วันพุธ, พฤศจิกายน 19, 2568

ทักษิณดีลขายหุ้นชินคอร์ปที่ทั้งประเทศถามว่า ทำไมไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว? สู่การเสียภาษีกว่า 17,600 ล้านบาท ลองย้อนเวลาไปดูเหตุการณ์ทั้งหมดกัน


Thanom Ketem
12 hours ago
·
บทสรุป 19 ปี จากโอนหุ้น 1 บาท
ที่สุดท้ายกลายมาเสียภาษี 17,600 ล้าน
---

จุดเริ่มต้นในปี 2549
ดีลขายหุ้นชินคอร์ปที่ทั้งประเทศถามว่า

ทำไมไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว?
สู่การเสียภาษีกว่า 17,600 ล้านบาท
ลองย้อนเวลาไปดูเหตุการณ์ทั้งหมดกันครับ
---

จุดเริ่มต้นจากการโอนหุ้น 1 บาท

บริษัท Ample Rich (จัดตั้งที่ BVI)
โอนขายหุ้นชินคอร์ปให้บุคคล 2 คน

คือ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา
ในราคาต่อหุ้น 1 บาทจำนวน 329.2 ล้านหุ้น
ขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ 49.25 บาท/หุ้น

คำถามคือทำแบบนั้นเพื่ออะไร?
คำตอบอยู่ในวันที่ 23 มกราคม 2549
---

23 มกราคม 2549

หุ้นที่ทั้ง 2 คนได้รับมาจาก Ample Rich
ถูกขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ในราคา 49.25 บาท

กรณีทั้งหมดนี้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้
เพราะการขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์
ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีบุคคลธรรมดา
ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 ข้อ 2(23)

เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามตามมามากมาย
จนทางกรมสรรพากรต้องออกแถลงข่าวยืนยัน
---

กรมสรรพากรยืนยันว่าได้รับยกเว้นภาษี
โดยมีเนื้อหาที่สำคัญ สรุปได้ตามนี้

1. บุคคลธรรมดาซื้อต่ำกว่าตลาด
ไม่ถือเป็นเงินได้ของบุคคลธรรมดา

2. ส่วนการจ่ายเงินค่าหุ้นให้บริษัทในต่างประเทศ
ถ้าเงินที่จ่ายให้นั้นไม่เกินกว่าเงินทุนที่ บ.ขาย
ก็ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 70

และการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
ไม่ว่าจะได้หุ้นนั้นมาในกรณีใดก็ตาม
ก็จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามปกติ

อ้างอิงได้ตาม
เลข ปชส. 10/2549 และ 13/2549

แน่นอนว่ามีการโต้แย้งตามมาอีกมาก
และเป็นประเด็นการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย

ทำให้หลังจากนั้น
เราได้เห็นอะไรหลายอย่าง

หนึ่งในนั้นคือการประเมินภาษีของสรรพากร
---

ปี 2550 - 2553 ประเมินภาษีครั้งแรก

โดยตอนแรก สรรพากรประเมินภาษี
ไปที่บุตร 2 คน กรณีการขายหุ้นดังกล่าว

แต่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาว่า
การประเมินภาษีแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง

เพราะที่จริงหุ้นเป็นของเจ้าของที่แท้จริง
คือ นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่บุตรทั้ง 2 คน
จึงต้องประเมินให้ถูกคน และถูกกรอบของกฎหมาย

ผลของคำพิพากษานี้
ทำให้การประเมินภาษีต่อบุตรทั้งสอง
ถูก "เพิกถอน" ไปในที่สุด

แต่เรื่องยังไม่จบแค่นี้
เพราะเมื่อรู้ว่าภาระภาษีที่แท้จริง
นั้นต้องเป็นของตัวการ ไม่ใช่ตัวแทน

ทำให้เกิดการประเมินภาษีอีกครั้ง
ก่อนหมดอายุความเพียง 3 วัน
---

28 มีนาคม 2560

ก่อนหมดอายุความ 3 วัน
สรรพากรส่งหนังสือประเมินภาษีไปที่ตัวการ

นั่นคือ นายทักษิณ ชินวัตร
เรียกเก็บภาษีจำนวน 17,600 ล้านบาท
---

ภาษี 17,600 ล้านบาทมาจากไหน

"เงินได้ทีต้องเสียภาษี" คิดจาก "ส่วนต่าง" ราคาหุ้น
ที่ Ample Rich ขายให้บุตร (ตัวแทน) ในราคาถูกเกินจริง

ส่วนต่างราคา: 49.25 (ราคาตลาด) - 1.00 (ราคาพาร์)
= 48.25 บาท/หุ้น จำนวนหุ้น: 329.2 ล้านหุ้น
รวมเป็นเงินได้ราว ๆ 15,900 ล้านบาท

คำนวณภาษีที่ต้องจ่าย

คำนวณตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
แบบก้าวหน้า (ปี 2549 ฐานสูงสุด 37%)
ตัวภาษีที่คิดได้จากเงินได้สุทธิ ประมาณ 5,870 ล้านบาท

คำนวณเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม

เนื่องจากผ่านมา 10 ปีแล้ว (2549-2560)
กฎหมายกำหนดบทลงโทษไว้ตามนี้

เบี้ยปรับ 1 เท่า ประมาณ 5,870 ล้านบาท
เงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือน สูงสุดไม่เกินภาษี
คิดเป็นเงินประมาณ 5,870 ล้านบาท

รวมทั้งหมด ประมาณ 17,600 ล้านบาท

นี่คือที่มาของภาษีที่ต้องจ่ายทั้งหมด
แต่ก็ยังไม่ต้องจ่ายทันที ณ ตอนนั้น
เนื่องจากต่อสู้กันต่อในชั้นศาล
---

จากการประเมินดังกล่าวสู่ชั้นศาล
นำไปสู่การต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนาน

ตั้งแต่ปี 2560 จนถึงวันนี้
การต่อสู้ทีผ่านมาทั้งสองศาล

ทั้งศาลภาษีอากรกลาง (2565)
และ ศาลอุทธรณ์ (2566) ยกฟ้อง
เนื่องจากขั้นตอนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

นั่นคือ ไม่ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบ
ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฏากร
ซึ่งต้องออกภายใน 5 ปีตามกฎหมาย
ไม่ใช่มาประเมินในปีที่ 10 โดยไม่มีหมายเรียก

ตอนแรกเรื่องเหมือนจะจบแค่นี้
แต่ต่อมากรมสรรพากรยื่นฎีกาต่อศาลฎีกา

จนมาถึงวันนี้
---

17 พฤศจิกายน 2568
ศาลฎีกาพิพากษา “กลับ”
ให้การประเมินภาษีมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย

นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจในหลายประเด็น

1. เป็นเจตนาการปกปิดการถือหุ้น
โดยใช้บุตรและบุคคลอื่นเป็น "นอมินี" ถือหุ้นแทน

2. ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจรองรับ
นอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่น รวมถึงประโยชน์ทางภาษี

3.ขาดคุณธรรมทางภาษี
และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร

4. ธุรกรรมทั้งหมดนี้ถือว่า
มิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง

ดังนั้นจึงให้กรมสรรพากรประเมินภาษีตามเดิม
และไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม

ในมุมของคนทำงานด้านภาษี
ผมเห็นความน่าสนใจของการพลิกคำตัดสิน
---

เรามองเห็นอะไรจากเรื่องนี้บ้าง ?

1. เรื่อง เจตนา มากกว่า รูปแบบ
กฎหมายภาษีควรให้ความสำคัญกับ
“ความจริงทางเศรษฐกิจ”มากกว่าเอกสารธุรกรรม

2. การที่ศาลไม่เชื่อว่าการโอนหุ้น 1 บาท
มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ (หรือมีประโยชน์ใดๆ)

เมื่อไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ
แปลว่าเป็นธุรกรรมเพื่อประโยชน์ทางภาษี

3. ขาดคุณธรรมทางภาษี คำนี้ได้ยินครั้งแรก
แต่ก็น่าสนใจว่าจะถูกใช้เป็นบรรทัดฐานได้อย่างไรต่อไป

เพราะคำว่า คุณธรรม สามารถจะวัดผลในแง่ไหนได้บ้าง
สิ่งนี้คงต้องติดตามดูกันต่อไปในอนาคต

แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำตัดสินนี้
ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง
---

ทั้งหมดนี้คือ “บันทึกความเข้าใจ”
จากมุมมองของคนทำงานสายภาษีคนหนึ่ง

ไม่ได้เขียนเพื่อบอกว่า
คำตัดสิน “ถูก” หรือ “ผิด” ทางการเมือง

แต่เพื่อชี้ให้เห็นว่า…

ครั้งหนึ่ง ประเทศไทยเคยมีดีลขายหุ้น 73,000 ล้าน
ที่ไม่เสียภาษีเลยแม้แต่บาทเดียว

และอีกเกือบ 20 ปีต่อมา
ดีลเดียวกันนี้ ถูกประเมินภาษีกลับมาที่ 17,600 ล้าน

คดีนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “คน ๆ เดียว”
แต่มันคือกรณีศึกษาว่าการต่อสู้ทางกฎหมาย
และมันเปลี่ยนได้ตาม "ความคิด" ของคน

ขอบคุณครับ
.....

Thanom Ketem
ผมเขียนบันทึกทั้งหมดนี้จากการรวบรวมข้อมูลในช่วงเวลาที่ผ่านมา และความเข้าใจที่มีในข่าวทางด้านภาษีด้วยตัวเอง โดยไม่ได้มีจุดประสงค์เกี่ยวกับแนวคิดทางการเมืองใด ๆ ต้องการเพียงบันทึกให้ตัวเองเห็นว่า ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงและตีความกฎหมายนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะกฎหมายเขียนขึ้นและบังคับใช้โดยมนุษย์ด้วยกัน
หวังว่าจะมีประโยชน์ในการอ่านนะครับ
..
ขออธิบายเพิ่มเติมอีกสักนิดนะครับ ว่าทุกท่านสามารถมีความเห็นต่อเรื่องนี้ได้อย่างอิสระครับ เพียงแต่ผมคงไม่ตอบคอมเม้นหรือแสดงความเห็นใด ๆ เพื่ออธิบายสิ่งที่ผมคิดกับพวกท่านครับ
จุดประสงค์แค่เขียนเพื่ออธิบายความเข้าใจเรื่องภาษี และเรียบเรียงไว้ในการทำเนื้อหาแบบละเอียดในช่องของตัวเองเท่านั้น
ถ้าตรงไหนตกหล่น หรือ ผิดพลาดไปต้องขออภัยด้วยครับผม

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162500690193450&set=a.284039943449