วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 23, 2568

ไหนๆ นิด้าโพลให้หัวหน้า ‘เท้ง’ กับพรรค ปชน.นำหน้าใครๆ มาดูหลักการเชิงนโยบาย จากการเสวนาของสองรองหัวหน้าฯ ดูหน่อยเป็นไร

ไหนๆ นิด้าโพลครั้งที่ ๕ สำหรับภาคตะวันออก (อันมีจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว) ให้ เท้ง อันดับสองอีกครั้งสำหรับตำแหน่งนายกฯ และพรรคประชาชนก็นำพรรคภูมิใจไทยมากกว่า ๑๐%

นั่นจากการที่ไม่มีใครและพรรคใดอันดับหนึ่ง คำตอบเช่นเคยกับการสำรวจครั้งก่อนๆ หน้า ว่า ยังหาบุคคลและพรรคที่เหมาะสมกับอันดับ ๑ ไม่ได้ (๓๙.๗๕% และ ๓๔.๙๐%) โดยคะแนนนายกฯ คราวนี้ อนุทิน ชาญวีรกูล ไล่มาหายใจรดต้นคอ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ

พอดีทางพรรคประชาชนเพิ่งมีการเสวนา รีชาร์จประชาชนซึ่งว่าที่ผู้ถูกเล็งให้เป็นแคนดิเดทนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ ลำดับที่สองและสาม ขึ้นพูดหลักการเชิงนโยบายอันจะใช้เป็นจุดหาเสียงของพรรคต่อไปได้ โดยที่ขณะเขียนอยู่นี้มีคนบอกว่า

อันดับหนึ่งนั้นแน่นอนอยู่แล้วต้องเป็น เท้ง อันดับสองคงไม่พ้น วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร อดีตนักวิชาการที่ผันมาเล่นการเมืองในตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคฯ ส่วนอันดับสามนั้นน่าจะเป็น ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าที่ร่วมกำกับทิศทางการเดินหน้าของพรรคมาแต่อ้อนออก

รองฯ ทั้งสองพูดถึงการ ชุบชีวิตเศรษฐกิจไทย โดย อจ.ต้นว่าถึงยุทธศาสตร์การผลิต “เชื่อมโลกใหม่” ด้วยการยกเครื่องจักรกลทางเศรษฐกิจ ๔ อย่าง ได้แก่ พัฒนาทักษะ คน ยกเครื่องอุตสาหกรรม สร้างดีมานด์กระตุ้นซัพพลายการเกษตร และเชื่อมต่อเทคโนโลยี่ไทยกับสากลโลก

เน้นที่สุดคือการพัฒนาทักษะ เขาชี้ว่าที่ทำกันอยู่ “เราลงทุนในทรัพยากรมนุษย์น้อยเกินไป” เนื่องจาก “งบกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ๒๐% ถูกใช้ไปปรับปรุงอาคารไม่ใช่พัฒนาคน ถ้าจะให้ทักษะคนไทยแข่งขันระดับโลกได้ รัฐต้องถอยออกไป ปล่อยเอกชนพัฒนา

ทางด้าน ครูไหม (ที่น้องๆ ในพรรคเรียก) ปาฐกถาต่อยอดจาก อจ.ต้น ว่าที่ไม่ให้รัฐเป็นผู้พัฒนาทักษะคน เพราะรัฐเองยังคร่ำครึไม่ทันโลก มีทั้งโครงสร้างเทอะทะ งบประมาณรวมศูนย์ แล้วยังกฎหมายล้าหลัง สิ่งที่ต้องทำก็คือ

“เราต้องการรัฐที่ CLEAN สู้กับคอร์รัปชัน...รัฐที่ LEAN กระฉับกระเฉงว่องไว...รัฐที่ EMPOWERING ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเขามีอำนาจ และ...รัฐที่ RESPONSIVE ตอบสนองอย่างว่องไวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป”

สำคัญที่สุดจากครูไหม คือการปฏิรูปงบประมาณ ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่สุด ๒ ล้านล้านบาทต่อปี ไปลงที่เงินเดือนข้าราชการและสวัสดิการ ต่อมาคืองบฯ ผูกพัน จ่ายค่าเช่าตึกสำนักงาน ๖.๗ แสนล้าน ค่าไฟ ค่ารักษาพยาบาลและบำนาญ อีก ๗.๘ แสนล้าน

“จากงบประมาณเกือบ ๔ ล้านล้านบาทในแต่ละปี เหลืองบที่จะเอาไปใช้พัฒนาประเทศ คิดโครงการใหม่ๆ ลงทุนในมนุษย์ เพียงประมาณ ๖.๘ แสนล้านบาท และน้อยลงเรื่อยๆ ทุกปี” ซึ่ง สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ แขกรับเชิญจาก ทีดีอาร์ไอ แตกประเด็นออกไป

เขาว่าประเทศไทยติดกับดักรายได้แค่กลางๆ ไม่ใช่เพราะไม่มีงานทำ แต่เพราะงานที่ทำคุณภาพต่ำ การกระตุ้นไม่ขึ้นเพราะใช้เครื่องยนต์ผิดประเภท เราใช้เครื่องยนต์ด้านการบริโภคเยอะมาก เช่น นโยบายคนละครึ่ง ต้องหันไปกระตุ้นด้วยการผลิตแทน

ทั้งสามคนพูดคล้องจองกันดี ทำให้เห็นภาพว่าถ้าจัดวางทั้งสามไว้เป็นทีมรองนายกฯ ละก็ ใครจะเป็นแคนดิเดทนายกฯ ไม่สำคัญ อีกสองคนใส่ชื่อไว้ตามกฎหมายเท่านั้น ปล่อยพวกนายแบกกระสายแสงยุแยงตะแคงรั่วไปคนเดียว “ชั่งหัวมัน”

(https://www.matichon.co.th/politics/news_5470219 และ https://nidapoll.nida.ac.th/survey_detail?survey_id=780)