.jpeg)
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
16 hours ago
·
เห็นรัฐบาลอนุทินตั้งคณะกรรมการถอดบทเรียนภัยพิบัติน้ำท่วมหาดใหญ่เสียใหญ่โตทำให้เกิดคำถามว่า
ทำไม “คณะกรรมการถอดบทเรียน” ของรัฐไทยจึงไม่เคยสร้างการเรียนรู้เชิงนโยบาย
แม้หน่วยงานรัฐไทยจะมีธรรมเนียม “ตั้งคณะกรรมการถอดบทเรียน” หลังเกิดเหตุการณ์สำคัญเกือบทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย วิกฤตสาธารณสุข ความล้มเหลวของโครงการงบประมาณ หรือเหตุการณ์ด้านความมั่นคง
แต่ปัญหากลับเกิดซ้ำหรือเลวร้ายกว่าเดิม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “การถอดบทเรียน” ในไทยไม่สามารถยกระดับเป็น “การเรียนรู้เชิงนโยบาย” (policy learning) ได้อย่างแท้จริง
เรื่องนี้เกิดจากปัญหาหลายอย่างด้วยกัน
1. คณะกรรมการคือ “พิธีกรรมทางการบริหาร” มากกว่ากลไกเรียนรู้
ในระบบรัฐไทย การตั้งคณะกรรมการมีสถานะคล้าย พิธีกรรมเพื่อคลายแรงกดดันทางการเมือง มากกว่าการสืบค้นสาเหตุเชิงระบบอย่างจริงจัง เป็นการ
สร้างภาพว่ารัฐกำลัง “จัดการปัญหา”
ซื้อเวลาให้ความสนใจของสังคมลดลง
หลบเลี่ยงความรับผิดชอบโดยกระจายภาระไปให้ “คณะกรรมการนิรนาม”
เมื่อเป้าประสงค์เบื้องต้นขององค์กรคือการควบคุมการรับรู้มากกว่าการปรับปรุงระบบ
ผลลัพธ์จึงเป็นเพียงรายงานที่ทำหน้าที่เชิงสัญลักษณ์ มากกว่ากลไกผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบัน
2. โครงสร้างราชการปิด ขัดขวางการปรับปรุงเชิงระบบ
ราชการไทยเป็นระบบที่ หวงอำนาจ เชิงลำดับชั้นสูง และต่อต้านการเปลี่ยนแปลง การถอดบทเรียนมักเสนอสิ่งที่ต้องแตะ
เขตอำนาจ
กระบวนการอนุมัติ
การจัดสรรงบประมาณ
ความไร้ประสิทธิภาพที่ฝังรากลึก
แต่หน่วยงานต่าง ๆ มัก “ต้าน” การปฏิรูป เพราะการเปลี่ยนแปลงมักหมายถึงการลดอำนาจ ลดงบ หรือเพิ่มความรับผิดชอบ
จึงเกิดสถานการณ์ที่รายงานข้อเสนอจำนวนมากถูก ทำให้เชื่อง หมดสมรรถภาพ ก่อนจะถูกนำไปสู่แผนปฏิบัติจริง
3. วัฒนธรรม “หลีกเลี่ยงการวิจารณ์ผู้บังคับบัญชา” ทำให้บทเรียนไร้น้ำยา
การถอดบทเรียนที่ดีต้องสามารถตั้งคำถามต่อการตัดสินใจระดับนโยบาย
แต่ในวัฒนธรรมราชการไทย การวิจารณ์ผู้บริหารระดับสูงถือเป็นเรื่องเสี่ยงทั้งทางหน้าที่และเส้นทางความก้าวหน้า
รายงานไม่กล้าระบุผู้รับผิดชอบ
ความผิดพลาดเชิงนโยบายถูกทำให้เป็นความผิดพลาดเชิงเทคนิค
ปัญหาที่แท้จริงถูกซ่อนในภาษาราชการอ้อมค้อมและกำกวม
บทเรียนจึงกลายเป็นเอกสารที่ “สุภาพเกินกว่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลง” และเป็นผลผลิตของวัฒนธรรมองค์กรแบบเกรงใจผู้ใหญ่มากกว่าข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์
4. การเมืองอุปถัมภ์แบบบ้านใหญ่ ทำให้ปัญหาซ้ำซากเป็นโครงสร้าง
ในหลายพื้นที่ ความล้มเหลวของรัฐและวิกฤตซ้ำเดิมเป็นผลลัพธ์ของ ระบบอุปถัมภ์ทางการเมือง มากกว่าความผิดพลาดเชิงเทคนิค
งบซ่อมสร้างกลายเป็นพื้นที่ประโยชน์
วิกฤตคือโอกาสสร้างคะแนนนิยม
การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอาจทำลายผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจ
ในบริบทที่ “การแก้ปัญหาจริง” มีต้นทุนทางการเมืองสูงกว่าการปล่อยให้ปัญหาเกิดซ้ำ
คณะกรรมการถอดบทเรียนจึงถูกจำกัดบทบาทให้ทำได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่เปลี่ยนระบบ
5. การขาดระบบข้อมูลเชิงโครงสร้างทำให้วิเคราะห์สาเหตุไม่ได้
องค์กรรัฐไทยจำนวนมากไม่มีฐานข้อมูลย้อนหลัง ไม่มีระบบเก็บอภิข้อมูลที่พร้อมใช้งาน ไม่มีตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นแก่นหลักของความสำเร็จ และไม่มีวัฒนธรรมเปิดเผยข้อมูล
ผลคือการถอดบทเรียนกลายเป็นเพียง
การบันทึกเหตุการณ์ และการแลกเปลี่ยนความเห็น
ไม่ใช่
การวิเคราะห์เชิงสาเหตุ (causal analysis) หรือการสร้างโมเดลป้องกันเหตุซ้ำ
รัฐจึงไม่สามารถสะสม “ทุนปัญญาองค์กร” ได้
6. รายงานขาดสถาบันกลางที่ทำหน้าที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ข้อเสนอในรายงานมักตกอยู่ในสุญญากาศเชิงสถาบันเพราะ…
ไม่มีหน่วยงานผู้รับผิดชอบชัดเจน
ไม่มีงบติดตามผล
ไม่มีการตรวจสอบความคืบหน้า
ไม่มีแรงกดดันทางการเมืองเอื้อต่อการนำไปปฏิบัติ
ข้อเสนอจึง “ดับไปพร้อมกับคณะกรรมการ” และไม่เคยกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูประบบราชการ
7. กับดักปฐมบท (Primacy Effect) ในวัฒนธรรมราชการ กรอบคิดเก่ากลืนบทเรียนใหม่
ภายใต้วัฒนธรรมราชการ ปรากฏการณ์ 'กับดักปฐมบท' ทำหน้าที่เสมือนกำแพงที่มองไม่เห็น มันไม่ใช่การปฏิเสธความรู้ใหม่ แต่เป็นการ 'ทำให้เชื่อง' (Taming)
โครงสร้างความคิดขององค์กร (cognitive frame) มักถูกครอบงำโดย “วิธีทำงานชุดแรกที่ฝังลึก”
นวัตกรรมใดๆ ก็ตามที่เข้ามา ให้ต้องสยบยอมต่อตรรกะและระเบียบวิธีคิดดั้งเดิม ท้ายที่สุด
บทเรียนใหม่จึงไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง แต่กลับถูกโครงสร้างเก่ากลืนกินจนกลายพันธุ์เป็นเพียงส่วนต่อขยายของอำนาจเดิม"
แม้จะมีบทเรียนใหม่หรือหลักฐานใหม่เพียงใด แต่วิธีทำงานแบบลำดับชั้นยังคงเดิม
เครื่องมือวิเคราะห์ไม่ถูกนำมาใช้ และความรู้ใหม่ถูกกลืนโดยจารีตองค์กร
ทำให้รัฐไทย “จำไม่ได้ เรียนไม่รู้ และเปลี่ยนไม่ได้”
คณะกรรมการถอดบทเรียนของไทยจึงมักล้มเหลว
เพราะสถาบันรัฐถูกออกแบบให้ปกป้องอำนาจมากกว่าสร้างการเรียนรู้
การถอดบทเรียนจึงเป็นเพียงเครื่องมือจัดการความคาดหวังของสังคม
ไม่ใช่เครื่องมือปรับปรุงโครงสร้างการบริหาร
รัฐไทยยังคงเป็นรัฐที่เน้นการคงอยู่ของระเบียบ มากกว่าการสร้างสมรรถนะใหม่
และตราบใดที่โครงสร้างอำนาจยังไม่ถูกปฏิรูป
การตั้งคณะกรรมการกี่ชุดก็ไม่สามารถเปลี่ยนหลักการทำงานของรัฐได้
https://www.facebook.com/PhichainaBhuket/posts/1377667407148827
·
เห็นรัฐบาลอนุทินตั้งคณะกรรมการถอดบทเรียนภัยพิบัติน้ำท่วมหาดใหญ่เสียใหญ่โตทำให้เกิดคำถามว่า
ทำไม “คณะกรรมการถอดบทเรียน” ของรัฐไทยจึงไม่เคยสร้างการเรียนรู้เชิงนโยบาย
แม้หน่วยงานรัฐไทยจะมีธรรมเนียม “ตั้งคณะกรรมการถอดบทเรียน” หลังเกิดเหตุการณ์สำคัญเกือบทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย วิกฤตสาธารณสุข ความล้มเหลวของโครงการงบประมาณ หรือเหตุการณ์ด้านความมั่นคง
แต่ปัญหากลับเกิดซ้ำหรือเลวร้ายกว่าเดิม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “การถอดบทเรียน” ในไทยไม่สามารถยกระดับเป็น “การเรียนรู้เชิงนโยบาย” (policy learning) ได้อย่างแท้จริง
เรื่องนี้เกิดจากปัญหาหลายอย่างด้วยกัน
1. คณะกรรมการคือ “พิธีกรรมทางการบริหาร” มากกว่ากลไกเรียนรู้
ในระบบรัฐไทย การตั้งคณะกรรมการมีสถานะคล้าย พิธีกรรมเพื่อคลายแรงกดดันทางการเมือง มากกว่าการสืบค้นสาเหตุเชิงระบบอย่างจริงจัง เป็นการ
สร้างภาพว่ารัฐกำลัง “จัดการปัญหา”
ซื้อเวลาให้ความสนใจของสังคมลดลง
หลบเลี่ยงความรับผิดชอบโดยกระจายภาระไปให้ “คณะกรรมการนิรนาม”
เมื่อเป้าประสงค์เบื้องต้นขององค์กรคือการควบคุมการรับรู้มากกว่าการปรับปรุงระบบ
ผลลัพธ์จึงเป็นเพียงรายงานที่ทำหน้าที่เชิงสัญลักษณ์ มากกว่ากลไกผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบัน
2. โครงสร้างราชการปิด ขัดขวางการปรับปรุงเชิงระบบ
ราชการไทยเป็นระบบที่ หวงอำนาจ เชิงลำดับชั้นสูง และต่อต้านการเปลี่ยนแปลง การถอดบทเรียนมักเสนอสิ่งที่ต้องแตะ
เขตอำนาจ
กระบวนการอนุมัติ
การจัดสรรงบประมาณ
ความไร้ประสิทธิภาพที่ฝังรากลึก
แต่หน่วยงานต่าง ๆ มัก “ต้าน” การปฏิรูป เพราะการเปลี่ยนแปลงมักหมายถึงการลดอำนาจ ลดงบ หรือเพิ่มความรับผิดชอบ
จึงเกิดสถานการณ์ที่รายงานข้อเสนอจำนวนมากถูก ทำให้เชื่อง หมดสมรรถภาพ ก่อนจะถูกนำไปสู่แผนปฏิบัติจริง
3. วัฒนธรรม “หลีกเลี่ยงการวิจารณ์ผู้บังคับบัญชา” ทำให้บทเรียนไร้น้ำยา
การถอดบทเรียนที่ดีต้องสามารถตั้งคำถามต่อการตัดสินใจระดับนโยบาย
แต่ในวัฒนธรรมราชการไทย การวิจารณ์ผู้บริหารระดับสูงถือเป็นเรื่องเสี่ยงทั้งทางหน้าที่และเส้นทางความก้าวหน้า
รายงานไม่กล้าระบุผู้รับผิดชอบ
ความผิดพลาดเชิงนโยบายถูกทำให้เป็นความผิดพลาดเชิงเทคนิค
ปัญหาที่แท้จริงถูกซ่อนในภาษาราชการอ้อมค้อมและกำกวม
บทเรียนจึงกลายเป็นเอกสารที่ “สุภาพเกินกว่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลง” และเป็นผลผลิตของวัฒนธรรมองค์กรแบบเกรงใจผู้ใหญ่มากกว่าข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์
4. การเมืองอุปถัมภ์แบบบ้านใหญ่ ทำให้ปัญหาซ้ำซากเป็นโครงสร้าง
ในหลายพื้นที่ ความล้มเหลวของรัฐและวิกฤตซ้ำเดิมเป็นผลลัพธ์ของ ระบบอุปถัมภ์ทางการเมือง มากกว่าความผิดพลาดเชิงเทคนิค
งบซ่อมสร้างกลายเป็นพื้นที่ประโยชน์
วิกฤตคือโอกาสสร้างคะแนนนิยม
การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอาจทำลายผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจ
ในบริบทที่ “การแก้ปัญหาจริง” มีต้นทุนทางการเมืองสูงกว่าการปล่อยให้ปัญหาเกิดซ้ำ
คณะกรรมการถอดบทเรียนจึงถูกจำกัดบทบาทให้ทำได้เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ใช่เปลี่ยนระบบ
5. การขาดระบบข้อมูลเชิงโครงสร้างทำให้วิเคราะห์สาเหตุไม่ได้
องค์กรรัฐไทยจำนวนมากไม่มีฐานข้อมูลย้อนหลัง ไม่มีระบบเก็บอภิข้อมูลที่พร้อมใช้งาน ไม่มีตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นแก่นหลักของความสำเร็จ และไม่มีวัฒนธรรมเปิดเผยข้อมูล
ผลคือการถอดบทเรียนกลายเป็นเพียง
การบันทึกเหตุการณ์ และการแลกเปลี่ยนความเห็น
ไม่ใช่
การวิเคราะห์เชิงสาเหตุ (causal analysis) หรือการสร้างโมเดลป้องกันเหตุซ้ำ
รัฐจึงไม่สามารถสะสม “ทุนปัญญาองค์กร” ได้
6. รายงานขาดสถาบันกลางที่ทำหน้าที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ข้อเสนอในรายงานมักตกอยู่ในสุญญากาศเชิงสถาบันเพราะ…
ไม่มีหน่วยงานผู้รับผิดชอบชัดเจน
ไม่มีงบติดตามผล
ไม่มีการตรวจสอบความคืบหน้า
ไม่มีแรงกดดันทางการเมืองเอื้อต่อการนำไปปฏิบัติ
ข้อเสนอจึง “ดับไปพร้อมกับคณะกรรมการ” และไม่เคยกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูประบบราชการ
7. กับดักปฐมบท (Primacy Effect) ในวัฒนธรรมราชการ กรอบคิดเก่ากลืนบทเรียนใหม่
ภายใต้วัฒนธรรมราชการ ปรากฏการณ์ 'กับดักปฐมบท' ทำหน้าที่เสมือนกำแพงที่มองไม่เห็น มันไม่ใช่การปฏิเสธความรู้ใหม่ แต่เป็นการ 'ทำให้เชื่อง' (Taming)
โครงสร้างความคิดขององค์กร (cognitive frame) มักถูกครอบงำโดย “วิธีทำงานชุดแรกที่ฝังลึก”
นวัตกรรมใดๆ ก็ตามที่เข้ามา ให้ต้องสยบยอมต่อตรรกะและระเบียบวิธีคิดดั้งเดิม ท้ายที่สุด
บทเรียนใหม่จึงไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง แต่กลับถูกโครงสร้างเก่ากลืนกินจนกลายพันธุ์เป็นเพียงส่วนต่อขยายของอำนาจเดิม"
แม้จะมีบทเรียนใหม่หรือหลักฐานใหม่เพียงใด แต่วิธีทำงานแบบลำดับชั้นยังคงเดิม
เครื่องมือวิเคราะห์ไม่ถูกนำมาใช้ และความรู้ใหม่ถูกกลืนโดยจารีตองค์กร
ทำให้รัฐไทย “จำไม่ได้ เรียนไม่รู้ และเปลี่ยนไม่ได้”
คณะกรรมการถอดบทเรียนของไทยจึงมักล้มเหลว
เพราะสถาบันรัฐถูกออกแบบให้ปกป้องอำนาจมากกว่าสร้างการเรียนรู้
การถอดบทเรียนจึงเป็นเพียงเครื่องมือจัดการความคาดหวังของสังคม
ไม่ใช่เครื่องมือปรับปรุงโครงสร้างการบริหาร
รัฐไทยยังคงเป็นรัฐที่เน้นการคงอยู่ของระเบียบ มากกว่าการสร้างสมรรถนะใหม่
และตราบใดที่โครงสร้างอำนาจยังไม่ถูกปฏิรูป
การตั้งคณะกรรมการกี่ชุดก็ไม่สามารถเปลี่ยนหลักการทำงานของรัฐได้
https://www.facebook.com/PhichainaBhuket/posts/1377667407148827