์ให้ติดต่อ และบางคนก็ไม่มีลมหายใจแล้ว
อีกกี่ครั้งที่ต้องสูญเสีย
เหตุการณ์นี้ เราไม่รู้จะโทษใคร แรงงานที่มานอนรักษาตัวอยู่ก็บอกว่า “เจ้านายก็เจ็บ”
แต่สิ่งที่อยากรู้ที่สุดคือ มันเกิดอะไรขึ้น? และมันต้องเกิดอีกกี่ครั้ง?
เส้นพระราม 2กี่รอบแล้ว? เราต้องสูญเสียกันอีกเท่าไร?
ขนาดยังไม่เปิดใช้งาน ยังไม่มีรถวิ่ง ยังเกิดเหตุการณ์แบบนี้
แล้วถ้าเปิดใช้จริงล่ะ เราจะไว้วางใจได้จริงๆใช่ไหม?
และสุดท้าย…
ขอแสดงความเสียใจกับทุกครอบครัวที่ต้องสูญเสียจากเหตุการณ์นี้ จากใจจริง

https://www.facebook.com/eyndeye.areeya/posts/9328629560519662