วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 27, 2568

ฉันเขียนจากเจนีวา แต่หัวใจมันจมน้ำอยู่ที่ภาคใต้ไปแล้วตั้งแต่เห็นภาพแรก… ในยุคที่เราพูดถึง AI กันทุกเช้า ยุคที่สั่งอาหารจากอีกซีกโลกได้ภายใน 30 นาที แต่เมื่อฝนตกหนัก ประเทศเดียวกันกลับต้องลุ้นว่า “เรือจะมารับไหม” มันคือความย้อนแย้งที่เจ็บที่สุดของการเป็นคนไทย


Annabel - Your Wealth Architect
November 24
·
ฉันเขียนจากเจนีวา แต่หัวใจมันจมน้ำอยู่ที่ภาคใต้ไปแล้วตั้งแต่เห็นภาพแรก…

บ้านที่ถูกน้ำตัดขาด
เสียงคนเรียกหาญาติ
เด็กนั่งบนหลังคาเพราะพื้นบ้านทั้งหมดกลายเป็นทะเล

ฉันเห็นภาพแบบนี้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
ผ่านมาสี่สิบปี ทุกอย่างแย่ลง แต่ “ระบบรับมือภัยพิบัติของไทยยังเหมือนเดิม”
และนั่นคือบาดแผลที่กรีดใจที่สุด

ในยุคที่เราพูดถึง AI กันทุกเช้า
ยุคที่สั่งอาหารจากอีกซีกโลกได้ภายใน 30 นาที
แต่เมื่อฝนตกหนัก ประเทศเดียวกันกลับต้องลุ้นว่า “เรือจะมารับไหม”

มันคือความย้อนแย้งที่เจ็บที่สุดของการเป็นคนไทย

ภัยธรรมชาติมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกที่ในโลก ไม่ว่าจะเป็นมหาอำนาจหรือประเทศเล็กๆ เราห้ามไม่ได้อยู่แล้วค่ะคุณ แต่“ระบบเตือนภัย” เพื่อเตือนผู้คนให้อพยพและเตรียมตัวสำคัญมาก และประเทศไทยจำเป็นต้องมีความเข้มข้นในการสื่อสาร

แม้ว่ากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแจ้งเตือนตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 เรื่องน้ำท่วม แต่การคาดการณ์ความรุนแรงผิดไปมากและทุกฝ่ายพูดว่า“คาดไม่ถึง” และประชาชนงงแบบไม่รู้จะทำยังไง ถุงยังชีพต้องเตรียมเองดูแลตัวเอง เพราะภาครัฐตกใจอยู่และไม่มีมาตรการรับมือ

สวิตเซอร์แลนด์ ไม่มีทางรอดด้วย “ดวง”
ประเทศนี้เต็มไปด้วยภูเขา แม่น้ำ ลำธาร น้ำแข็งละลายเสี่ยงแทบทุกอย่าง
แต่เขารู้ว่า “การไม่เตรียมตัว…แพงกว่าเตรียมตัวหลายร้อยเท่า”

ที่นี่ทุกเทศบาลมี “แผนที่ความเสี่ยงภัยพิบัติของตัวเอง”
ใครอยู่โซนไหน ต้องเผชิญอะไร มีทางอพยพตรงไหนประชาชนรู้หมด
โรงเรียนสอนเด็กแบบจริงจัง ไม่ใช่บทเรียนลอยๆ
อาคารในโซนเสี่ยงต้องสร้างตามกฎหมายเฉพาะ
ข้อมูลอัปเดตจากดาวเทียมและเซนเซอร์ทุกชั่วโมง

เขาเชื่อหลักเดียวว่า:
ภัยพิบัติที่เตรียมไว้ = พิษน้อย
ภัยพิบัติที่ไม่เตรียม = โศกนาฏกรรม

ญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหวจนโลกยังกลัว แต่ประชาชน “รู้ทุกขั้นตอน” ก่อนเจ้าหน้าที่มาถึง

ญี่ปุ่นสอนเด็กตั้งแต่ ป.1 ว่า เมื่อภัยมาถึงต้องทำอะไร
ซ้อมอพยพจริงทั้งเมือง
มีระบบแจ้งเตือนที่แม่นยำจนคนญี่ปุ่นพูดได้ว่า “รู้ก่อนเหตุมา”
เมืองออกแบบให้หลบภัยง่าย
สะพาน ทางเดิน สถานีรถไฟ ทุกอย่างคิดเผื่อภัย

เขาไม่ปล่อยให้ประชาชนเรียนรู้จาก “ความสูญเสียซ้ำๆ”
เขาเรียนรู้ล่วงหน้า

คนสิงคโปร์บอกว่า ‘น้ำท่วมคือเรื่องที่ต้องหยุดให้ได้’ ไม่ใช่เรื่องรับสภาพให้ชิน

สิงคโปร์ไม่มีพื้นที่ด้วยซ้ำ
แต่เขาขุดคลอง สร้างเขื่อน ระบายใหม่ทั้งเมือง
ใช้ระบบวิเคราะห์น้ำแบบ real-time
ฝนตก 1 มม. เขาก็รู้
มีระบบสื่อสารรัดกุมถึงระดับห้องแถว

เขามีคำเดียวที่ยึดไว้เสมอ:
“ปัญหาที่รู้ว่าจะเกิด = ต้องป้องกันให้ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้มันเกิดทุกปี”

เพราะเขาไม่ยอมให้ภาพคนติดบนหลังคาเป็น “เรื่องปกติทางวัฒนธรรม”

ออสเตรเลีย ประเทศที่แห้งแล้ง แต่การเตรียมรับน้ำท่วมเข้มกว่าประเทศที่ท่วมทุกปี

ประเทศครึ่งหนึ่งคือทะเลทราย
แต่เขามีระบบข้อมูลน้ำท่วมจากดาวเทียม
ทำงานแบบ “ก่อน ระหว่าง หลัง” อย่างเป็นระบบ
ใช้ข้อมูล + เทคโนโลยี + การมีส่วนร่วมของชุมชน
ทุกเมืองมีแผนรับมือเป็นของตัวเอง

เขาไม่ยอมให้ประชาชนเจอเหตุการณ์เดิมสองครั้งแบบไม่เปลี่ยนอะไร

สหรัฐอเมริกา ประเทศที่ใหญ่จนบริหารยาก แต่ยังจัดการด้วยหลัก ‘โซนเสี่ยงต้องรู้ล่วงหน้า’

FEMA ทำแผนโซนน้ำท่วมทั่วประเทศ
ออกกฎหมายห้ามสร้างบ้านบางประเภทในโซนเสี่ยง
อสังหาฯ ต้องเปิดเผยข้อมูลน้ำท่วม
ประกันน้ำท่วมเป็นเรื่องจริงจัง
ประกาศเตือนล่วงหน้าแบบมีข้อมูลรองรับ ไม่ใช่สั่งให้ “ระวัง” แบบกว้างๆ

แล้วกลับมามองไทย…

ประเทศที่ฉันรักจนเจ็บ

ไทยรู้ว่า
ฝนตกหนักทุกปี
ทะเลหนุนทุกปี
แม่น้ำล้นทุกปี
อากาศแปรปรวนหนักขึ้นทุกปีเพราะโลกร้อน
และครั้งนี้ยิ่งกว่าปกติ

ใช่ค่ะ มันหนักและรุนแรงยิ่งกว่าน้ำท่วมทุกครั้ง

และปีถัดๆไปก็อาจจะเกิดขึ้นอีก

หนักขึ้นอีก

และหนักขึ้นอีก

ไม่ปกติกว่านี้ได้อีก

แต่ระบบป้องกัน
สื่อสาร
เตรียมพร้อม
และฟื้นฟู

“แทบไม่เปลี่ยนเลยตั้งแต่ฉันเป็นเด็กอนุบาล”

ฉันจำข่าวน้ำท่วมสุราษฎร์ นครฯ หาดใหญ่ ปี 2531
ภาพเหมือนวันนี้แทบทุกอย่าง
แค่วันนี้มีโทรศัพท์ถ่ายได้คมขึ้น
แต่ความเจ็บเหมือนเดิม

ยิ่งกว่านั้น…มันหนักขึ้น
ฝนแรงขึ้น
พายุมาไวขึ้น
น้ำหลากเร็วขึ้น

แต่ระบบเรายังช้าเหมือนเดิม
สับสนเหมือนเดิม
สายด่วนโทรไม่ติดเหมือนเดิม
เรือไม่พอเหมือนเดิม
คำว่า “คาดไม่ถึง” ถูกใช้เหมือนใบอนุญาตล้างความรับผิดชอบ

ฉันไม่ได้โทษเจ้าหน้าที่ภาคสนาม

พวกเขาทำงานหนักที่สุดในประเทศนี้
ฉันเทิดทูนคนที่ลงน้ำ ลงโคลน ช่วยชีวิตคน

แต่ฉันโทษ “ระบบที่ไม่เรียนรู้”
การสื่อสารจากภาครัฐ+การเตือนภัย+การรับมือ

ฉันโทษความคิดแบบไทยๆ ที่ว่า
“เดี๋ยวก็ผ่านไป”
“ทำใจ”
“น้ำท่วมทุกปีเป็นเรื่องปกติ”

ไม่ค่ะ
มันปกติไม่ได้
เพราะมันรุนแรงขึ้นทุกปี

ฉันไม่ได้หมายถึงหาดใหญ่ที่เดียว แต่ใครก็ตามที่ต้องมีชีวิตแบบน้ำท่วมซ้ำๆทุกปีเหมือนเดิมตั้งแต่เล็กจนโต มันไม่ปกติ

และคุณไม่ควรรู้สึก “ชิน”
เพราะนี่คือ มันไม่ปกติ

เพราะขนาดเหตุการณ์น้ำท่วมแบบระดับปกติที่มาซ้ำทุกปี เรายังรับมือไม่ได้

แล้วเราจะไปจัดการกับเหตุการณ์น้ำท่วมระดับไม่ปกติแบบนี้ได้ยังไง? ไม่มีทางเลย

สิ่งที่เจ็บที่สุดคือ…

ประชาชนช่วยกันเองได้เร็วกว่า ‘ระบบรัฐ’ ทุกวิกฤต

ส่งเรือ
ส่งอาหาร
เปิดเรือนพัก
โอนเงินช่วย
แชร์เบอร์ติดต่อ
ตามหาญาติแทน

คนไทยยิ่งกว่าเทวดา
แต่ต้องอยู่ในระบบที่ปล่อยให้ประชาชนเป็น เครือข่ายช่วยเหลือหลัก ทั้งที่มันไม่ควรเป็นแบบนี้เลย

ฉันอยากเห็นประเทศที่ปกป้องประชาชนก่อนภัยมา ไม่ใช่หลังบ้านพังแล้วค่อยลงพื้นที่ถ่ายรูป

ฉันอยากเห็น
การเตือนภัยที่แม่น ชัด ทันเวลา
การสื่อสารที่ไม่สร้างความสับสน
แผนที่ความเสี่ยงที่ทุกบ้านกดเข้าไปดูได้
ที่อพยพพร้อมตั้งแต่ฤดูร้อน
ระบบขนสัตว์และผู้สูงอายุที่คิดไว้ก่อนภัยมา
และผู้นำที่ ‘สนใจชีวิตคน’ มากกว่าคะแนนเสียง

สุดท้ายนี้…

จากหัวใจคนไทยที่อยู่ไกล
ฉันขอส่งแรงใจให้ทุกคนที่กำลังเผชิญเหตุการณ์ในภาคใต้

ขอให้ปลอดภัย
ขอให้ครอบครัวอยู่พร้อมหน้า
ขอให้น้ำลดเร็วที่สุด
ขอให้ความเสียหายน้อยที่สุด

และขอให้ครั้งนี้…
ไม่ใช่เพียงอีกหนึ่งความทรงจำเจ็บๆ
แต่เป็นครั้งที่คนไทยทั้งประเทศลุกขึ้นถามว่า

“เราจะยอมเห็นภาพแบบนี้ไปอีกกี่ปี?”

เพราะประเทศที่ฉันรัก
สมควรได้รับมากกว่านี้
ทุกคนสมควรได้รับมากกว่านี้
และถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องเลิกจำแต่ภาพน้ำท่วม
แล้วเริ่มจำ “วิธีไม่ให้มันเกิดอีก” จริงๆ เสียที

แอนนาเบล

https://www.facebook.com/photo/?fbid=122114024559037349&set=a.122093673351037349