
รัฐบาลไทยสื่อสารช้า-ไม่รวมศูนย์ ทำไทยแพ้สงครามข่าวสารกับกัมพูชาแล้วหรือไม่
วศินี พบูประภาพ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
14 พฤศจิกายน 2025
จากเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่ห้วยตามาเรีย จ.ศรีสะเกษ ไปจนถึงเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ใกล้บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ถูกตั้งคำถามอีกครั้งถึงประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการสื่อสารต่อสาธารณะ
โดยเฉพาะเหตุปะทะใกล้บ้านหนองหญ้าแก้วเมื่อวันที่ 12 พ.ย. ซึ่งสื่อของทางการกัมพูชาเริ่มมีการรายงานสถานการณ์ตั้งแต่เวลา 16.27 น. ครึ่งชั่วโมงต่อมามีการแถลงการณ์อย่างเป็นทางการจากพลโท มาลี โสเจียตา รองเลขาธิการและโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา กล่าวหาว่าฝ่ายไทยเปิดการโจมตี "พลเรือน" ชาวกัมพูชาเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาคมนานาชาติเรียกร้องให้ฝ่ายไทยรับผิดชอบ นอกจากนี้ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยังได้โพสต์เฟซบุ๊กประณามการใช้ความรุนแรงของฝั่งไทยในช่วงเย็นวันเดียวกัน โดยโพสต์ดังกล่าวมีผู้ใช้เฟซบุ๊กกดแชร์ไปเกือบ 1.4 แสนครั้ง
ฝั่งทางการไทยมีการเผยแพร่จดหมายข่าวจากกองทัพภาคที่ 1 ในเวลาราว 18.00 น. ขณะที่เย็นวันเดียวกันกระทรวงการต่างประเทศของไทยมีเพียงการส่งข้อความต่อสื่อมวลชนยืนยันว่าการดำเนินการของฝ่ายไทยเป็นไปเพื่อปกป้องอธิปไตยและปกป้องตนเอง ส่วนการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการของกระทรวงการต่างประเทศของไทย มีขึ้นในช่วงค่ำวันต่อมาหลังเกิดเหตุการณ์นานกว่า 24 ชั่วโมง
เมื่อเปรียบเทียบกับท่าทีของกัมพูชาที่สื่อสารอย่างต่อเนื่องทันทีหลังเกิดเหตุการณ์ นี่ทำให้เกิดคำถามว่า ประเทศไทยภายใต้รัฐบาลนายกฯ อนุทิน กำลังเผชิญกับความพ่ายแพ้ใน "สงครามข่าวสาร" ให้กับกัมพูชาแล้วหรือไม่
บีบีซีไทยพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์ ได้แก่ ผศ.ดร.สุรัชนี ศรีใย นักวิจัยอาคันตุกะ สถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค ประเทศสิงคโปร์, ดร.ชนาภางค์ พงศ์พิบูลเกียรติ อาจารย์ประจำวิทยาลัยสื่อและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยลีดส์ สหราชอาณาจักร และดร.นันท์นภันต์ พัวธนวัฒน์ หัวหน้าสาขาวิชาสื่อและการสื่อสาร วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล (MUIC) เพื่อวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของกลไกการสื่อสารของรัฐบาลไทยในสถานการณ์ความขัดแย้งครั้งนี้
ไทยเสียจังหวะกำหนดกรอบเรื่องราว ทำให้ตกอยู่ในสถานะตั้งรับเสมอ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสามเห็นพ้องกันว่า การสื่อสารของไทยยังคงอยู่ในจุดที่ "เพลี่ยงพล้ำ" เช่นเดียวกับในรอบก่อน ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องจังหวะเวลาในการนำเสนอข้อมูล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์
ดร.นันท์นภันต์ ชี้ให้เห็นว่า หากมองตามหลักการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์แล้ว ผู้ที่ออกมาพูดก่อนมักจะสามารถ "ครองพื้นที่ข่าว" และ ชี้นำการตีความเหตุการณ์ (issue framing) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ในเหตุการณ์ล่าสุด กัมพูชาเริ่มสื่อสารอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงบ่าย โดยเริ่มต้นจากการเผยแพร่ภาพผู้บาดเจ็บผ่านสำนักข่าวแห่งชาติ (AKP) ตามด้วยแถลงการณ์ของโฆษกกระทรวงกลาโหม และการโพสต์ของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ในช่วงหัวค่ำ
"ในช่วงแรกของเหตุการณ์ ซึ่งถือเป็นจังหวะของโอกาส (window of opportunity) ที่สาธารณะและสื่อมวลชนยังไม่มีกรอบตีความที่ชัดเจน ทำให้ฝ่ายที่สื่อสารก่อนสามารถกำหนดการสื่อสารหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า" ดร.นันท์นภันต์ ระบุ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารจากมหาวิทยาลัยมหิดลอธิบายต่อว่า "เราจะเห็นว่าฝ่ายกัมพูชาใช้จังหวะเวลานี้อย่างเข้มข้น... ทั้งหมดนี้ช่วยให้กัมพูชาสามารถกำหนดเรื่องเล่า (narrative) หลักว่า ไทยยิงใส่พลเรือนและละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งเป็นกรอบที่ทั้งชัดเจนและมีพลังทางอารมณ์ ทำให้ถูกหยิบไปขยายโดยสื่อภายในและสื่อต่างประเทศอย่างรวดเร็ว" นอกจากนี้ เธอยังชี้ว่ากรอบเรื่องเล่าแรก (initial frame) ที่ถูกเผยแพร่ออกไปนี้จะกลายเป็นฐานที่ผู้รับสารใช้ในการประมวลผลข้อมูลที่เข้ามาภายหลัง จึงทำให้การสื่อสารของไทยกลายเป็น การตามแก้ (reactive framing) มากกว่าการสร้างเรื่องเล่าของตัวเองตั้งแต่ต้น
ด้าน ดร.ชนาภางค์ มองว่า ไทยอยู่ในจุดที่เสียเปรียบในการสื่อสารอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นประเทศที่ใหญ่กว่าและมีความพร้อมด้านยุทโธปกรณ์มากกว่า ทำให้ไม่ว่าไทยจะสื่อสารเร็วหรือช้า ก็ดูเหมือนเป็นการ "แก้ตัว" อยู่ตลอดเวลา เมื่อผนวกรวมกับจังหวะเวลา ทำให้เรื่องเล่าของฝ่ายไทย "ตามหลัง" อยู่เสมอ
ดร.สุรัชนี จากสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค ประเทศสิงคโปร์ ได้วิเคราะห์ความแตกต่างทางภาษาที่สำคัญในเชิงตำแหน่งของการสื่อสารด้วยว่า "กัมพูชาไม่ลังเลที่จะพูดว่าไทยเป็นคนเริ่มก่อนเลย ตั้งแต่ต้น แต่ไทยจะพูดว่า 'ไทยไม่ได้เริ่มก่อน' แทนที่จะพูดว่า 'กัมพูชาเริ่มก่อน'... เรากลายเป็นว่าเราพูดเชิงปฏิเสธ" ซึ่งเป็นการสื่อสารที่แสดงจุดยืนตั้งรับตั้งแต่แรก
เธอวิพากษ์ยุทธวิธีของกัมพูชาด้วยว่า การเลือกใช้วิธีการส่งเสียงก่อนเพื่อสร้างความได้เปรียบก็เป็นจุดอ่อนได้เช่นกัน หากข้อมูลเหล่านั้นถูกตรวจสอบในภายหลังแล้วพบว่าเป็นเท็จ
"แต่ไทยก็ควรจะรู้ตั้งแต่ก่อนเซ็นปฏิญญาแล้วว่าเขาใช้ยุทธวิธีแบบนี้ และควรจะตอบสนองได้ดีกว่านี้" เธอระบุ
ประเด็นการสื่อสารเชิงรับของรัฐบาลไทยไม่ได้เป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ระหว่างรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารและรัฐศาสตร์ได้ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยในประเด็นการสื่อสารของรัฐบาลแพทองธาร ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะคล้ายกัน
สำหรับสาเหตุที่ไทยไม่สามารถชิงจังหวะการสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าปัญหาที่ฝังรากลึกกว่าคือ โครงสร้างการสื่อสารที่ขาดเอกภาพภายในหน่วยงานความมั่นคงของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกองทัพบก

ภาพจากเอกสารประชาสัมพันธ์ของสำนักข่าวกัมพูชา (AKP) แสดงให้เห็นผู้บาดเจ็บได้รับการรักษาพยาบาล หลังสื่อกัมพูชารายงานเหตุปะทะใน จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา วันที่ 12 พ.ย.
ปัญหาเชิงโครงสร้างการสื่อสารในกองทัพบก
สำหรับประเด็นเรื่องการจัดการการสื่อสารในภาวะวิกฤต ดร.นันท์นภันต์ วิเคราะห์การสื่อสารของฝั่งไทยว่า การมีหลายช่องทางทำให้เกิดความเสี่ยงเรื่องข้อมูลไม่สอดคล้อง และความไม่เป็นเอกภาพ
ย้อนไปเมื่อวันที่ 12 พ.ย. หลังเกิดเหตุปะทะ ช่องทางแรกที่เป็นทางการของฝ่ายไทยซึ่งสื่อสารถึงเหตุการณ์การปะทะดังกล่าว เกิดขึ้นผ่านจดหมายข่าวจากกองทัพภาคที่ 1 ณ เวลาราว 18.00 น. ทว่าก่อนหน้านั้น เพจเฟซบุ๊ก "กองทัพบก ทันกระแส" ได้โพสต์ข้อความถึงเหตุปะทะตั้งแต่เวลา 16.49 น. ระบุว่า "ทหารไทยโจมตีพลเรือนในหมู่บ้านเปรยจัน ไม่เป็นความจริง" ก่อนจะโพสต์ข้อความอีกครั้งเวลา 17.03 น. ชี้ว่า "ยืนยันไทยไม่ได้โจมตี กัมพูชายิงก่อน พื้นที่เปรยจัน กัมพูชายิงก่อน ก่อกวน ไทยตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตย ขอประณามกัมพูชา ใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์"
ดร.สุรัชนี ตั้งคำถามว่าการสื่อสารผ่านเพจ "กองทัพบก ทันกระแส" มีความเป็นทางการหรือไม่ในการยืนยันข้อเท็จจริงของเหตุการณ์
"สมมติอย่างเราเป็นนักข่าว เราอยากรู้จริง ๆ ว่าไทยตอบโต้ครั้งแรกที่ไหน ผ่านแพลตฟอร์มอะไร เราจะนับเพจนี้ได้ไหม หรือว่าที่ไหนคือศูนย์บัญชาการหลักของไทยในการสื่อสาร"
อย่างไรก็ดี ดร.นันท์นภันต์ มองว่าการมีหลายเพจของทหารไทยอาจไม่ใช่ปัญหาในตัวเอง เนื่องจากอาจตีความได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์กระจายที่มีจุดแข็งคือการส่งข้อมูลจากพื้นที่ได้รวดเร็ว
"สิ่งที่ต้องพิจารณาในกรณีวิกฤตชายแดนครั้งนี้คือ ข้อมูลจากหลายเพจนั้นเชื่อมกันหรือสอดคล้องกันมากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าข้อมูลออกมาไม่พร้อมกัน หรือมีรายละเอียดที่ต่างกัน ก็จะเปิดพื้นที่ให้ฝ่ายตรงข้ามกำหนดเรื่องราวได้ก่อน"

ดร.ชนาภางค์ ซึ่งศึกษาเรื่องการทหารของไทยด้วย ให้ทัศนะเกี่ยวกับสาเหตุหลักที่ทำให้กองทัพบกมีเพจหรือช่องทางการสื่อสารที่กระจายตัวว่า "ด้วยความที่ทัพบกไซส์ใหญ่มาก ๆ ทำให้ทุกหน่วยก็ตั้งตนแล้วมีอำนาจของตัวเองค่อนข้างมาก"
เธออธิบายต่อว่าหน่วยงานย่อยเหล่านี้ต่างคนต่างมีอำนาจและช่องทางเป็นของตนเอง มีงบประมาณและกำลังสนับสนุน ทำให้การรวมศูนย์การสื่อสารเพื่อใช้ "เสียงเดียว" เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับองค์กรนี้ นอกจากนี้ เธอยังมองว่าบริบททางสังคมของไทยยังคงมีผู้ที่เห็นต่าง และมีผู้ที่ไม่ชอบที่ทหารออกมาพูด ทำให้การสื่อสารค่อนข้างยากในการตัดสินใจว่าใครควรเป็นผู้สื่อสารหลัก
เธอเปรียบเทียบว่าโครงสร้างทางสังคมของกัมพูชาเอื้อให้การสื่อสารประสบความสำเร็จมากกว่า เมื่อการสื่อสารที่รวมศูนย์ออกมา (เช่น การมี พลโทมาลี โสเจียตา เป็นโฆษกผู้แถลงหลัก) ผู้คนในสังคมก็อยู่ในสภาวะที่ "ไปพร้อมกัน" มีความเชื่อและความเข้าใจไปในทางเดียวกัน
นี่สอดคล้องกับมุมมองของ ดร.สุรัชนี ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่า การที่กัมพูชาสามารถแสดงออกถึงความเป็นผู้ถูกกระทำได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพนั้น เป็นเพราะพวกเขามี "ความสามารถในการที่จะบังคับการสายบังคับบัญชาของเขาได้ทั้งหมด" ว่าต้องการสื่อสารอะไรกับประชาคมโลก ทำให้การวางแผนการสื่อสารของกัมพูชาทำได้เบ็ดเสร็จกว่าไทยมาก
ผู้เชี่ยวชาญหนุนรัฐบาลตั้งศูนย์กลางการสื่อสารวิกฤต
ย้อนไปในเดือน มิ.ย. 2568 รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ตั้งศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เพื่อบริหารสถานการณ์ชายแดนซึ่งเริ่มตึงเครียดในขณะนั้น โดยศูนย์ดังกล่าวมีบทบาทอย่างมากหลังการปะทะกันในช่วงปลายเดือน ก.ค. อย่างไรก็ดี เพจเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของศูนย์นี้ไม่มีความเคลื่อนไหวอีกเลยตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.
ดร.นันท์นภันต์ กล่าวว่า ความชัดเจนและความรวดเร็วในการสื่อสารด้วยเสียงเดียวคือสิ่งสำคัญที่สุดในภาวะวิกฤต เธอเสนอให้ไทยจัดตั้ง ศูนย์กลางการสื่อสารวิกฤต ที่ชัดเจนขึ้นมาอีกครั้งเพื่อกำกับทิศทางข้อมูล โดยทุกหน่วยงานควรทำงานร่วมกันเพื่อแบ่งปันข้อมูลและแถลงการณ์ไปในทิศทางเดียวกันด้วย "ไฮไลท์" และเนื้อหาที่เป็นเนื้อเดียวกัน
นอกจากนี้ เธอชี้ว่ารัฐบาลไทยสามารถปรับเรื่องความเร็วได้ โดยการออก "แถลงการณ์แสดงจุดยืน" หรือ Holding Statement ทันทีหลังเกิดเหตุ เช่น แถลงการณ์ซึ่งระบุว่าทางการไทยกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงและจะรายงานสถานการณ์โดยเร็ว เพื่อรักษาพื้นที่ข่าวและไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามกำหนดกรอบเรื่องเล่าไปทั้งหมด นอกจากนี้ เธอแนะว่าไทยควรใช้ภาพและข้อมูลภาคสนามที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว เช่น ภาพจุดปะทะจริง ร่องรอย หรือกราฟิกไทม์ไลน์ ให้มากขึ้น เพื่อทำให้การสื่อสารของไทยมีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น โดยต้องตอบโต้อย่างทันทีทันควัน
การแบ่งการสื่อสารในประเทศ-นอกประเทศ ออกจากกัน
ย้อนไปเมื่อวันที่ 11 ก.ย. นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ให้สัมภาษณ์ระหว่างการลงพื้นที่ภูมะเขือ โดยกล่าวว่า "สิ่งที่เราได้มีข้อตกลงกันไว้เพื่อจะเดินไปสู่การมีสันติภาพมันจบลงแล้ว" และกล่าวว่าตนไม่สนใจแรงกดดันเรื่องภาษีจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มให้เกิดการลงนามถ้อยแถลงร่วมกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 26 ต.ค. ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
ในประเด็นนี้ นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากสิงคโปร์ชี้ว่า แม้หลายคนอาจมองว่าคำพูดของนายอนุทินจะมีความชอบธรรมอยู่บ้างจากการที่ข้อตกลงทางเศรษฐกิจซึ่งพ่วงมากับถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชานั้น ถูกมองว่าคำนึงถึงประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก แต่การสื่อสารดังกล่าวเหมาะสำหรับสื่อสารเฉพาะกับฐานเสียงภายในประเทศเท่านั้น
"เรามองว่าคุณอนุทินน่าจะพยายามที่จะสื่อสารกับผู้ชม (audience) ที่เป็นฐานเสียง... ถ้าเอาแค่ผู้ชมแบบนั้นก็สื่อสารได้ถูกต้องแล้ว" นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์กล่าว "แต่พอมาดูบริบทว่าถ้าเราเปลี่ยนผู้ชมเป็นอเมริกา การพูดแบบนี้โดยที่ฝั่งตรงข้ามเป็นอเมริกาที่นำโดยประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเป็นคนที่นำด้วยอารมณ์อยู่แล้ว การที่ไปพูดแบบนี้มันอาจจะเป็นการยั่วยุได้"
ด้าน ดร.ชนาภางค์ ชี้ว่ากัมพูชาเองก็แยกการสื่อสารระหว่างคนในประเทศ และการสื่อสารต่อประชาคมโลกเช่นกัน เพียงแต่การสื่อสารของกัมพูชามีทิศทางของเรื่องเล่าที่สอดประสานกันแม้จะพุ่งไปที่ผู้ชมคนละกลุ่มด้วยท่วงท่าคนละแบบ โดยทางการกัมพูชาเน้นย้ำเรื่องชาตินิยมว่าต้องรวมพลังกันเพื่อต่อสู้กับการถูกรังแกในการสื่อสารภายในประเทศ แต่บนเวทีโลก กัมพูชาใช้การสื่อสารที่เน้นข้อเท็จจริง และนำเสนอเรื่องราวในมุมของผู้ที่ได้รับความเสียหาย เพื่อ "แสดงสถานะเป็นรอง" อันเป็นการเรียกความช่วยเหลือจากประชาคมโลก
.webp)
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ร่วมเป็นสักขพยานในพิธีลงนามในถ้อยแถลงร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อ 26 ต.ค. 2568
"กัมพูชามีความชัดเจนในการสื่อสารมาโดยตลอดว่าจะส่งสาร 'เรียกร้องขอความช่วยเหลือ' จากประชาคมโลก ซึ่งทำให้พวกเขาได้เปรียบอย่างมาก" เมื่อเปรียบเทียบกับไทยแล้ว ดร.ชนาภางค์มองว่าไทยอยู่ในสภาวะที่ต้องกำหนดน้ำเสียงด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
"เราห้ามกระแสชาตินิยมไม่ได้ เพราะมันเป็นกลไกตามธรรมชาติของภาวะสงคราม และอาจเป็นสิ่งจำเป็นของรัฐ ต้องมีอารมณ์ร่วมของสังคมเพื่อสร้างกำลังใจให้ทหาร" เธอกล่าว "แต่เมื่อเราสื่อสารออกไปในมุมที่ต้องจับมือเจรจา ต้องชัดเจนว่าจะทำอย่างไรให้ไทยอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบ เพราะถ้าไปแสดงท่าทีแข็งกร้าว ก็จะถูกมองว่าเป็นฝ่ายก้าวร้าวทันที"
ขณะเดียวกัน หากไทยเลือกจะแสดงบทบาทในการแสวงหาสันติภาพ ก็ต้องแสดงบทบาทนำในการเรียกร้องสันติภาพเช่นเดียวกัน "ไทยต้องสามารถทำให้ประชาคมโลกเห็นชัดเจนว่าต้องการสันติภาพ และต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำจริง ๆ ว่าต้องการสันติภาพจริง"
ดร.สุรัชนี เห็นพ้องว่าจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของไทยคือการไม่กำหนดตำแหน่งให้แน่ชัดว่าจะวางตำแหน่งประเทศไว้ ณ จุดใดในประชาคมโลก และการสื่อสารทั้งหมดจะต้องสอดคล้องกับการวางตำแหน่งนั้น เธอชี้ว่าการมองผลกระทบในระยะยาวเป็นสิ่งสำคัญ หากการสื่อสารหรือการกระทำใดมีโอกาสทำให้สถานการณ์แย่ลง หรือทำให้ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ก็อาจจะต้องพิจารณาว่าจะทำหรือไม่
https://www.bbc.com/thai/articles/cjd0v5m3re1o