วันอังคาร, พฤศจิกายน 04, 2568

“ความเงียบ คือเชื้อเพลิงที่ดีที่สุด ของอาชญากรรมเชิงโครงสร้าง“ เรื่องเล่าจากประสบการณ์ การเป็นเหยื่อคอลเซ็นเตอร์



Sara Soo
Yesterday
·
เราคิดอยู่นานว่าจะเล่าเรื่องนี้ดีมั้ย แต่อ่านเจอมาว่า “ความเงียบ คือเชื้อเพลิงที่ดีที่สุด ของอาชญากรรมเชิงโครงสร้าง“ เราเลยจะขอเล่าประสบการณ์ การเป็นเหยื่อคอลเซ็นเตอร์ให้ฟังกัน คือว่าเงินเรา 1.35 ล้านบาท ถูกดูดไหลผ่านบัญชีม้า เข้าบริษัทใหญ่ระดับประเทศ... แต่กฎหมายบอกว่า 'ไม่ต้องคืน’ จ้ะ
เราขอให้เรื่องของเราเป็นประโยชน์ เป็นอุทาหรณ์และกระตุ้นให้สังคมเห็นถึง 'ช่องโหว่' สำคัญในกระบวนการปราบปรามมิจฉาชีพไว้ตรงนี้ละกัน
คือว่า…เช้าวันที่ 5 เมษายน 2566 เราถูกมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หลอกให้ติดตั้งแอปฯ ควบคุมเครื่องจากระยะไกล แค่ไม่กี่นาที เงินเก็บเราทั้งหมด 1,350,000 บาท ก็หายไปจากบัญชี!
เรารีบไปแจ้งความภายใน 1 ชม.หลังเงินหาย เจ้าหน้าที่ธนาคารก็รีบตรวจสอบเส้นทางเงินให้ และบอกว่าเงินเราไหลผ่านบัญชีม้า 5 ราย ไปรวมอยู่ที่บัญชีของ 'บริษัทเครื่องดื่มใหญ่ระดับประเทศ' ที่มีชื่อเสียง พูดชื่อแล้วใครๆก็รู้จัก
ตอนแรกเรามีความหวังว่าจะได้เงินคืนแน่ เพราะเจ้าหน้าที่ธนาคารยืนยันว่า เงินของเรายังอยู่ในไทย ไม่ได้ถูกโอนออกไปต่างประเทศเหมือนรายอื่นๆ และธนาคารได้อายัดบัญชีบริษัท และโทรแจ้งบริษัทแล้ว
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา ทำให้ความหวังของเราค่อยๆหมดไปเพราะ….
1. ถึงแม้ธนาคารได้แจ้งอายัดบัญชีของบริษัทไว้ตั้งแต่เช้าวันที่ 5 เมษายน และธนาคารได้โทรแจ้งบริษัททันที ว่าเงินนี้มาจากเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ฝ่ายขายของบริษัทให้การว่า ได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าต่างชาติ ลูกค้าจะทยอยโอนเงินมา หลังจากก็เช็คยอดครบ เขาก็จัดของส่งช่วงบ่ายวันที่ 6 เมษายนให้กับลูกค้าตามปกติ ฝ่ายขายบอกว่า “ไม่รู้” ว่าเงินโอนที่รับโอนมามีปัญหาโดนอายัด เพราะแผนกบัญชีไม่ได้แจ้งเขา เขาว่าเขาค้าขายสุจริต!
2. ประเด็นคือ ลูกค้าต่างชาติรายนี้ชำระเงินค่าสินค้าผ่านระบบโพยก๊วน!! มีสลิปโอนเงินย่อย ๆ ผ่านมือถือกว่า 30 ครั้ง จากคนไทยรายย่อยหลายสิบคน (มีบัญชีม้าปนมาด้วย) รวมยอดกว่า 6 ล้านบาท! ปกติลูกค้าต่างชาติรายนี้จะสั่งซื้อสินค้าเดือนละกว่า 20 ล้านบาท เขาค้าขายกันมาแล้ว 8 ปี นั่นก็เกือบ 2,000 ล้าน! แล้วเขาใช้ระบบโอนเงินแบบนี้มาตลอด ที่สำคัญคือบริษัทไม่เคยต้องตรวจสอบที่มาของเงินเลยสักบาท!
3. ถึงวันนี้เรื่องราวดำเนินมาเกือบ 3 ปี ตำรวจได้สรุปสำนวนส่งอัยการ แต่อัยการบอกว่าสามารถฟ้องร้องเรียกเงินคืนได้จากแค่บัญชีม้า 5 ราย เท่านั้น! ซึ่งเรารู้ดีว่าไม่มีทรัพย์สินคืนให้เราหรอก
4. ที่น่าเศร้าที่สุดคือ ตามกฎหมายปัจจุบัน ถ้าบริษัทอ้างว่ารับเงินค่าสินค้ามาโดย 'สุจริต' และเป็นการค้าขายตามปกติ บริษัทไม่จำเป็นต้องคืนเงินให้ผู้เสียหาย ถึงแม้จะรู้ว่าเงินที่ได้รับมาจะเป็นเงินโจรก็ตาม เออ…ให้มันได้อย่างนี้สิ! นี่เป็นช่องโหว่ที่อำนวยความสะดวกให้อาชญากรมาก!!
5. เรารู้มาว่ามีผู้เสียหายแบบเราอีกหลายราย ที่เงินถูกหลอกโอนไปเข้าบริษัทนี้เหมือนกัน ตำรวจบอกว่ามีรายนึงเป็นคุณลุง โดนหลอกเงินไป 5 แสน เงินไหลไปเข้าบริษัทนี้เหมือนกัน ลุงแกพยายามสู้ถึงชั้นศาล ตำรวจบอกว่าสุดท้ายลุงแกแพ้
จากประสบการณ์ที่ติดตามคดีนี้มา 3 ปี เราบอกได้เลยว่าเงินที่ถูกหลอกไปสามารถถูก 'ฟอก' ผ่านธุรกิจขนาดใหญ่ที่ถูกต้องตามกฎหมายได้แบบเนียนๆ ช่องโหว่นี้ทำให้อาชญากรได้ใจ และทำให้เหยื่ออย่างเรา ต้องแบกรับความเสียหายอยู่คนเดียว!!!
เราอยากเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาทบทวนกฎหมาย โดยเฉพาะประเด็นความสุจริตของผู้รับเงิน โดยเฉพาะเมื่อรับเงินจำนวนมหาศาลผ่านโพยก๊วน เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทต่าง ๆ กลายเป็น 'ท่อ' ในการฟอกเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยอ้างความสุจริต
บอกตรงๆ ว่าถ้าเงินเราถูกโอนหายวับออกไปต่างประเทศตั้งแต่แรก เราคงไม่เจ็บปวดใจขนาดนี้ เพราะนี่เรารู้ทั้งรู้ ว่าเงินเราไหลไปเข้าบริษัทไหน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะกฎหมายและระบบตุลาการไทย ไม่ให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหายอย่างเรา
#อุทาหรณ์คอลเซ็นเตอร์ #ช่องโหว่กฎหมาย #เงินถูกฟอก #เหยื่อมิจฉาชีพ #เตือนภัยคอลเซ็นเตอร์ #ฟอกเงินผ่านบริษัท #แชร์ไว้เตือนกัน

https://www.facebook.com/sara.soo.37/posts/10235975458359854