ทหารมีไว้ทำไร ขายหมู ขายไข่ ขายผัก น่ารักไปอีกอย่าง ท่ามกลางเสียงด่าของลิ่วล้อที่ดูเหมือนกำลังขอ ‘ปลดแอก’ แบบ นิพนธ์ บุญญามณี พรรค ปชป.พูดหาเสียงโค้งสุดท้ายเลือกซ่อม ส.ส.สงขลา ต่อกรกับ ‘พรรคพลเอก’
“เราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจที่ตั้งมาเพื่อให้ใครสักคนขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี กับพรรคการเมืองต่างๆ มามาก ถ้าจะสู้กับพรรคนี้ เราเชื่อว่าวันไหนหมดพลเอกแล้ว พรรคนี้ก็คงตาย” ปัญหาอยู่ที่พลเอกไม่มีทางหมด ถ้าพรรคนี้ตายแสดงว่ามีพรรคใหม่แทนแล้ว
ตอนนี้พวกเขาแบ่งกันกินอยู่ ถึงคราวตำหวดรับประทานบ้าง จากงบฯ ๖๖ ทั้งสิ้นราว ๓.๓ ล้านล้านบาท ขอ ๔ พันกว่าล้านเอาไปสร้าง “อาคารที่จอดรถยนต์และอาคารที่พักอาศัยข้าราชการตำรวจฯ จำนวน ๖ อาคาร” ชวนให้หวนถึงโครงการแฟล็ตตำรวจสมัยเทือกฯ
จะลงท้ายเหมือนกันอีกไหม ต้องรอจนกว่า ‘น้ำลด ตอผุด’ โน่นละมัง คราวนี้อ้างว่าสวัสดิการตำรวจ (ไม่เหมือนของพี่ตะหาน) ไม่สามารถเบิกค่าเช่าบ้าน (ตกเดือนละ ๕-๗ พันบาท) ได้ เงินเดือนแค่หมื่นกว่าๆ ไม่พอยาไส้
ข่าวว่าโครงการที่พักอาศัยตำรวจนี้ จะเป็นผลงานของ ผบ.ตร.คนปัจจุบัน ก่อนเกษียณอายุราชการในเดือนตุลานี้ “ไว้ให้เป็นมรดกในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” โดยมิพักคำนึงถึง สัมภาระหนี้เงินกู้ของรัฐบาล ไว้ให้อนุชนรุ่นหลังตามชดใช้ไปอีก ๕๐ ปี
ทั้งที่ภาวะ ‘ข้าวยากหมากแพง’ ยังกัดกร่อนอัตราความสมบูรณ์พูนสุขของประชากรลงไปไม่หยุดยั้ง จากหมูแพงลามไปเกือบจะถ้วนทั่วองคาพยพเศรษฐกิจรากหญ้า ล่าสุดที่เห็น ‘ข้าวเหนียวนึ่ง’ ขอขึ้นราคาบ้าง ทั้ง ‘เขี้ยวงู’ และ ‘สันป่าตอง’
ปรับเพิ่มราคา ๑๐๐-๒๐๐ บาทต่อกระสอบ (เป็น ๙๘๐ บาท และ ๘๕๐ บาท ตามลำดับ) กิจการบางอย่างไม่สามารถผลักภาระขาดทุนไปสู่ผู้บริโภคได้ ก็จะ ‘เลิกขาย’ ไม่เพียงเพราะขาดทุน หากแต่ด้วยเหตุง่ายๆ ‘กำไรน้อย’ ยิ่งถ้าเป็นกิจการอภิมหาระดับเจ้าสัว
อันเนื่องมาแต่ “บมจ.สินมั่นคงประกันภัย (SMK) ออกมาใช้สิทธิ ‘บอกเลิกกรมธรรม์’ ประกันภัยการติดเชื้อโควิด-19 ชนิด ‘เจอ จ่าย จบ’...สิ้นสุดความคุ้มครองทั้งฉบับ เมื่อล่วงพ้นกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันที่ผู้เอาประกันได้รับหนังสือเป็นต้นไป”
คปภ. หรือกรรมการกำกับระบบประกันภัย ออกคำสั่ง “ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 สำหรับบริษัทประกันวินาศภัย” ยับยั้งมาตรการของ บมจ.สินมั่นคง ร้อนถึงเจ้าสัวธุรกิจประกันภัย ‘เครือไทยโฮลดิ้ง’ ของ เจริญ สิริวัฒนภักดี
“ยื่นฟ้อง สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการฯ (คปภ.) ในข้อหา กระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ไม่เป็นไปตามบรรทัดฐานที่ศาลปกครองเคยวินิจฉัยไว้ ว่า “ฝ่ายปกครองไม่มีอำนาจออกกฎหรือคำสั่งทางปกครอง ให้มีผลย้อนหลังที่เป็นโทษ” ได้
กับอุทธรณ์ เรื่องการรักษาพยาบาลตามกรมธรรภ์ประกันภัย (ที่ ๑๗/๒๕๖๔ วันที่ ๑๒ เมษา ๖๔) ว่าคำสั่งดังกล่าว “ขยายความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัย...ส่งผลให้บริษัทประกันภัยต้องรับผิดชอบความคุ้มครองเพิ่มเติม”
โดยรวมที่บริษัทประกันเจ้าสัวอ้างว่าสถานการณ์โควิดทำให้ขาดทุน หลังจากเชื้อกลายพันธุ์ ‘ออมมิครอน’ เริ่มระบาด ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มพรวด (แม้ในขณะนี้ระดับ ๗-๘ พันรายต่อวัน และจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่ม ๑๐-๒๐ รายต่อวัน)
เครือไทยโฮลดิ้งบอกว่าไตรมาส ๓ ของปีที่แล้ว ขาดทุนสุทธิ ๖๖๒ ล้านบาท เทียบกับเมื่อปีก่อน ที่มีกำไร ๘๙.๘๖ ล้านบาท ขณะที่จากการตรวจสอบของสำนักข่าว พบว่าเครือฯ นี้ “มีรายได้จากธุรกิจประกันภัยรวม ๒,๔๙๙ ล้านบาท
เพิ่มขึ้น ๓๗๑ ล้านบาท หรือ ๑๗.๔% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน” หรือถ้าย้อนหลังต่อไปอีก ๓ ปี ก็พบว่าไทยโฮลดิ้งมีกำไรจากการประกอบการมาโดยตลอด ปี ๖๓ กำไร ๗๒๘ ล้าน ปี ๖๒ กำไร ๓๐๔ ล้าน และปี ๖๑ กำไร ๙๙๘ ล้าน
เป็นอันว่าถ้าไม่ใช่เครือไทยโฮลดิ้งโกหกคำโตต่อกระบวนการ ‘ปกครองด้วย (with) กฎหมาย’ ละก็ประเทศนี้มีกฎหมายและฐานข้อมูลธุรกิจ ที่ต่างกันสองชุดสำหรับเรื่องเดียวกัน ชุดหนึ่งใช้กับคนทั่วไป อีกชุดให้เจ้าสัวใช้
(https://thestandard.co/key-messages-covid-insurance-meet-payfinish-issue/, https://www.prachachat.net/politics/news-843026 และ https://www.facebook.com/NewsWorkpoint/posts/4978261818878777)