วันจันทร์, ตุลาคม 05, 2563

‘prestige กลายเป็น ‘scumbag’ สูงส่งลงไปเหลือแค่สถุล ครูขู่เด็ก "พกปืนไม่ได้ไว้ยิงหมา"


เหมือนเปิดกระป๋องเน่ามีแต่หนอน เรื่อง ครูทำร้ายเด็ก เป็นแผลพุพองของสังคม พอพบแห่งหนึ่งแล้วเห็นเป็นผื่นทั่วร่าง รวมถึงกระทั่งการข่มขู่สามหาวของผู้กินค่าจ้างตำแหน่งงาน ครูล่าสุดนี่จากโรงเรียนที่อ้างมีสัญญลักษณ์ ศักดิ์สิทธิ์

โรงเรียนเครือนี้แต่ก่อนมีเพียงสองสามแห่ง หลังจากยุบ สามพราน ไปรวมไว้ที่ พญาไทจัดว่าเป็น สูงส่งหรือ ‘prestige school’ ระดับชาติ โดยมีแคมปัสย่อยอยู่ พัฒนาการแน่นอนว่าถ้าเข้าขั้นชั้นนำละก็ ต้องเริ่ดเชิดคอกันบ้าง แต่ถึงขั้นมีครูอวดเบ่งพกปืนละก็ สถุล

“๔ ตุลาคม โลกออนไลน์มีการแฉคลิปเสียงครูมัธยมศึกษา โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพ...ถึงเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองที่นักเรียนเพิ่งจัดขึ้น” ว่าเป็น “กิจกรรมที่ถือเป็นการทำลายบ้านตัวเอง” เพราะ “เอาคนนอกมาร่วม”

แต่ข้อหาหลักอยู่ที่ “เมื่อที่นี่มันไม่ดี ก็รู้ว่าไม่ดีแล้วเข้ามาทำไม วันนี้ตะเกียกตะกายเข้ามา มาอาศัยเขาเรียน ที่นี่ไม่ใช่โฮมสเตย์” ครูชายคนนี้มองกรณีการเรียกร้องให้โรงเรียนยุติวิธีการ อำนาจนิยม ว่าเป็นเรื่องไม่สยบยอมต่อสัญญลักษณ์ เหนือหัวไปเสียฉิบ

มีคนถามผมว่ากลัวไหมถ้าเด็กรุม” เขาเอ่ยถึงคำเตือน ไม้ซีกงัดไม้ซุง ทำนองไม้ซีกของเขาเป็นเลื่อยไฟฟ้า “คิดว่าผมมาตัวเปล่าปะล่ะ ที่นี่เขารู้กันทั้งนั้นว่าผมพกปืน ก็เคยพูดแล้ว ซื้อปืนไม่ได้ไว้ยิงหมา ซื้อไว้ยิงคนโดยเฉพาะ”

แบบนี้นี่ละทำให้ ‘prestige กลายเป็น ‘scumbag’ หากไม่อยากให้องค์กรหรือสถาบันมัวหมอง ปลาในข้องเดียวกันต้องจัดการยับยั้ง หรืออย่างน้อย กำหราบ แบบที่ สุวิทย์ ทองประเสริฐ (อดีต สมีฟรีด้อม) สั่งสอน วรงค์ เดชวิกรม ว่าการโหนทำให้ เจ้า เสีย

ไม่เช่นนั้น ไม่ช้าก็เร็วจะโดนแบบ สารสาสน์ซึ่งจากการจำต้องไล่ตรวจกล้องวงจรปิดโดยตำรวจพบว่า มีครูกับพี่เลี้ยงเด็กถึง ๑๓ รายที่กระทำรุนแรงและทำร้ายเด็ก “จะนำตัวส่งฟ้องต่อศาลในวันที่ ๖ ตุลาคมนี้” และออกหมายเรียกผู้อำนวยการไปรับข้อกล่าวหาวันนี้

ที่นั่น ตัวประธานฯ ผู้ก่อตั้งเครือโรงเรียนก็อ้างความยิ่งยงและสูงส่งอยู่เหมือนกัน ทำนองเดียวกับที่ครูชายโรงเรียน พระเกี้ยวน้อย แห่งนั้นว่า “ถ้าพระเกี้ยวไม่ศักดิ์สิทธิ์ ก็อย่ามาเรียนที่นี่ไปเรียนที่อื่น” เช่นนี้เดี๋ยวคงมีคลิปอื่นๆ ออกมาระนาว


เหมือนอย่างพบหลักฐานที่สารสาสน์ “เหตุการณ์เด็กถูกทำร้าย ๕๘ ครั้ง...ผู้เสียหายซึ่งผู้ปกครองจะทยอยเข้าแจ้งความดำเนินคดีแล้ว ๓๒ คน” เป็นตัวเลขการกระทำชั่วร้ายต่อเด็กไม่น้อยเลย ดังว่าช่วงที่ผ่านมา ๖-๗ ปี บรรยากาศเต็มไปด้วยการข่มเหง

ด้วยแนวโน้มแห่งการกดขี่ของครูต่อผู้เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนเป็นนิจสินเช่นนี้ การรรรงค์ของ #เยาวชนปลดแอก บ้าง #นักเรียนเลว บ้าง แม้กระทั่ง #ครูขอสอน จึงเป็นความจำเป็น โดยเฉพาะกรณีของ รร.เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ

ต่อเนื่องมาจากเมื่อ ๑ ตุลา มีกิจกรรมบริเวณด้านหน้าโรงเรียน “ชมพูพันธุ์ทิพย์แตกกิ่งใบ ประชาธิปไตยจะผลิบาน” ถึงเมื่อวาน “#อัปเดต 17.16 น. การแสดงเชิงสัญลักษณ์...มีการนำเอาข้อความที่ระบุถึงความรุนแรงในระบบการศึกษา มาผูกตามร่างกายของตัวแทนนักเรียน”

ตามด้วยกิจกรรม “ร้องเพลงลามะลิลาเวอร์ชันครูผู้สอน ลามะลิลา ขึ้นต้นเป็นครูผู้สอน พอเด็กไม่นิ่งนอนกลายเป็นยักษ์ขึ้นมา” ต่อด้วย #โรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัย “แสดงละครเสียดสีระบบการศึกษาไทย” แล้วนักเรียนนักศึกษานักกิจกรรมเวียนกันกล่าวปราศรัย

“นิสิตคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงระบบอำนาจนิยมในสถาบันผลิตครู อย่างมหาวิทยาลัย ที่ไม่เปิดโอกาสให้นิสิต-นักศึกษาเห็นต่าง” อีกรายว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ไม่ใช่การศึกษาเพื่อนักเรียน แต่เป็นการศึกษาเพื่อกระทรวงศึกษาธิการ”

ลงท้ายมีแถลงการณ์ “แสดงเจตนารมณ์ให้สถานศึกษาปฏิบัติตามหลักการของสิทธิมนุษยชน เพราะการศึกษาและสิทธิมนุษยชน เป็นเรื่องของทุกคนโดยเสมอภาคและเท่าเทียมกัน” แล้วจุดเทียนสัญญลักษณ์ “กระทรวงฯ ต้องเป็นแสงสว่างให้แก่ระบบการศึกษาไทย”

บรรดากิจกรรมย่อยเหล่านี้ที่เกิดขึ้นตามสถานศึกษาต่างๆ จากการออกมาเรียกร้องโดยเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่โน่นที่นี่กระจายไปทั่ว วันแล้ววันเล่า หากยังไม่ทำให้คนรุ่นเก่า หรือที่มักยกตนว่าเป็น ผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคม ยังไม่ยอมสำเหนียกในเร็ววัน

ละก็ การ ‘disrupt’ ขัดขืนด้วยพลังมวลชนขนาดใหญ่ คงจะมาถึงในไม่ช้า

(https://twitter.com/looksilp/status/1312698623805722626, https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2379168 และ https://www.matichon.co.th/politics/news_2379360)