วันเสาร์, ธันวาคม 13, 2568

การเลือกตั้งจะมาแล้ว อย่างช้าจะเป็นวันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ส่วนจะมีประชามติในวันเดียวกันด้วยหรือไม่ ยังไม่แน่ชัด ประชามติเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ครม. ต้องดำเนินการต่อ รัฐบาลรักษาการก็ทำได้ไม่มีกฎหมายห้าม


iLaw
10 hours ago
·
รัฐสภา “เคาะ” ประชามติเขียนรัฐธรรมนูญใหม่แล้ว ครม. ต้องดำเนินการต่อ รัฐบาลรักษาการก็ทำได้ไม่มีกฎหมายห้าม
.
วันที่ 11 ธันวาคม 2568 กระบวนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อลงมติรายมาตราในวาระที่สอง เพื่อออกแบบกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ จบลงด้วยเหตุการณ์ที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กลุ่มฝ่ายข้างมาก หรือ “สว. สีน้ำเงิน” รวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคภูมิใจไทย กับพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล จับมือกันโหวตทุกประเด็น หนุนข้อเสนอเพิ่มเงื่อนไขการผ่านร่างรัฐธรรมนูญใหม่ นอกจากจะต้องมีเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภาทั้ง สส. กับ สว. เกินกึ่งหนึ่งแล้ว ในจำนวนนี้ยังต้องได้เสียง สว. ไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามด้วย ไม่เช่นนั้นร่างรัฐธรรมนูญใหม่จะไปต่อไม่ได้
.
ผลการลงมติปรากฏว่า ข้อเสนอเพิ่มเงื่อนไขให้อำนาจสว. เช่นนี้ ชนะโหวตไปอย่างฉิวเฉียดด้วยการลงคะแนนแบบ “ขานชื่อ” ให้รู้กันไปทีละคน ในเวลาใกล้เคียงกัน 22:05 น.ก็มีกระแส “ยุบสภา” จากการที่อนุทิน ชาญวีรกูล โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ผมขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชนครับ” ฝั่งพรรคฝ่ายค้าน ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส. พรรคประชาชน ระบุว่า การพิจารณามาตราต่อๆ ไปไม่มีประโยชน์แล้ว และในขณะที่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาออกมาอย่างเป็นทางการสมาชิกรัฐสภาแห่งนี้ก็ยังมีอำนาจทำงานต่อได้ ดังนั้นจึงเสนอเลื่อนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมออกไปก่อน และเลื่อนการพิจารณาญัตติที่รัฐสภาเสนอให้ทำประชามติถามประชาชนว่า เห็นชอบกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 มาตรา 9 (4)
.
โดยมีญัตติจากผู้เสนอหลายพรรคการเมืองทั้งหมด 5 ญัตติ ได้แก่
.
1) ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบและแจ้งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อสอบถามความเห็นชองประชาชนต่อการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เสนอโดย สส. พรรคประชาชน
.
2) ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้ประธานรัฐสภามีหนังสือแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบเพื่อดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติ เสนอโดย สส. พรรคเพื่อไทย
.
3) ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้รัฐสภาพิจารณาคำถามในการออกเสียงประชามติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เสนอโดย สส. พรรคภูมิใจไทย
.
4) ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้รัฐสภาพิจารณามีมติให้จัดให้มีการออกเสียงประชามติครั้งที่หนึ่ง ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 18/2568 เสนอโดย สส. พรรคประชาชาติ
.
5) ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้ประธานรัฐสภามีหนังสือแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบเพื่อดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติ เสนอโดย สว.
.
พริษฐ์ วัชรสินธุ สส. พรรคประชาชน เสนอให้ใช้คำถามประชามติที่จะส่งไปให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) จัดทำประชามติตามข้อเสนอของพรรคเพื่อไทย ภายใต้คำถามประชามติว่า “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” โดยมีมติด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 491+3 = 494 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง งดออกเสียง 9 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง
.
หลังการจัดตั้งรัฐบาลที่นำโดยอนุทิน ชาญวีรกูล กระบวนการทำประชามติเพื่อนำไปสู่รัฐธรรมนูญใหม่อยู่ในคำสัญญาของรัฐบาล อีกทั้งรัฐบาลก็มีอำนาจในการจัดออกเสียงประชามติตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 166 ประกอบพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2568 (พ.ร.บ.ประชามติฯ) มาตรา 9 (2) อย่างไรก็ดี ทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นองค์กรที่ปรึกษากฎหมายของรัฐ ให้ความเห็นต่อรัฐบาลว่า ครม. ไม่สามารถทำประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญใหม่ครั้งที่หนึ่งได้ ต้องริเริ่มที่รัฐสภา ทำให้ สส. และ สว. เสนอญัตติให้ทำประชามติไว้เพื่อเตรียมการสำหรับเรื่องนี้แล้ว
.
ตามพ.ร.บ.ประชามติฯ การออกเสียงประชามติทำได้ 5 กรณี หนึ่งในนั้นคือการทำประชามติตามมติของรัฐสภาที่เห็นว่ามีเหตุสมควรและได้แจ้งเรื่องให้ครม. ดำเนินการตามมาตรา 9 (4) โดยการทำประชามติกรณีนี้ หลังรัฐสภา “เคาะ” แล้ว ครม. “ไม่มีอำนาจ” แก้ไขคำถาม และไม่มีอำนาจที่จะไม่ทำประชามติ แต่ต้องดำเนินการตามมติรัฐสภาเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากตัวบทที่ใช้คำว่า “ให้ครม. ดำเนินการ” ซึ่งแตกต่างจากกรณีการทำประชามติที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอ ตามมาตรา 9 (5) ที่ครม. ยังมีอำนาจที่จะพิจารณาและให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบอีกครั้งก่อนจึงดำเนินการทำประชามติ
.
เมื่อรัฐสภาลงมติแล้วในเวลา 23:13 น. ของวันที่ 11 ธันวาคม 2568 กระบวนการต่อมาคือประธานรัฐสภาจะต้องแจ้งมติให้นายกรัฐมนตรีทราบ ถ้าครม. เห็นว่าเข้าเงื่อนไข “มีเหตุจำเป็นอันสมควร” ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 166 ต้องหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรื่องวันทำประชามติและให้ประกาศวันประชามติในราชกิจจานุเบกษา
.
ตามพ.ร.บ.ประชามติฯ ฉบับที่แก้ไขในปี 2568 ทำให้การกำหนดวันประชามติ สามารถทำพร้อมวันเลือกตั้งได้ แต่ต้องไม่เร็วกว่า 60 วันและไม่ช้ากว่า 150 วันนับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีมีมติ เว้นแต่มีเหตุผลเรื่อง “งบประมาณ” หรือ “ความจำเป็น” ก็กำหนดวันแตกต่างจากเงื่อนไขนี้ได้ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 103 กำหนดว่าหากมีพระราชกฤษฎีกายุบสภา กกต. ต้องกำหนดวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 45 วันแต่ไม่เกินกว่า 60 วันนับแต่วันที่ประกาศ
.
ในกรณีที่ยุบสภาแล้ว รัฐบาลรักษาการยังคงมีอำนาจดำเนินการเรื่องการจัดประชามติอยู่ เงื่อนไขสำคัญตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 169 คือ 1) ห้ามอนุมัติโครงการที่สร้างความผูกพันในคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป 2) ไม่แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ 3) ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจาก กกต. และ 4) ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดอันอาจมีผลต่อการเลือกตั้ง และไม่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามระเบียบที่ กกต. กำหนด
.
ซึ่งตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้ง พ.ศ. 2563 กำหนดข้อห้ามไว้ว่า ระหว่างการรักษาการคณะรัฐมนตรีไม่สามารถ
.
๐ กำหนดนโยบาย โครงการ แผนงาน ที่มีผลบังคับใช้ทันที และทำให้เกิดความไม่ทัดเทียมในการเลือกตั้ง
๐ การประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่
๐ การประชุม อบรม หรือสัมมนา โดยใช้งบประมาณของหน่วยงานรัฐหรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่
๐ โอนหรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายของหน่วยงานรัฐหรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือให้ แจกจ่ายทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดกับประชาชน
๐ แจกจ่ายหรือจัดสรรทรัพยากรของรัฐให้แก่บุคคลหนึ่ง บุคคลใด โดยไม่มีเหตุอันสมควร
๐ ใช้พัสดุหรือเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากหน่วยงานของรัฐ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่
๐ ใช้ทรัพยากรสื่อของรัฐ เช่น คลื่นความถี่ วิทยุโทรทัศน์ ในการประชาสัมพันธ์เพื่อประโยชน์ของบุคคลหนึ่ง
.
เมื่อการทำประชามติรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่เข้าข่ายกรณีข้างต้น ไม่ว่าพระราชกฤษฎีกายุบสภาจะออกมาและมีผลบังคับใช้เมื่อใด ครม.ชุดรักษาการก็ยังสามารถร่วมมือกับกกต. ในการกำหนดวันประชามติต่อไปได้ หรือดำเนินการใดๆ ที่จำเป็นเพื่อให้กระบวนการจัดทำประชามติเดินหน้าไปได้อย่างเสรีและเป็นธรรม และต่อให้จะต้องใช้งบประมาณรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น หากกกต. อนุมัติ ก็สามารถทำได้ ไม่มีเหตุผลทางกฎหมายที่ห้าม ครม. ทำเรื่องนี้
.
อ่านบนเว็บไซต์ https://www.ilaw.or.th/articles/56451

https://www.facebook.com/photo?fbid=1277594641080819&set=a.625664036273886