วันพุธ, ธันวาคม 10, 2568

ชวนทำความเข้าใจ เงื่อนไขในการอ้าง “สิทธิในการป้องกันตนเองของรัฐภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ" รัฐมีสิทธิใช้กำลังในการป้องกันตนเอง เพื่อทำลายอาวุธหรือขีดความสามารถทางทหารของรัฐอื่นได้แค่ไหน?

https://www.facebook.com/phil.sang/posts/10166164916214989

Phil Saengkrai
15 hours ago
·
รัฐมีสิทธิใช้กำลังในการป้องกันตนเอง เพื่อทำลายอาวุธหรือขีดความสามารถทางทหารของรัฐอื่นได้แค่ไหน?
คำตอบในมิติกฎหมายระหว่างประเทศ:
ใช้ได้ เท่าที่มีหลักฐานบ่งชี้แน่ชัดว่า รัฐนั้นๆ จะใช้อาวุธดังกล่าวหรือขีดความสามารถทางทหารเข้าโจมตีรัฐของตน หรือกำลังใช้โจมตีอยู่
คีย์เวิร์ดอยู่ที่ "การโจมตี" (attack) ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีที่กำลังเกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง หรือการโจมตีที่มีหลักฐานทางการข่าวชี้่ว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดขึ้น ดังนั้น จะเป็นกรณีใด ก็ต้องการ "โจมตี" รัฐจึงจะใช้กำลังป้องกันตนเองตอบโต้กลับไปได้
สิทธิในการป้องกันตนเองของรัฐภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ มีวัตถุประสงค์ เพื่อยุติการโจมตีของรัฐอื่น (ในกรณีที่มีการโจมตีเกิดขึ้นแล้ว) และ เพื่อสะกัดมิให้มีการโจมตีที่กระชั้นชิดเกิดขึ้นตั้งแต่แรก (ในกรณีที่กำลังจะมีการโจมตีอย่างกระชั้นชิด)
ดังนั้น กรอบการใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเองของรัฐค่อนข้างมีขอบเขตที่แน่นอน จะใช้กำลังเกินไปกว่านี้โดยอ้างเป็นการป้องกันตนเองไม่ได้ ศาลโลกได้วางหลักไว้อย่างชัดเจนในคดี DRC v Uganda ว่า ข้อ 51 กฎบัตรสหประชาชาติ (ซึ่งรับรองสิทธิในการป้องกันตนเองของรัฐไว้) กำหนดเงื่อนไขและขอบเขตไว้อย่างเข้มงวด รัฐจะอ้างเหตุผลด้าน "ความมั่นคง" กว้างๆ มาเป็นเหตุในparameters. (Article 51 of the Charter may justify a use of force in self-defence only within the strict confines there laid down. It does not allow the use of force by a State to protect perceived security interests beyond these) ซึ่งในประเด็นนี้ ศาลได้ตอบ Uganda ซึ่งยกเหตุผลด้านความมั่นคงมาในเหตุในการรุกราน DRC สาเหตุที่กฎหมายระหว่างประเทศหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา กำหนดเงื่อนไขและกรอบในการใช้กำลังป้องกันตนเองไว้ค่อนข้างเคร่งครัด เนื่องจากรัฐและนักกฎหมายเกรงว่า หากปล่อยให้รัฐสามารถอ้างสิทธิป้องกันตนเองได้ง่ายๆ การสู้รบอาจจะทวีความรุนแรงและกระทบต่อความั่นคงและสันติภาพระดับภูมิภาคและระดับโลกได้
ในกรณีที่เป็นการใช้กำลังทำลายอาวุธ เพื่อสะกัดกั้นการโจมตีทื่กระชั้นชิดนั้น ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนว่า การโจมตีดังกล่าวมีความเป็นไปได้สูงว่ากำลังจะเกิดขึ้น มิฉะนั้น รัฐก็ไม่อาจจะอ้างสิทธิในการป้องกันตนเองได้ ในประเด็นความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิจากทั่วโลกที่ยกร่าง Tallinn Manual ทั้งทหารและพลเรือน (ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิคนไทยด้วย) ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนแล้ว ตามภาพ
ยกตัวอย่าง ในปี ค.ศ. 1981 อิสราเคยใช้กำลังโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิรัก โดยอ้างว่าเป็นการป้องกันตนเอง แต่ถูกประนามจากทั่วโลก แม้แต่ประเทศพันธมิตรอย่างสหรัฐอเมริกา ทั้งในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงและสมัชชาองค์การสหประชาชาติ ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ข้อหนึ่งคือ ณ เวลานั้น อิสราเอลพิสูจน์ไม่ได้ว่าอิรักจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาโจมตีตนเองอย่างแน่แท้ จริงๆ แล้ว โรงงานยังไม่ได้เริ่มกระบวนการด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะมีสิทธิในการป้องกันตนเองจากการโจมตีได้ การใช้กำลังโต้ตอบกลับไป ก็ต้องเข้าสองเงื่อนไขสำคัญ ได้แก่
(1) ต้องมีความจำเป็น (necessity) หมายความว่า ถ้าไม่ใช้กำลังทหารโจมตีกลับไป ก็จะไม่สามารถทำลายอาวุธ/ขีดความสามารถได้ หากปรากฏว่า รัฐยังสามารถใช้มาตรการทางการทูตหรือทางเศรษฐกิจได้อยู่ ก็แปลว่า ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหาร
(2) ต้องได้สัดส่วนกับการโจมตี (proportionality) หมายความว่า การใช้กำลังทหารเพื่อป้องกันตนเองนั้น ต้องใช้เท่าที่จำเป็นต่อการยุติหรือสะกัดการโจมตีเท่านั้น โดยพิจารณาจากขนาด พื้นที่ ระยะเวลา และความรุนแรง ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่า วัตถุประสงค์ของการใช้กำลังป้องกันตนเอง คือ เพื่อยุติหรือสะกัดการโจมตีของอีกฝ่าย ดังนั้น กฎหมายไม่ได้เรียกร้องว่า ให้ใช้กำลังเท่าๆ กันเสมอไป หากจำเป็นต้องใช้กำลังตอบกลับไปมากกว่าที่ถูกโจมตี แต่ทำให้ยุติการโจมตีได้ ก็ถือว่าได้สัดส่วนกับการโจมตีแล้ว ดูความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิที่ยกร่าง Tallinn Manual เป็นตัวอย่าง
ในกรณีของการปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ เมื่อการปะทะเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว รัฐบาลไทยอาจจะจำเป็นต้องแถลงกับนานาประเทศและประชาคมโลกอย่างละเอียดอีกครั้งว่า ปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้เป้าหมายคืออะไร การทำลายขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาจำเป็นแค่ไหน การใช้กำลังของไทยได้สัดส่วนหรือไม่ หากบอกว่าไทยต้องทำลายอาวุธหนักของกัมพูชา มิฉะนั้น กัมพูชาจะใช้โจมตีพลเรือน ก็ต้องหลักฐาน และอาจจะต้องแสดงพยานหลักฐานในทางการข่าวที่จำเป็นเท่าที่จะทำได้ เช่น ภาพถ่ายทางอากาศ ด้วย ที่สำคัญคือ พยานหลักฐานเหล่านี้ ต้องมีมา "ก่อน" การเริ่มปฏิบัติการของไทย ดูความเห็นของ Talinn Manual ที่อธิบายไว้อย่างชัดเจน
ในจังหวะนี้ ประเทศไทยกลับมาได้เปรียบในแง่ความชอบธรรมในเวทีโลกเป็นอย่างมาก ทั้งในกรอบอนุสัญญาออตตาว่าเรื่องการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และในเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ข้ามชาติ
หากรัฐบาลไทยอธิบายปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้กับโลกไม่ได้ ความได้เปรียบที่มีอยู่ขณะนี้อาจจะค่อยๆ หายไป และไปเข้าเกมกัมพูชาอีกครั้ง ที่ว่า กัมพูชาต้องการเบี่ยงประเด็นและเบี่ยงความสนใจจากที่ถูกไทยเปิดโปงเรื่องการใช้ทุ่นระเบิดและปัญหาสแกมเมอร์