วันจันทร์, พฤศจิกายน 03, 2568

เมืองไทยสีเทา - ถ้าข้อมูลของ “บิ๊กโจ๊ก“ เป็นจริงที่บอกว่าเว็ปพนันในเมืองไทยต้องจ่ายส่วยประมาณ 300 ล้านบาทต่อเดือน ลองคิดดูว่าธุรกิจที่จะจ่ายใต้โต๊ะปีละ 3,600 ล้านบาทได้ เขาต้องมีกำไรเท่าไร จึงกล้าจ่ายเท่านี้



เมืองไทยสีเทา

2 พฤศจิกายน 2568.
ผู้เขียน : สรกล อดุลยานนท์
ประชาชาติธุรกิจ

สถานการณ์วันนี้เหมือน “น้ำลด ตอผุด”

แม้จะพอรู้เรื่องราวความเลวร้ายของ “เงินสีเทา” อยู่บ้าง แต่ไม่มีใครนึกว่าตอนนี้กำลังส่งผลสะเทือนต่อเศรษฐกิจไทยอย่างร้ายแรง

พลังของ “เงินเทา” ใหญ่หลวงนัก

จุดเริ่มต้นมาจากแก๊งสแกมเมอร์-พนันออนไลน์-ยาเสพติด ที่เป็นแหล่ง “เงินเทา” ที่ใหญ่ที่สุด

เงินก้อนนี้มากมายมหาศาล โดยเฉพาะแก๊งสแกมเมอร์ที่หลอกลวงคนทั่วโลก

ระดับที่ประเทศมหาอำนาจหรือประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฯลฯ ยังเดือดร้อน

และพวกแก๊งนี้ตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่ประเทศเพื่อนบ้านเรา อย่าง เมียนมา และกัมพูชา

“เงินเทา” เหล่านี้เข้ามาอาละวาดในเมืองไทย ตั้งแต่การจ่ายเงินใต้โต๊ะให้ทุกระบบในกระบวนการยุติธรรม และแวดวงผู้มีอำนาจ

ที่ชัดเจนที่สุด คือ คดีของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีต ผบ.ตร. พร้อมพวกกว่า 200 คน ที่ถูก ก.ร.ตร.ชี้มูลผิดวินัย ปมรับส่วยพนันออนไลน์

คนระดับ ผบ.ตร. ถูกกล่าวหาเรื่องนี้

ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ชัดเจนว่า ทำไมตำรวจไทยถึงขยับเรื่องนี้น้อยมาก

และหากไปดูคลิปของ “บิ๊กโจ๊ก” คู่ปรับของ “บิ๊กต่อ” ที่ออกมาแฉเรื่องเส้นเงินจากบัญชีม้า จะยิ่งตกใจ

ตกใจระดับเขียนต่อไม่ได้ ต้องให้ไปดูเองว่าเงินก้อนนี้เข้าบัญชีใครบ้าง

เมื่อแก๊งเหล่านี้ได้ “เงินเทา” มาแล้ว เขาก็ต้องนำเงินก้อนนี้เข้าสู่กระบวนการ “ฟอกเงิน” ให้กลายเป็น “เงินสีขาว” เพื่อนำไปใช้ต่อ

ส่วนหนึ่งฟอกเงินเป็นอสังหาริมทรัพย์

พวกบ้านหรู ๆ ราคาแพง ๆ หลัก 20 ล้านขึ้นไป จะมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่ซื้อบ้านด้วย “เงินสด”

ไม่มีการจ่ายเป็นเช็ค ไม่มีเงินสักบาทเดียวที่ผ่านระบบบัญชีธนาคาร

เรื่องนี้ยังไม่เท่าไร

แต่จะมีอีกก้อนหนึ่งที่เป็นก้อนใหญ่มาก เขาจะฟอกเงินด้วยการทำธุรกิจบังหน้า

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีธุรกิจจำนวนมากที่ตั้งราคาขายถูกผิดปกติ

ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร ผับ บาร์

ราคาค่าห้อง ค่าอาหาร ค่าบริการต่าง ๆ ถูก จนผู้ประกอบการด้วยกันตั้งคำถามว่า เขาทำราคาแบบนี้ได้อย่างไร

ราคานี้จะมีกำไรหรือ

คนในแวดวงเดียวกันมองออกว่า ถ้าขายราคานี้ต้องขาดทุนแน่ ๆ

ถ้าแค่ไม่กี่เดือนก็อาจเป็นเรื่องการตลาด เพื่อเรียกลูกค้ามาทดลองในช่วงแรก

แต่ถ้ายังคงตั้งราคาต่ำนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ชัดเจนว่า “ฟอกเงิน” แน่นอน

ไม่เว้นแม้แต่พ่อค้า-แม่ค้าออนไลน์บางรายที่ขายของถูกผิดปกติ

วิธีการนี้คือการฟอกเงินแบบยอมขาดทุน

ต้นทุน 100 ขาย 80 ขาดทุน 20

20 นี้ถือเป็นค่าใช้จ่าย ในการทำให้ “เงินสะอาด”

ความน่ากลัว ก็คือ พอเกิดธุรกิจฟอกเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ และแผ่กระจายไปทุกธุรกิจ

ร้านค้ารายเล็กรายน้อยก็ได้รับผลสะเทือน

บางรายถึงขั้นต้องปิดกิจการเพราะสู้ไม่ไหว

ช่วงกระบวนการฟอกเงินก็ส่งผลสะเทือนระดับหนึ่ง

แต่พอ “เงินเทา” เปลี่ยนเป็น “เงินสะอาด”

เงินก้อนนี้ก็เริ่มอาละวาดต่อ เพราะจะเอาไปลงทุนอะไรก็ได้

ถ้าเงินก้อนไม่ใหญ่มากก็ไม่เท่าไร

แต่ถ้าเป็นพัน เป็นหมื่นล้าน เขาสามารถลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือซื้อกิจการต่าง ๆ ได้เลย

นึกถึง “เฉิน จื้อ” สิครับ

บิตคอยน์ที่สหรัฐอเมริกา ยึดจาก “เฉิน จื้อ” เจ้าพ่อสแกมเมอร์ของกัมพูชา

4.89 แสนล้านบาท นะครับ

นอกจากนั้น เขายังมีแบงก์ของตัวเอง มีบริษัทต่าง ๆ มากมายในต่างประเทศ

ถ้า “เงินสีเทา” ก้อนนี้อยู่ในเมืองไทย เขาสามารถเอาไปลงทุนสินทรัพย์ได้ทุกอย่าง

และที่สำคัญ สามารถเอาไปลงทุนทาง “การเมือง” เพื่อให้ได้ “อำนาจรัฐ”

แค่คิดก็ขนหัวลุกแล้ว

น่ากลัวมากนะครับ

แต่ที่สำคัญ คือ ไม่ใช่ “แค่คิด”

เพราะเหมือนกับว่าในเมืองไทยวันนี้

ทุกอย่างกำลังเริ่มต้นนับ 1 แล้ว

https://www.prachachat.net/opinion-column-2/news-1911670