วันเสาร์, สิงหาคม 23, 2568

วิบากกรรมของการเรียกร้องยกเลิก MOU 43-44 รังสิมันต์ไปรับหนังสือ โดนสลิ่มโห่ไล่ พอแก้วสรรค์ปราม เป็นปมแตกแยกกับกลุ่ม อานนท์ กลิ่นแก้ว

หลังจากที่โดนวิจารณ์เละ รองประธานสภาคนที่ ๑ ไชยา พรหมา ก็ต้องชี้แจงว่าทำไมจึงสั่งปิดประชุมกลางคัน ขณะฝ่ายค้านกำลังจะยื่นญัตติด่วนขอยกเลิกเอ็มโอยู ๒๕๔๓ และ ๒๕๔๔ อ้างความผิดของวิป สื่อสารกันไม่ดี

ไชยาระบุว่า “เป็นเรื่องที่วิปรัฐบาลต้องรับผิดชอบ และไม่ควรถูกโยงว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใด” พวกฝ่ายค้านบอกอย่ามโน ไม่เคยมีการแจ้งอย่างที่อ้าง แต่ทั่นรองฯ อุตส่าห์แถต่อไปอีก “วันนั้นนั่งบนบัลลังก์ถึง ๑๐ ชั่วโมง” ไม่ได้แม้แต่กินกลางวัน

พอดีกระทู้นี้เป็นของพรรคภูมิใจไทย สส.กระบี่ สฤษฏ์พงศ์ พงศ์เกี่ยวข้อง เป็นผู้ยื่น แต่พรรคประชาชนก็ได้รับการร้องเรียนมาจากกลุ่ม รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยฯสส.รังสิมันต์ โรม ไปรับคำร้องถึงบนเวทีชุมนุม กลับโดนโห่ไล่เสียนี่

โดยจุดยืน พรรคประชาชนต้องไม่เห็นด้วยกับการยกเลิก MOU 43-44 ซึ่งเป็นกระแสที่มาจากพันธมารนกหวีดปั่นความเท็จเหลวไหล” Atukkit Sawangsuk ให้เบื้องลึกของเรื่องนี้ “เพราะความไม่เข้าใจ มีความซับซ้อนเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ

กฎหมายทะเล สนธิสัญญา แผนที่ ซึ่งศาสดา conspiracy มันพาคนกินฉี่ได้ง่ายมาก การตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นพิจารณา จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด ให้เข้ามาถกเถียงกัน ซักข้อสงสัยให้แจ้งกระจ่าง ไม่ใช่บิดเบือนข้างเดียว” แถมมี ปล.

“ให้พรรคประชาธิปัตย์ตั้งชวนเข้ามาด้วยนะ เพราะเกิดในรัฐบาลชวน แม้ MOU 44 ตกค้างข้ามรัฐบาล” แต่ก็นั่นละ สลิ่มเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีเอกภาพ บางทีไม่รู้สี่รู้แปด เห็นโรมไปขึ้นเวทีก็โห่ไล่ จน แก้วสรรค์ อติโพธิ์ ต้องปราม Nithiwat Wannasiri เล่าว่า

“การขึ้นเวทีฝ่ายขวาจัดของโรมทำให้ฝ่ายขวาด้วยกันตีกันเองยับ” โดยกลุ่มของ อานนท์ กลิ่นแก้ว โพสต์แซะแก้วสรรค์กันใหญ่ แล้วมี วสันต์ ทองมณโฑ แกนนำกลุ่มปกป้องสถาบัน นักรบเลือดสีน้ำเงินคนที่เคยบุกทำร้าย ทานตะวันผสมโรง

“คอมเม้นต์ว่า เห็นคลิปดังกล่าวแล้ว ได้ไปประชุมกลุ่มปกป้องสถาบันของตน ได้มีมติออกมาว่าพวกตนไม่ขอร่วมชุมนุมกับกลุ่ม คปท. อีกในทุกมิติ”

(https://www.facebook.com/nithiwat.wannasiri/posts/Z43gn8sAn1DxJYC, https://www.facebook.com/baitongpost/posts/JChxbhGgj1Z และ https://www.facebook.com/Coco.Infographics/posts/MJ2VMxxTPj) 

ถ้ากฎหมายมันเขียนว่า A แล้วศาลตัดสินว่า B มาตลอดหลายปี อยู่ๆศาลตัดสินว่า A ถูกต้องตามที่กฎหมายเขียน เราจะบอกว่า นี่คือความยุติธรรมไหม ถ้าเราเป็นศาล เราจะตัดสินตาม A ที่กฎหมายเขียน หรือ B ที่ศาลเคยตัดสินมา


.....

Khemthong Tonsakulrungruang
13 hours ago
·
ถ้ากฎหมายมันเขียนว่า A แล้วศาลตัดสินว่า B มาตลอดหลายปี อยู่ๆศาลตัดสินว่า A ถูกต้องตามที่กฎหมายเขียน เราจะบอกว่า นี่คือความยุติธรรมไหม ถ้าเราเป็นศาล เราจะตัดสินตาม A ที่กฎหมายเขียน หรือ B ที่ศาลเคยตัดสินมา
อันนี้คงไม่ได้มีคำตอบ ขาวดำ แบบใช่หรือไม่ใช่ชัดเจน แต่เป็นโจทย์ให้ถกเถียงกันต่อไปอีกนาน เพราะเผลอๆ พรุ่งนี้ ศาลก็ตัดสิน B ต่อเหมือนเดิม

iLaw
13 hours ago
·
แม้ว่ามาตรา 112 จะเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นการคุ้มครองพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและผู้สำเร็จราชการ ไม่ให้ถูกหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือถูกอาฆาตมาดร้ายแต่ก็มีอย่างน้อย 5 กรณีที่ศาลพิพากษาให้ลงโทษกับพฤติการณ์ที่ไม่ได้เจาะจงถึงบุคคลทั้งสี่ตามที่เขียนไว้ในตัวบทมาตรา 112 โดยตรง ดังนี้

1. มีชัย อดีตพนักงานโรงแรมที่เกาะช้าง ถูกกล่าวหาจากการโพสต์เฟซบุ๊กมีเนื้อหาตั้งคำถามต่อการใช้ภาษีประชาชนของสถาบันกษัตริย์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำพูดของจำเลยมีนัยสื่อว่า มีการใช้อำนาจเหนือตลาดอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้เกิดความเกลียดชังได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้อความของจำเลย มีคำว่า “กษัตริย์” ประชาชนทั่วไปที่อ่านจะสามารถเข้าใจได้ว่า สื่อถึงในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งข้อมูลที่จำเลยโพสต์แสดงความคิดเห็นนั้นไม่เป็นความจริง ก่อให้เกิดความเกลียดชังและความเสื่อมเสียต่อพระมหากษัตริย์

2. ทิวากร อดีตวิศวกรชาวขอนแก่น ถูกฟ้องในคดีมาตรา 112 สามกรณี โดยกรณีหนึ่งคือการโพสต์ภาพใส่เสื้อ "เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว" แม้ว่าศาลชั้นต้นจะเคยยกฟ้องแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษโดยให้เหตุผลว่าจำเลยยอมรับว่าคำว่าสถาบันฯหมายถึงกษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ รวมถึงองค์มนตรี แสดงให้เห็นว่าจําเลยมีเจตนาสบประมาท ลดคุณค่าพระเกียรติยศ อันเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์

3. ธนกร หรือเพชร ขณะเกิดเหตุอายุ 17 ปี ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์จากการปราศรัยเรื่องระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และกรณีเซ็นรับรองการรัฐประหารในการชุมนุม ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด แม้คำปราศรัยของจำเลยจะไม่ได้มีการกล่าวถึงพระนามของกษัตริย์พระองค์ใด แต่เห็นว่ามาตรา 112 ไม่ได้คุ้มครองแค่กษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง แต่คุ้มครองทั้ง "สถาบันกษัตริย์"

4.พอร์ท ไฟเย็น ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์จากการโพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการจาบจ้วงและมิบังควร พระมหากษัตริย์มีสถานะเป็นพระประมุขของประเทศ ประชาชนต้องให้การเคารพ เทิดทูน ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้ว ในประเด็นนี้เห็นว่าการกระทำของจำเลยทำให้กษัตริย์ รัชกาลที่ 10 เกิดความเสื่อมเสีย ทำให้ถูกดูหมิ่นและเกลียดชัง

นอกจากนี้ ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการหมิ่นประมาทอดีตกษัตริย์รัชกาลที่ 9 ย่อมกระทบถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันที่ครองราชย์อยู่

5. สุปรียา ใจแก้ว ถูกกล่าวหาว่าแขวนป้ายผ้าข้อความ “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” ไปแขวนไว้บริเวณป้าย “ทรงพระเจริญ” ซึ่งมีพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 โพสต์ภาพป้ายดังกล่าวในเฟซบุ๊ก

แม้ว่าศาลชั้นต้นจะระบุเป็นการวิพากษ์วิจารณ์งบประมาณแผ่นดิน แต่ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาเป็นลงโทษ โดยเห็นว่า ป้ายที่จำเลยนำไปแขวน จงใจเลือกสถานที่บริเวณใต้ป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 เมื่อพิจารณาบริบทดังกล่าวย่อมแสดงเจตนาของผู้กระทำว่าสื่อถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันหลักของชาติ อันมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นศูนย์รวมความจงรักภักดี เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นที่เคารพรักเทิดทูนอย่างสูงของประชาชนชาวไทย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความพระมหากษัตริย์ อีกทั้งด้อยค่าองค์พระมหากษัตริย์ด้วย

หากเปรียบเทียบกับกรณีทักษิณ ชินวัตรที่ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 จากกรณีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้แล้วหนึ่ง ในเหตุที่ประกอบคำพิพากษา "ยกฟ้อง" ของศาลระบุว่าคำให้สัมภาษณ์ของทักษิณ ไม่ได้มีส่วนใดที่เจาะจงหรือมุ่งหมายว่าเป็นการกล่าวถึงรัชกาลที่ 9 และไม่มีส่วนที่ใช้คำราชาศัพท์เพื่อเจาะจึงถึงกษัตริย์แต่อย่างใด

อ่านทั้งหมดได้ที่ https://www.ilaw.or.th/articles/54039
ศาลตีความมาตรา 112 ขยายขอบเขตเอาผิดการหมิ่นสถาบันที่ไม่ใช่ตัวบุคคล (ในบางคดี)


เทียบสองคดีนี้ แล้วถามว่าเกี่ยวกับเทคนิคหลักฐานล้านแปดอะไรมั้ยที่ทำให้ตัดสินออกมาคนละขั้ว - ทักษิณไม่ได้เอ่ยชื่อ หรือระบุตัวบุคคล นิวใส่ชุดไทยสีชมพูเดินโดยไม่ได้พูดอะไรเลย ส่วนคนรอบข้างจะแสดงอากัปกิริยา หรือส่งเสียงข้อความอะไรย่อมไม่เกี่ยวกับนิว


Angkhana Neelapaijit
6 hours ago
·
#ด้วยความเคารพความเป็นอิสระของผู้พิพากษาแต่ละท่านในการพิจารณาอรรถคดี แต่มีข้อสังเกตกรณีคดี 112 ที่ทักษิณรอด (หลายคนเชื่อว่ามีดีล) โดยศาลเห็นว่าคำสัมภาษณ์ของทักษิณไม่ได้เอ่ยชื่อ หรือระบุตัวบุคคล โดยทักษิณให้สัมภาษณ์โดยใช้สรรพนามเรียกบุรุษที่ 3 ว่า “เขา” ศาลเห็นว่าไม่มีการระบุถึงบุคคลที่ถูกใส่ความ เปรียบเทียบกับคดี 112 #นิวจตุพร ที่ใส่ชุดไทยเดินแฟชั่น “#รันเวย์ประชาชน” นิวใส่ชุดไทยสีชมพูเดินโดยไม่ได้พูดอะไรเลย ส่วนคนรอบข้างจะแสดงอากัปกิริยา หรือส่งเสียงข้อความอะไรย่อมไม่เกี่ยวกับนิว คดีของนิว ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกนิว 2 ปี ปรับ 1 พัน ไม่รอลงอาญา
………………….
ภาพประกอบ มีผู้บันทึกไว้ที่บริเวณหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ ขณะกำลังให้สัมภาษณ์ในฐานะจำเลยคดีอาญาทั้งสองคน

ภัควดี วีระภาสพงษ์ 
5 hours ago
·
เทียบสองคดีนี้ แล้วถามว่าเกี่ยวกับเทคนิคหลักฐานล้านแปดอะไรมั้ยที่ทำให้ตัดสินออกมาคนละขั้ว

https://www.facebook.com/angkhana.nee/posts/pfbid02BihGhTBP5J3Dfc4SRfbsbRgqptqKTZgNvJ8uZzA9ay4efBGNZkXNAYidP3LmkUwUl





ตุลาการกำลังเสื่อม เศร้าใจกับประเทศไทย

https://www.facebook.com/watch/?v=1541187510143647


อัยการมีไว้ทำไม หากไม่ "อำนวยความยุติธรรม"? โดยเฉพาะ คดี 112 แทนที่จะปล่อยให้กฎหมายคุม กลับให้คนคุม


ศูนย์วิจัยฯ มหาวิทยาลัยหน้าบางแห่งหนึ่ง
14 hours ago
.
อัยการมีไว้ทำไม?
.
หน้าที่ของอัยการที่ได้รับการสั่งสอนมาก็คือ "อำนวยความยุติธรรม" หมายความง่ายๆ ว่าหากคดีไหนไม่มีมูลก็ไม่ควรสั่งฟ้อง เพราะเป็นการสร้างภาระอย่างยิ่งแก่ผู้ที่ตกเป็นจำเลย
.
แต่ในโลกความเป็นจริงเป็นอีกแบบหนึ่ง
.
ในคดี 112 มีบุคคลตกเป็นจำเลยจำนวนไม่น้อย และเมื่อดูพยานหลักฐานในหลายคดีก็สงสัยว่าทางอัยการสั่งฟ้องได้อย่างไร กรณีหนูรัตน์ เป็นคดีหนึ่งที่ชัดเจน อัยการฟ้องว่าจำเลยกระทำการผิดมาตรา 112 ทั้งที่มาตรานี้คุ้มครองเฉพาะพระมหากษัตริย์ ราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งการกระทำของเธอไม่ได้เกี่ยวข้องกับบุคคลทั้งหมดเลย
.
คดีของคุณทักษิณ และอีกหลายคดีก็เช่นกัน หากพยานหลักฐานไม่ชัดเจน หน้าที่ของอัยการก็คือ "อำนวยความยุติธรรม" มิใช่หรือ?
.
อัยการมักเรียกร้องเงินเดือนในระดับสูง เรียกร้องความเป็นอิสระ ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่ออะไรกันหรือ ยิ่งหากเป็นคดีที่ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกระจ่างตาขนาดนี้ ก็ควรต้องทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา
.
สงสัยจริงๆ ว่าจะมีอัยการไว้ทำไม?

https://www.facebook.com/photo?fbid=1217045850468029&set=a.472177154954906
.....





วัดไทยคือโรงงานผลิตคนโง่ ? 🔥 ธรรมะหักมุม | ความจริงที่ไม่มีใครกล้าพูด! 🔥


วัดไทยคือโรงงานผลิตคนโง่? | ธรรมะหักมุม | ธรรมะเดลี่

ธรรมะเดลี่

Aug 19, 2025 
ประเทศไทย

🔥 ธรรมะหักมุม | ความจริงที่ไม่มีใครกล้าพูด! 🔥
"ทำไมคนไปวัดบ่อย แต่ยิ่งโง่ขึ้นทุกวัน?"
"ทำไมวัดไทยถึงกลายเป็นโรงงานผลิตคนไม่คิด?"
ช็อกแต่จริง! วัดไทยสมัยนี้ไม่ได้สอนให้คิด แต่สอนให้ "เชื่อ" ไม่ได้ปลูกปัญญา แต่ปลูก "ความเกรงกลัว" ผลลัพธ์: คนไทยไปวัดบ่อย แต่ยิ่งโง่ขึ้นทุกวัน!
📚 เปิดเผยความจริงเรื่องวัดไทยที่ไม่มีใครกล้าพูด:
✅ ความจริงที่ 1: วัดเน้นพิธีกรรมมากกว่าปัญญา = ผลิตคนงมงาย
✅ ความจริงที่ 2: สอนให้ยอมรับชะตากรรมแทนที่จะต่อสู้
✅ ความจริงที่ 3: เน้นการให้ทานมากกว่าการคิดวิเคราะห์
✅ ความจริงที่ 4: สร้างความกลัวมากกว่าความเข้าใจ
✅ ความจริงที่ 5: ใช้ความศรัทธาปิดปากการตั้งคำถาม
🎯 ทำไมวัดไทยถึงกลายเป็น "โรงงานผลิตคนโง่"?

https://www.youtube.com/watch?v=nctk8bipuBs



ประเทศเราสู้สิงคโปร์ไม่ได้ เพราะประเทศกูมีสิ่งที่เค้าไม่มี ?

@parkersskk #fyp #podcast #ckfastwork #การเงินการลงทุน #การเงิน #ไทย ♬ เสียงต้นฉบับ - Parkersskk


https://www.tiktok.com/@parkersskk/video/7539550872041180423



พูดถึง “palace circle” ไม่โดน 112 เคสเหล่านี้ก็ไม่ควรโดนด้วยเช่นกัน แต่โดนหมด

.....
Sakesit Yaemsanguansak 
14 hours ago
·
พูดถึง “palace circle” ไม่ควรโดน 112
.
- วิจารณ์คุณทองเเดง
- ใส่ชุดไทย
- ถือป้ายงบสถาบัน
- แชร์ข่าว BBC
- แจกหนังสือ 10 ข้อปฏิรูป
- พูดถึงอดีตกษัตริย์
- ชี้นิ้วขึ้นฟ้า
- ใส่เสื้อครอปท็อป
- ตั้งคำถามวัคซีน
- วิจารณ์รัฐธรรมนูญ ร.7
- แสดงละครสมมติ
- ทำโพลเก็บความเห็น
.
ก็ต้องไม่ควรโดน 112 ด้วยเช่นกัน


ว่าด้วยเรื่อง ทหารพราน 2 คน ที่ต่อว่าคุณช่อ ในประเด็นที่พูดว่า "มีคนไม่อยากให้สงครามจบเพราะเวลาเกิดสงครามเป็นเวลาที่ตัวเองเป็นฮีโร่หรือไม่" 2 ทหารพรานอาจ "ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดแล้วด่า"

.....
·
...กราบเรียนเชิญ สลิ่มที่ไม่รู้สี่รู้แปด อ่านหนังสือไม่เกิน 8 บรรทัด ฟังคลิปไม่เกิน 1 นาทีแหกหูฟัง แหกตาดู และเปิดใจเปิดสมอง 84,000 เซลล์ บ้าง...
...............
ข้อความ By Pichit Suttimaneeratlery
ฟังทหารพราน 2 คน ที่ต่อว่าคุณช่อในประเด็นที่พูดว่า
"มีคนไม่อยากให้สงครามจบเพราะเวลาเกิดสงครามเป็นเวลาที่ตัวเองเป็นฮีโร่หรือไม่"
คือ มึงจับใจความผิดๆโดยเอาอคติ เป็นตัวตั้ง เพราะคนที่สามารถยุติหรือก่อสงครามไม่ใช่มึง หรือคุณช่อ คนที่เป็นผู้บังคับบัญชามึง หรือ รัฐบาล มีอำนาจสั่งยุติหรือก่อสงครามได้ ไม่ใช่มึงหรือคุณช่อแน่นอนฉะนั้น คนที่ คุณช่อ กล่าวถึง จึงไม่ใช่ทหารที่อยู่หน้าแนว หรือทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา
ถ้ามึงตั้งใจฟังความทั้งหมดที่คุณช่อพูด มึงจะเข้าใจเองว่า คุณช่อ ไม่ต้องการให้มึงไปรบในสงครามที่ไม่มีวันชนะโดยเบ็ดเสร็จ ทุกสงครามล้วนจบด้วยการเจรจาทั้งนั้น แม้แต่ในช่วงสงครามโลก ก็ไม่มีประเทศไหนยึดดินแดนประเทศที่แพ้สงครามได้ สุดท้ายมันก็ต้องเจรจาหาข้อยุติทั้งสิ้น เราจึงไม่มีความจำเป็นต้องไปรบ
ส่วนที่มึงบอกไม่มีใครอยากแขนขาด ขาขาด ในสงคราม มึงต้องตั้งสติแล้วคิดให้ออกว่า ใครสั่งให้มึงไปลาดตระเวน ไปรบ แล้วตัวมึงต้องบาดเจ็บล้มตาย ทั้งที่ปัจจุบัน มีเครื่องมือตรวจจับวัตถุระเบิดได้ มีเครื่องมีทำลายวัตถุระเบิด มีโดรนตรวจการที่มีประสิทธิภาพสูง คือมึงจะใช้คนไปเดินตรวจในพื้นที่ไม่ปลอดภัยทำไมในเมื่อมีเครื่องมือที่ใช้แทนคนได้ มึงควรตั้งคำถามไปถึงผู้บังคับบัญชามึงมากกว่าว่าทำไมถึงทำเช่นนั้น ไม่ใช่มาดราม่าให้คนอื่นมาแสดงความเห็นใจ คุณช่อ เขาเห็นใจมึง มึงก็มีครอบครัว มีอนาคตที่รออยู่ เขาไม่อยากให้มึงต้องสูญเสีย มึงควรจะรู้เอาไว้ด้วย
ทุกคนที่ออกมาพูดให้ไม่เกิดสงคราม เพราะเขาไม่อยากให้มึงต้องตุย ต้องสูญเสีย มันมีหนทางชนะ เขมร โดยไม่ต้องรบ โดยไม่ต้องสูญเสียชีวิตและร่างกาย ไม่มีใครอยากรบไปนานๆ เหมือนน้องทหารคนนั้น ที่เขาคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว จนเกิดอาการหวั่นวิตก แล้วก็เกิดการสูญเสีย มึงต้องตั้งคำถามถึงคนที่สนับสนุนและเชียร์ให้รบในสงครามที่ไม่มีวันชนะอย่างเบ็ดเสร็จ ว่า "มันเห็นทหารเป็นสิ่งที่ไร้ซึ่งชีวิตหรือไม่" นั่นคือสิ่งที่มึงควรตั้งคำถามมากกว่า
เครดิตข้อความ Pichit Suttimaneeratlert

Suwagee Klampaiboon
ขอบคุณข้อความที่คัดลอกมาจากต้นโพสต์นี้ 

 
https://www.facebook.com/watch/?v=1760553464560317

ความยุติธรรมไม่มีจริงในประเทศกู ‘อานนท์ นำภา’ ยังไม่ได้ประกันตัว


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
8 hours ago
·
ศาลอุทธรณ์ยังคงยกคำร้องรวด 7 คดี #ม112 ‘อานนท์ นำภา’ หลังยื่นประกันตัวในวันเกิดครบ 41 ปี
.
เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2568 ทนายความยื่นประกัน อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เนื่องในวันดังกล่าวเป็นวันคล้ายวันเกิดอานนท์ที่อายุครบ 41 ปี หลังเขาถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มายาวนานถึง 697 วัน หรือเกือบ 2 ปี แล้ว ในระหว่างอุทธรณ์คดีมาตรา 112
.
ในครั้งนี้มีการยื่นประกันอานนท์ใน 7 คดีมาตรา 112 ของศาลอาญาและศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยคำร้องได้ระบุถึงการเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดูครอบครัวและภารกิจช่วยเหลือประชาชนในฐานะทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ตลอดจนสุขภาพที่ทรุดโทรมจากการถูกคุมขัง รวมถึงการยื่นคำร้องตรงกับวันครบรอบวันเกิด ซึ่งถือเป็นวาระสำคัญในชีวิตของบุคคลหนึ่ง ขอให้ศาลใช้ดุลพินิจแห่งเมตตาธรรม อนุญาตปล่อยชั่วคราว
.
ทั้งสองศาลได้ส่งคำร้องทุกฉบับให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา โดยในวันที่ 18-19 ส.ค. 2568 ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันอานนท์ทั้ง 7 คดี โดยระบุเหตุผลในทำนองว่า ‘ข้อหามีอัตราโทษสูง มีเหตุควรเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี ส่วนที่อ้างว่าจำเลยถูกคุมขังเป็นเวลานานทำให้สุขภาพทรุดโทรม เห็นว่าหากมีอาการเจ็บป่วย กรมราชทัณฑ์สามารถดูแลจัดการให้ได้ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม’
.
.
ยื่นประกันตัวคดีมาตรา 112 ‘อานนท์’ 7 คดี ในวันเกิดครบรอบ 41 ปี ขอศาลออกมาช่วยเหลือประชาชนในฐานะทนายความสิทธิมนุษยชน - ดูแลครอบครัว
.
ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. 2566 จนถึงปัจจุบันอานนท์ยังถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ด้วยโทษจำคุกในคดีมาตรา 112 และคดีต่าง ๆ ที่ยังไม่สิ้นสุดรวมกันถึง 26 ปี 37 เดือน 20 วัน หรือประมาณ 29 ปี 1 เดือนเศษ
.
ก่อนหน้านี้ คดีของอานนท์ได้มีความพยายามขอประกันตัวมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบว่ามีการยื่นคำร้องขอประกันตัวอย่างน้อย 73 ฉบับ รวมไปถึงยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันเป็นจำนวนอย่างน้อย 22 ฉบับแล้ว แต่ศาลก็มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวมาตลอด
.
สำหรับการยื่นประกันในคดีมาตรา 112 ทั้ง 7 คดีที่ได้ยื่นคำร้องในครั้งนี้ ได้แก่ 1) กรณีปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63, 2) กรณีโพสต์ 2 ข้อความในเฟซบุ๊กวิพากษ์วิจารณ์การใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดิน, 3) คดีโพสต์จดหมาย #ราษฎรสาส์น, 4) กรณีปราศรัยใน #ม็อบแฮรี่พอตเตอร์1, 5) กรณีโพสต์ 3 ข้อความบนเฟซบุ๊กวิพากษ์วิจารณ์การบังคับใช้มาตรา 112 และเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 6) กรณีชุมนุม #ม็อบ17พฤศจิกา63 ที่หน้ารัฐสภา และและคดีที่ 7) กรณีปราศรัยใน #ม็อบแฮรี่พอตเตอร์2
.
คำร้องขอประกันตัวทั้ง 7 ฉบับ มีใจความสำคัญที่ระบุว่า จำเลยเป็นทนายความด้านสิทธิมนุษยชยประกอบวิชาชีพสุจริต เป็นที่รู้จักในสังคม และเป็นผู้มีภูมิลำเนาแน่นอน ระหว่างต่อสู้คดีในทุกคดีของจำเลยเคยได้รับอนุญาตปล่อยชั่วคราวและได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลอย่างเคร่งครัด ไม่มีพฤติการณ์หลบหนีหรือขัดขวางการพิจารณาคดี จำเลยเคยเดินทางไปรับรางวัล ณ ประเทศเกาหลีใต้ โดยหลังเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ก็เดินทางกลับประเทศไทยด้วยความสมัครใจ และเข้าร่วมกระบวนการพิจารณาคดีตามนัดทุกครั้ง แสดงถึงความบริสุทธิ์ใจที่จะต่อสู้คดีในกระบวนการยุติธรรมของไทย แม้จำเลยจะถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 หลายคดี แต่ทุกคดียังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด
.
จำเลยเป็นหัวหน้าครอบครัวและยังมีภารกิจช่วยเหลือประชาชนในฐานะทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ปัจจุบันจำเลยถูกคุมขังมาเป็นเวลานาน สุขภาพทรุดโทรม ซึ่งการปล่อยชั่วคราวจำเอื้ออำนวยให้จำเลยสามารถรักษาพยาบาลได้อย่างเหมาะสมและยังสามารถประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงครอบครัวต่อไป
.
และการยื่นคำร้องในครั้งนี้ ยื่นตรงกันวันครบรอบวันเกิดของจำเลย อันเป็นวาระสำคัญในชีวิตของบุคคลหนึ่ง จึงเป็นโอกาสอันสมควรที่ศาลจะใช้ดุลพินิจแห่งเมตตาธรรม อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเพื่อให้จำเลยได้กลับไปอยู่กับครอบครัว และเยียวยาสภาพร่างกายและจิตใจต่อไป
.
.
หลังจากทนายความยื่นคำร้องขอประกันตัวไปนั้น ศาลชั้นต้น (ทั้งศาลอาญาและศาลอาญากรุงเทพใต้) ส่งคำร้องให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาออกคำสั่ง จากนั้นในแต่ละคดีศาลอุทธรณ์มีคำสั่งลงวันที่ 18 และ 19 ส.ค. 2568 ให้ “ยกคำร้อง” ทุกคดี
.
สำหรับคดีปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63, คดีโพสต์ 2 ข้อความในเฟซบุ๊ก, คดีโพสต์จดหมาย #ราษฎรสาส์น, คดีปราศรัยใน #ม็อบแฮรี่พอตเตอร์1, คดีโพสต์ 3 ข้อความบนเฟซบุ๊ก และคดีปราศรัย #ม็อบแฮรี่พอตเตอร์2 ศาลมีคำสั่งลักษณะเดียวกันในทำนองว่า
.
“..ข้อหามีอัตราโทษสูง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว มีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี ประกอบกับศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาเคยไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยในระหว่างอุทธรณ์มาแล้วหลายครั้ง ส่วนที่จำเลยอ้างว่า จำเลยถูกคุมขังเป็นเวลานาน ทำให้สุขภาพทรุดโทรมนั้น เห็นว่าหากจำเลยมีอาการเจ็บป่วย กรมราชทัณฑ์สามารถดูแลจัดการให้ได้ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 เหตุตามคำร้องไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยในระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง”
.
ส่วนในคดีชุมนุม #ม็อบ17พฤศจิกา63 ศาลมีคำสั่งที่แตกต่างออกไปจาก 6 คดีแรก โดยมีการระบุถึง ‘การกระทำส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร’ ดังนี้
.
“พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดี ประกอบพยานหลักฐานที่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ข้อหามีอัตราโทษสูง การกระทำของจำเลยที่ 2 กับพวกกระทบต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวมีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยที่ 2 จะหลบหนี ประกอบกับศาลอุทธรณ์เคยไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 ในระหว่างอุทธรณ์มาแล้ว และตามคำร้องไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 ในระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง”
.
จนถึงวันนี้ (22 ส.ค. 2568) อานนท์ถูกขังมาแล้ว 697 วัน ซึ่งในเดือนหน้า (26 ก.ย. 2568) หากเขายังไม่ได้รับสิทธิประกันตัว จะทำให้อานนท์ถูกขังในระหว่างต่อสู้คดีรอบล่าสุดนี้ครบ 2 ปี
.
.
อ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์
https://tlhr2014.com/archives/77689

https://www.facebook.com/photo?fbid=1174942067809595&set=a.656922399611567






https://tlhr2014.com/archives/77689
https://x.com/RH1LNHmKAlpssL2/status/1958900306143588479


คนอื่นที่โดน112เหมือนกัน อย่าว่าแต่ได้รับความเป็นธรรมแบบทักษิณในวันนี้เลย แม้แต่สิทธิ์การประกันตัวเค้ายังไม่ได้กันเลย






 https://x.com/P_23_10/status/1958883831412662306



ถือเป็นครั้งแรกที่ศาลเห็นว่าพยานโจทก์ที่มาให้การคดี #ม112 นั้นมี “อคติ” และให้รับฟังคำให้การอย่างระมัดระวัง เมื่อเทียบกับคดี #ม112 คดีอื่นแล้วไม่เคยมีลักษณะนี้มาก่อน ย้อนดูคดี เบนจา อะปัญ พยานโจทก์เป็นสมาชิก ศปปส. คู่ขัดแย้งกับกลุ่ม แนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ


iLaw
6 hours ago
·
ข่าวแจกสื่อมวลชนซึ่งเผยแพร่โดยกองสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ สำนักงานศาลยุติธรรม ในวันที่ 22 สิงหาคม 2568 กรณีการยกฟ้องมาตรา 112 ของทักษิณ ชินวัตร กรณีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ มีตอนหนึ่งที่ระบุว่าในคำพิพากษาศาลเห็นว่า

“พยานบุคคลภายนอกที่โจทก์อ้างมาล้วนแต่เข้าร่วมชุมนุมขับไล่จำเลยทางการเมือง อันส่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีอคติต่อจำเลย จึงมีข้อสงสัยถึงความเป็นกลางและต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง พยานบุคคลดังกล่าวของโจทก์ไม่อาจแสดงให้เชื่อได้ว่า วิญญูชนทั่วไปจะตีความข้อความที่จำเลยกล่าวไปในลักษณะที่พยานเหล่านั้นเข้าใจ”

ปรากฎการณ์นี้เป็นครั้งแรกในการพิจารณาของศาลที่มีการอธิบายว่าพยานซึ่งโจทก์เชิญมาให้การมีอคติต่อเลย แม้จะไม่ทราบว่าพยานเหล่านั้นเป็นใคร หรือให้การว่าอย่างไร แต่คำอธิบายลักษณะนี้ของศาลยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในคดีมาตรา 112

นอกจากนี้ศาลยังติงไว้ว่าต้องใช้ความระมัดระวังคำให้การของพยานโจทก์ที่มีอคติต่อทักษิณด้วย

เมื่อย้อนไปดูคดีมาตรา 112 ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา พบว่าลักษณะที่ผู้กล่าวโทษร้องทุกข์และพยานโจทก์เป็นคนกลุ่มเดียวกันคือกลุ่มที่อ้างว่าเป็นการ “ปกป้องสถาบันฯ” หลายกลุ่ม จากสถิติจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่ามีอย่างน้อย 142 คดีที่คนกลุ่มนี้กล่าวโทษดำเนินคดีในมาตรา 112

อ่านทั้งหมดได้ที่ https://tlhr2014.com/archives/73063

กลุ่มปกป้องสถาบันฯเหล่านี้มีหลากหลายกลุ่ม ตัวอย่างเช่น ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบันฯ (ศปปส.) กลุ่มศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมาย ผู้ถูกล่วงละเมิดบนโลกออนไลน์ (ศชอ.) หรือกลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สถาบัน โดยกลุ่ม ศปปส.เคยส่งคนไปให้การในคดีมาตรา 112 แล้วอย่างน้อย 54 คดี มีตัวอย่างที่คดีที่น่าสนใจคือคดีมาตรา 112 ของเบนจา อะปัญ แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กรณีปราศรัยหน้าตึกชิโนไทยเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 คดีนี้ถูกกล่าวหาโดย จักรพงศ์ กลิ่นแก้ว มะลิวัลย์ หวาดน้อย และปิยกุล วงษ์สิงห์ สมาชิก ศปปส. คดีนี้มีการสืบพยานเมื่อวันที่ 5-7 กันยายน 2566

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีนี้เบนจาได้ที่ https://tlhr2014.com/archives/60958

มะลิวัลย์ หวาดน้อย ประกอบอาชีพรับจ้าง หนึ่งในผู้กล่าวโทษเบนจาให้การเป็นพยานฝ่ายโจทก์โดยยอมรับว่าเป็นสมาชิก ศปปส. ซึ่งเห็นคลิปแล้วนำไปกล่าวโทษ เธอยอมรับว่ากลุ่มศปปส.ไปกล่าวโทษมาตรา 112 กว่า 30 คดี และยังยอมรับว่าเธอและกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม มีความคิดเห็นทางการเมืองที่ “ขัดแย้งกัน”

สาเหตุที่เธอต้องมากล่าวโทษเพราะเห็นว่าคำปราศัยของเบนจาไม่เป็นความจริงและเป็นการใส่ร้ายรัชกาลที่ 10 เธอยอมรับว่าที่คิดเห็นเช่นนี้เป็นการตีความคำปราศรัยตามวิจารณญาณของเธอ โดยที่ยอมรับอีกว่าหากอ่านถอดบันทึกคำปราศรัยของเบนจาจะพบว่าไม่ได้มีการโจมตีรัชกาลที่ 10 ช่วงท้ายของการสืบพยานของมะลิวัลย์ เธอยอมรับกับศาลว่าวันที่ไปกล่าวโทษเธอไม่ได้ฟังคำปราศรัยฉบับเต็ม ฟังแค่ช่วงที่มีการเอ่ยพระนามรัชกาลที่ 10 เท่านั้น

ท้ายที่สุด ในวันที่ 30 ตุลาคม 2566 ศาลพิพากษาจำคุกเบนจา 2 ปี 8 เดือนก่อนให้รอการลงโทษโดยมีส่วนหนึ่งระบุว่าเมื่อรับฟัง “พยานโจทก์” ที่ไปในทำนองเดียวกันว่าเป็นการด้อยค่า ดูหมิ่นรัชกาลที่ 10 โดยตรง จึงให้ลงโทษเบนจาในคดีนี้

อ่านคำพิพากษาคดีนี้ของเบนจาได้ที่ https://tlhr2014.com/archives/61065

โดยที่ในคำพิพากษาคดีของเบนจาไม่ได้มีส่วนใดที่ศาลระบุว่าพยานโจทก์ที่ยอมรับว่าเป็นสมาชิกกลุ่ม ศปปส. นั้นเป็นกลุ่มมวลชนฝ่ายตรงกันข้าม หรือมีอคติกับจำเลยแต่อย่างใด และไม่มีการติงไว้ให้ต้องระมัดระวังความเป็นกลางในคำให้การของพยานโจทก์อย่างระมัดระวังเหมือนที่เกิดขึ้นในคดีของทักษิณ ชินวัตร ประเด็นนี้จึงเป็นบรรทัดฐานใหม่สำหรับคดีมาตรา 112 ที่ยังไม่เคยมีการคำนึงถึงการต้องระมัดระวังอคติและรับฟังด้วยความเป็นกลางภายใความขัดแย้งระหว่างโจทก์หรือพยานโจทก์กับจำเลย

https://www.facebook.com/photo?fbid=1181477420692542&set=a.625664032940553







https://www.facebook.com/photo?fbid=1181477420692542&set=a.625664032940553
https://x.com/iLawFX/status/1958870557752963306



ค่าของคน อยู่ที่คนของใคร


Pavin Chachavalpongpun
11 hours ago
·
ที่บอกว่าทักษิณไม่ผิดในกรณี 112 นี้ (เพราะหลักฐานอ่อน) จึงหลุด ไม่ใช่เรื่องดีลอย่างที่พูดกัน เอิ่ม ถูกครึ่งเดียวค่ะ ที่ถูกคือ ทักษิณไม่ผิดและหลักฐานอ่อน และที่ผิดก็คือ ศาลตุลาการของไทยไม่มีมาตรฐานในการพิจารณาคดี 112 ถ้าพูดแบบนั้น แบบที่บอกว่า หลักฐานอ่อนจึงหลุด นี่เราให้เครดิตศาลไทยมากขนาดนั้นเลยหรอ ขนาดที่วินิจฉัยบนหลักฐาน ไม่ใช่เพราะมีการเมืองนำ ดิชั้นอยากขำ เพราะในกรณี 112 อื่นๆ ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีการเอ่ยถึงตัวกษัตริย์ ราชินีด้วยซ้ำ ไม่มีหลักฐานอะไรทั้งนั้น ก็ยังไม่รอดจากมาตรา 112 การตัดสินมันถึงขึ้นอยู่กับว่า 1) คุณเป็นใคร 2) คดีมีความเป็นการเมืองมากแค่ไหน และ 3) ธงที่ "ข้างบน" ให้มาคืออะไร
...ดิชั้นจะออกรายการ TODAY ค่ำนี้ 18:00 น. ค่ะ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=9924570714311269&set=a.104469196321519
...
ค่าของคน อยู่ที่เปนคนของใคร
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
.....


2 ปี ทักษิณ ดีล กลับไทย อนาคตต่อไปของ ‘ชินวัตร’ | TODAY LIVE

สำนักข่าวทูเดย์

Streamed live 8 hours ago 

22 สิงหาคม 2568 ครบรอบ 2 ปี ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับไทย เข้าสู่กระบวนการบังคับคดี แต่ผ่านมา 2 ปี มีทั้งคดีความอย่างน้อย 3 คดี คือ ชั้น 14 คดีม.112 และคดี คลิปเสียงฮุน เซนทำให้ฉากทัศน์การเมืองเปลี่ยนไป ชะตาหลังจากนี้ จะเป็นอย่างไร 

ร่วมพูดคุยกับ ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ - นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศประจำศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต 

ดำเนินรายการโดย อภิสิทธิ์ ดุจดา

https://www.youtube.com/watch?v=uYCw18t6njY



วันศุกร์, สิงหาคม 22, 2568

‘ทักษิณ’ หลุดคดี ๑๑๒ ตามทำนอง ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องวันนี้ ชี้คลิปที่ใช้กล่าวหาไม่ได้แสดงว่าหมิ่นกษัตริย์แต่อย่างใด

ไม่ใช่ปาฏิหาริย์ ไม่ได้พลิกล็อคอะไร ทักษิณ หลุดคดี ๑๑๒ ตามทำนอง ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องวันนี้ คดีที่เขาให้สัมภาษณ์สื่อในเกาหลีใต้ ดูปฏิกิริยาของทักษิณแค่ยิ้มๆ ไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นเกินไป น่าจะคาดหวังไว้แล้วว่านอนมา

ไทยพีบีเอสรายงานว่า กลุ่มเสื้อแดงที่เชิดชูทักษิณไปยืนออกันอยู่หน้าประตูศาล (คดีนี้ศาลไม่ให้ประชาชนเข้าฟัง) “ส่งเสียงร้องแสดงความดีใจและโบกมือ” เมื่อรถของทักษิณแล่นผ่าน เนื่องจากทักษิณเดินทางกลับทันที ไม่มีการให้สัมภาษณ์ใดๆ

ในคำวินิจฉัยบางส่วน ศาลกล่าวถึงคลิปการให้สัมภาษณ์ซึ่งอัยการโจทก์ใช้ประกอบเป็นหลักฐาน นำบางส่วนของการให้สัมภาษณ์มาใช้อย่างจำกัด “ศาลเชื่อว่ามีคำสัมภาษณ์จริงที่มากกว่านี้” และ “โจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคลิปตัดต่อหรือไม่

และคำพูดของจำเลยไม่ได้เจาะจงถึงพระมหากษัตริย์ จึงยกผลประโยชน์ให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง” ต่อประเด็นนี้ Pavin Chachavalpongpun ได้วิเคราะห์ทั้งในแง่มุมของกฎหมายและด้านการเมืองเอาไว้ก่อนหน้าจะมีคำพิพากษาออกมา

เขาเจาะจง “คำว่า ‘palace circle’ ที่ทักษิณพูดในบทสัมภาษณ์ เป็นประเด็นสำคัญที่ก่อให้เกิดความคลุมเครือทางกฎหมาย อัยการได้ตีความว่าคำนี้สื่อถึงสถาบันพระมหากษัตริย์โดยรวม ซึ่งอาจรวมไปถึงรัชกาลที่ ๙” ด้วย

หากตีความกฎหมายอาญาอย่างเคร่งครัด ปวินบอกว่า “มาตรา ๑๑๒ คุ้มครองบุคคลเพียงแค่ พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ การจะนำไปขยายความครอบคลุมบุคคลนอกเหนือจากนี้” ทำไม่ได้ตามหลักการ

แต่ว่าศาลก็เคยตัดสินคดี ๑๑๒ เกินเลยหลักการไปหลายครั้ง เขายกตัวอย่างคดีที่ทหารฟ้อง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ซึ่งวิจารณ์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ที่ไม่ได้รับการคุ้มครองโดย ม.๑๑๒ อย่างไรก็ดีศาลเคยตัดสินคดีหนึ่งว่า กม.นี้ครอบคลุมถึงบูรพกษัตริย์ในอดีตด้วย

ในทางการเมืองปวินเชื่อว่าการที่คดีนี้ถูกรื้อขึ้นมา เพราะมี “กลุ่มอำนาจ/อีลีทบางกลุ่มในประเทศ ไม่ได้เห็นด้วยกับการกลับมาของคุณทักษิณ...ต้องการสร้างข้อจำกัดทางการเมืองให้ทักษิณไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ” จึงใช้ ม.๑๑๒ เป็นเครื่องมือ

อีกประเด็น ปวินเอ่ยถึงเสียงวิจารณ์จากนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ ที่ว่า การที่ทักษิณต้องมาเผชิญกับคดีนี้ด้วยตัวเอง “นี่คือผลของการไม่ยอมแก้ไขกฎหมายนี้...เมื่อพรรคเพื่อไทยโยนทิ้งนโยบายผลักดันการแก้ไขมาตรา ๑๑๒” ไปเสียดื้อๆ

(https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/ykLWptaJW และ https://www.thaipbs.or.th/news/content/355647) 

งง! ให้ปัจจัย 40 บาท กลับโดนพระสวดยับ (ให้ 4 สตางค์ยังมากไป พระแบบนี้)

https://www.facebook.com/share/v/16oB5xcVy5/

4 สตางค์ยังมากไป
ประเวศ ประภานุกูลกิจ.


ดูความทุเรศ ! เรือนจำยกเลิกซุ้มถ่ายรูปในการเยี่ยมญาติใกล้ชิดที่เป็นบริการให้ผู้ต้องขังได้ถ่ายรูปกับญาติ - ⭕400 วันในเรือนจำของ “ขุนแผน” ผู้ต้องขังคดี 112 กับความซับซ้อนของการเยี่ยมญาติใกล้ชิด

ภาพจาก เรือนจำกลางบางขวาง เตรียมความพร้อมในการต้อนรับญาติผู้ต้องขังทุกท่าน ที่เข้าร่วมกิจกรรมเยี่ยมญาติใกล้ชิด
.....

อานนท์ นำภา 
12 hours ago
·
ชวนคิดอย่างมีเหตุมีผล
.
เรือนจำยกเลิกซุ้มถ่ายรูปในการเยี่ยมญาติใกล้ชิดที่เป็นบริการให้ผู้ต้องขังได้ถ่ายรูปกับญาติ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีมากๆ สำหรับญาติและผู้ต้องขังที่จะได้มีรูปร่วมกันเก็บไว้ เพราะบางคนเจอกันนานๆที นี่เป็นบริการที่ถูกกฎหมาย เป็นภาพถ่ายอย่างถูกต้องจากเรือนจำ ไม่ใช่รูปแอบถ่าย (ซึ่งแอบถ่ายไม่ได้อยู่แล้วเพราะต้องเข้าไปตัวเปล่า)
การที่ญาติโพสต์รูปผู้ต้องขัง ทำให้คนที่เป็นห่วงผู้ต้องขัง ได้เห็นหน้าตาที่สดใสของผู้ต้องขัง ซึ่งมันก็สะท้อนได้ว่าเรือนจำยังดูแลผู้ต้องขังได้ดี ยังไม่เห็นเลยว่าจะมีอะไรเสียหาย นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าผู้ต้องขังบางคนก็ถูกถ่ายรูปถ่ายคลิปอยู่เป็นประจำ เพื่อ promote เรือนจำไม่ใช่หรือ
กับแค่การโพสต์รูปผู้ต้องขังทางการเมือง ที่หน้าตาสดใสกับญาติพี่น้อง ไม่ควรเป็นเหตุให้ถึงกับต้องยกเลิกซุ้มถ่ายรูป ที่กระทบการเยี่ยมญาติใกล้ชิดอีกจำนวนมากของอีกหลายครอบครัว

https://www.facebook.com/xannth.na.pha
.....


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
13 hours ago
·
400 วันในเรือนจำของ “ขุนแผน” ผู้ต้องขังคดี 112 กับความซับซ้อนของการเยี่ยมญาติใกล้ชิด
.
.
เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2568 ทนายความได้เข้าเยี่ยมเชน ชีวอบัญชา หรือ “ขุนแผน” นักกิจกรรมและผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 วัย 58 ปี ที่ยังคงถูกคุมขังระหว่างอุทธรณ์ที่เรือนจำกลางบางขวาง มาตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมปี 2567
.
ครั้งนี้เป็นการพบปะในช่วงที่เขาใกล้จะครบคุมขัง 400 วัน ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวในห้องเยี่ยมที่คับแคบ ขุนแผนสุขภาพดีขึ้นหลังจากผ่านการรักษาตัวจากอาการเส้นเลือดในสมองตีบ ที่ทำให้เขาต้องถูกส่งไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ก่อนจะถูกย้ายจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มายังเรือนจำกลางบางขวางเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2568
.
ขุนแผนระบายถึงความไม่เข้าใจต่อกฏเกณฑ์และข้อบังคับต่าง ๆ ภายในเรือนจำที่เขามองว่าขาดความสมเหตุสมผลและไม่มีที่มาที่ไปที่ชัดเจน ทั้งเรื่องการบังคับใช้หน้ากากอนามัยเฉพาะตอนออกมาเยี่ยมญาติ การกำหนดเงื่อนไขซับซ้อนสำหรับการเยี่ยมญาติใกล้ชิด และคำถามเรื่องการสำนึกผิด ด้วยน้ำเสียงที่มีคำถามกับสิ่งที่เขาเห็นว่าผิดปกติ

______________________________

ขณะพบหน้ากันขุนแผนดึงหน้ากากอนามัยออกจากใบหน้า พร้อมกับเสียงบ่นเบา ๆ “ให้ใส่แมสทุกครั้งก็ไม่ไหว ดูอากาศบ้างสิ ไม่ได้ถ่ายเทขนาดนั้น ร้อนก็ร้อน” จากคำถามแรกอันเป็นประโยคทักทาย ขุนแผนมักจะตอบด้วยรอยยิ้มอันเรียบง่าย “ผมสบายดีครับ” คำตอบที่ดูขัดแย้งกับชีวิตในเรือนจำ แต่กลับเป็นคำตอบเดียวที่เขาสามารถให้ได้ในขณะนี้
.
บทสนทนามาที่เรื่องของการเยี่ยมญาติใกล้ชิดกลายเป็นประเด็นที่ทำให้ขุนแผนต้องหยุดคิด อาทิตย์หน้าเขายังไม่สามารถเยี่ยมญาติใกล้ชิด เพราะเห็นว่ากระบวนการมีความซับซ้อนเกินความจำเป็น โดยก่อนจะได้พบกับญาติ ต้องผ่านการกักโรค เข้าร่วมโครงการ ‘รักวินัย’ ทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในแดน พร้อมถ่ายรูปเป็นหลักฐาน “โครงการนี้ผมไม่เคยเห็นในระเบียบเลย” ขุนแผนกล่าวด้วยความสงสัย
.
“หากไม่มีระเบียบที่ออกมาจากส่วนกลาง หรือเป็นข้อกำหนดที่บังคับใช้จริง ผมก็จะไม่ทำ” ก่อนตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับจุดประสงค์แท้จริงของการเยี่ยมญาติใกล้ชิด หากจุดประสงค์คือเพื่อให้ผู้ต้องขังได้พบกับญาติของตน แล้วทำไมต้องมีเงื่อนไขมากมายให้ต้องทำก่อน
.
สำหรับขุนแผน เขาไม่รู้สึกเร่งด่วนที่จะต้องเยี่ยมญาติใกล้ชิด เพราะภรรยาของเขาเข้าใจสถานการณ์ดี โดยอีกปัญหาหนึ่งคือหากจะเข้าเยี่ยมต้องมีเรื่องสถานะการสมรส เนื่องจากไม่ได้จดทะเบียนกัน ทำให้ต้องให้พี่สาวรับรองความสัมพันธ์ และนำเอกสารมาทำเรื่องอีกครั้ง หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็ก แค่ทำให้จบไป แต่สำหรับขุนแผนกลับเห็นว่าการที่ผู้คนมองว่าเป็นเรื่องเล็กนี่แหละที่ทำให้สิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่เสมอมา ทั้งที่ในระเบียบหรือข้อกำหนดต่าง ๆ ก็ไม่มีอย่างชัดเจน
.
การพูดคุยกลับไปเรื่องหน้ากากอนามัย เป็นอีกประเด็นที่ขุนแผนมองว่าเป็นปัญหา ก่อนออกมาเยี่ยมญาติหรือทนายความ ผู้ต้องขังต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ในขณะที่เขามองว่าโควิดไม่ได้ระบาดแล้ว และการป้องกันก็ไม่ได้จริงจังขนาดนั้น เพราะอยู่ข้างในก็ไม่ได้ใส่ “มันใช่เรื่องที่ผมจะต้องไปตามหาแมสหรือ” เขาตั้งคำถาม “บางคนที่ไม่มี ก็ต้องวิ่งไปหายืม หรือขอจากคนที่รู้จัก ผมก็อยากรู้ถ้าผมหาไม่ได้และเดินออกมาแบบนั้น เจ้าหน้าที่จะให้คำตอบเช่นไร จะไม่ให้ผมออกไปเยี่ยมใช่ไหม”
.
ขุนแผนมองว่าหากเรือนจำกำหนดมาแบบนี้ ก็ควรมีหน้าที่ในการจัดเตรียมหน้ากากอนามัยให้ เพราะไม่ใช่ผู้ต้องขังทุกคนที่ทางบ้านจะมีเงินมากพอ อย่างไรก็ตาม เขาชื่นชมบางสิ่งที่เรือนจำทำ โดยเฉพาะการแจกเสื้อสีฟ้าให้กับคนที่ไม่มีญาติ ปีละ 1 ตัวต่อคน “อันนี้ผมว่าดี อย่างน้อยมันต้องแจกจริง ๆ ไม่งั้นเขาก็ไม่มีเสื้อใส่แน่นอน”
.
สำหรับการติดตามข่าวสารภายนอก ส่วนใหญ่จะได้รับทราบข้อมูลจากภรรยาเมื่อมาเยี่ยม แต่ก็ไม่ได้รายละเอียดมากนัก เช่น เรื่องที่ชายแดนมีคนเสียชีวิต เขาทราบแค่นั้น ซึ่งเขาอยากทราบสถานการณ์มากขึ้นกว่านั้น
.
เมื่อพูดถึงเรื่องอภัยโทษ ขุนแผนรับทราบข้อมูลจากประกาศของเรือนจำ และแสดงความดีใจกับผู้ที่ได้รับประโยชน์ ส่วนตัวเขาเองไม่ได้หวังมากนัก เนื่องจากคดียังไม่สิ้นสุดลง “คงอยู่เต็มโทษมั้ง” เขากล่าวพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ
.
ระหว่างการสนทนา ขุนแผนนึกถึงเรื่องแปลก ๆ ของเรือนจำอีกเรื่องหนึ่ง คือช่วงแรกที่เข้าเรือนจำ มีการให้กรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ โดยมีคำถามทำนองว่า “มีการสำนึกในการกระทำความผิดหรือไม่” เขาเห็นว่าเป็นคำถามที่น่าขำ เพราะเป็นคำถามที่ไม่ควรมาถาม จะรู้ได้อย่างไรว่าสำนึกจริงหรือไม่จริง และในกรณีของผู้ที่เป็นแพะรับบาป ที่ไม่ได้ทำตั้งแต่แรก เขาจะต้องมาสำนึกผิดเรื่องอะไร และผู้ต้องขังที่ถูกย้ายมาเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลายคน ก็คดียังไม่ได้สิ้นสุด
.
อีกทั้งขุนแผนยังไม่ทราบว่าคำถามเหล่านี้จะถูกนำไปใช้กับเรื่องอะไร ที่แปลกยิ่งกว่าคือทำไมผู้ที่ถามคำถามเหล่านี้ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ แต่กลับเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ซึ่งก็คือผู้ต้องขังด้วยกัน

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1173993714571097&set=a.656922399611567



เพจอานนท์ นำภา แชร์ความเห็นเทียบ เสก โลโซ หากเดินสายอ่านกวีคงดีไม่น้อย มีผู้แสดงความเห็นสนับสนุนแนวคิดเดียวกันจำนวนหนึ่ง อาทิ สงสัยอยู่เหมือนกันว่าประเทศนี้มันปกครองในระบบระบอบประชาธิปไตยภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันหรือเปล่า?



เพจอานนท์ นำภา แชร์ความเห็นเทียบ เสก โลโซ หากเดินสายอ่านกวีคงดีไม่น้อย

21 สิงหาคม 2568
มติชนอออนไลน์

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Te Neti ได้โพสต์ถึงกรณีงานนิทรรศการผลิตภัณฑ์ราชทัณฑ์ 2568 ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ทำให้ เสก โลโซ ผู้ต้องขังในเรือนจำได้ออกไปทำการแสดงทุกวัน โดยมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คอยให้กำลังใจ นอกจากนี้ ยังเดินสายพาไปโชว์ที่ต่างจังหวัด ร้องเพลงให้กำลังใจผู้อพยพจากเหตุปะทะไทย-กัมพูชา ตามจุดต่างๆ ต่างจากผู้ต้องขังรายอื่น เช่น นายอานนท์ นำภา ที่ไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก

ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Te Neti เผยว่า เสก โลโซ ติดคุกไม่นาน พอดีกรมราชทัณฑ์มีงานนิทรรศการผลิตภัณฑ์ราชทัณฑ์ จัดที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี 5 วัน เสก โลโซ เลยได้ออกมาเล่นคอนเสิร์ตทุกวัน วันแรกมีเต้น ณัฐวุฒิ ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ร่วมให้กำลังใจ และทุกวันมีเพื่อนฝูงในวงการและเมียเสก ไปเยี่ยมถ่ายรูปโชว์ลงโซเชี่ยลมากมาย

เสร็จจากคอนเสิร์ตที่เมืองทองธานี ทวี สอดส่อง ยังนำกรมราชทัณฑ์เดินสายจัดมินิคอนเสิร์ต เสก โลโซ ให้ขวัญกำลังใจทหารและผู้อพยพที่ชายแดน

ก็น่าดีใจกับ เสก โลโซ ที่ในขณะที่ติดคุกอยู่ยังได้มีโอกาสทำสิ่งที่ตัวเองรัก ได้ออกมาเล่นดนตรี ได้ถ่ายรูปพบปะคนรัก เมีย และเพื่อนฝูง แม้รัฐมนตรียังได้ร่วมถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดีย

ไม่เหมือน อานนท์ นำภา ทนายความผู้รักความยุติธรรม โอกาสที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองรัก คือการแสวงหาความยุติธรรมให้ลูกความของตัวเองในขณะตัวเองถูกคุมขังอยู่ กลับถูกศาลตั้งแง่ ไม่ให้ใส่ชุดครุย ไม่ให้ใส่ชุดนักโทษว่าความ

ล่าสุดแม้รูปถ่ายจากซุ้มถ่ายรูป ที่กรมราชทัณฑ์จัดให้นักโทษถ่ายร่วมกับญาติเองแท้ๆ เมื่อโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย กลับถูกบังคับให้ลบรูปออก

ว่าไปจริงๆ อานนท์ นำภา ก็มีความสามารถในเรื่องดนตรีไม่เบา ผมเคยเห็นเขาร้องเพลงลูกทุ่ง เคยเห็นเขาเป่าขลุ่ยอย่างไพเราะ และหลายคนคงเห็นความสามารถในการเขียน บทกวี

นี่ถ้า อานนท์ นำภา ได้มีโอกาส เดินสายอ่านบทกวี เป่าขลุ่ย ร้องเพลง นอกคุกแบบ เสก โลโซ คงจะดีไม่น้อย เพื่อนฝูงและคนรักจะได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียน ร่วมถ่ายรูปกับ อานนท์ นำภา มาลงโซเชียลมีเดีย แบบ เสก โลโซ บ้าง

อย่างไรก็ดี เพจเฟซบุ๊ก อานนท์ นำภา ของนายอานนท์ได้แชร์โพสต์ดังกล่าวไป โดยมีผู้แสดงความเห็นสนับสนุนแนวคิดเดียวกันจำนวนหนึ่ง อาทิ สงสัยอยู่เหมือนกันว่าประเทศนี้มันปกครองในระบบระบอบประชาธิปไตยภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันหรือเปล่า? ประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคนที่มีสิทธิรักและหวงแหนถึงสิทธิเสรีภาพของความเป็นคนในประเทศนี้ การเลือกปฏิบัติมันบ่งบอกถึงการสร้างความแตกแยกครับไอ้พวกผู้นำระบบระบอบหัวค..ที่น่าเคารพทั้งหลาย, ระบบที่ห้ามตั้งคำถาม, แสดงให้เห็นชัดเจนว่าในประเทศนี้ “แม้ในคุก นักโทษมีสิทธิและโอกาสไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจ” ให้มันจบที่รุ่นเรา.., ขอให้ได้รับความเป็นธรรมไวๆๆ




https://www.matichon.co.th/politics/news_5334239

ฝ่ายเราตีปี๊บบอกมีหลักฐานเหนือกว่าตระกูลฮุนทุกอย่าง แต่เราไม่กล้าฟ้องโลกด้วยกลไก ICC อ.พวงทอง แจงเหตุผลแห่งความกลัวให้ฟัง


Puangthong Pawakapan
5 hours ago
·
เห็นอาจารย์ Phil Saengkrai พูดเรื่องการฟ้องตระกูลฮุนด้วยศาล ICC หลายครั้งแล้ว ที่จริงดิฉันเคยตอบคำถามนี้ของนิสิตตอนที่ ISIS จัดสัมมนาที่คณะรัฐศาสตร์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา จึงคิดว่าควรเอามาตอบในที่นี้อีกที
ดิฉันเชื่อว่าไทยจะไม่ใช้กลไก ICC ในการดำเนินคดีกับตระกูลฮุนแน่นอน ต่อให้เป็นการฟ้องโดยขอให้ ICC มีเขตอำนาจในการพิจารณากรณีนี้กรณีเดียว ก็เถอะ หรือต่อให้ไปขอร้องให้ประเทศอื่นช่วยยื่นฟ้องแทนไทยก็เถอะ ไทยก็จะไม่ทำด้วยเหตุผลว่า
1. ถ้าไทยใช้กลไก ICC ก็มีสิทธิที่กัมพูชาจะใช้กลไก ICC ฟ้องไทยเช่นเดียวกัน (ส่วนหลักฐานฝ่ายใดมีน้ำหนักกว่ากัน ไม่ใช่ประเด็น เพราะคู่กรณีไม่ใช่ผู้ตัดสิน) ซึ่งไทยก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้จะเปลี่ยนใจภายหลัง ก็ทำไม่ได้แล้ว
2. ดิฉันเชื่อว่าความรุนแรงทางการเมืองภายในของไทย ได้แก่ กรณีสังหารเสื้อแดงปี 2553, สงครามปราบยาเสพติดโดยรัฐบาลทักษิณ, กรณีตากใบ คืออุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไทยไม่กล้าใช้กลไก ICC - ดิฉันคิดว่านี่คือเหตุผลหลัก
หากไทยใช้กลไก ICC ในปัญหาไทย-กัมพูชา แล้วเกิดผลเป็นคุณกับฝ่ายไทย ก็จะยิ่งกลายเป็น precedent ที่ทำให้กลุ่มต่างๆ ในประเทศเรียกร้องให้ใช้กลไกนี้ในปัญหาอื่นๆ ตามมา
หากไทยใช้กลไก ICC แล้วเกิดเป็นคุณกับฝ่ายไทย มันจะกลายเป็นเหตุการณ์ที่ท้าทายคำอธิบายของชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมที่ชอบอ้างว่า "เราไม่ควรให้ฝ่ายที่ 3 หรือประเทศอื่นเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทย"
สำนึกเช่นนี้เป็นผลพวงของความเชื่อที่ฝังรากลึกในหมู่ชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมว่า ไทยเป็นประเทศเอกราช ไม่ต้องการให้ประเทศที่ 3 หรือองค์กรภายนอกมายุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของไทย เสมือนเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทย ยิ่งส่งกำลังทหารจากประเทศอื่นๆ มาประจำในประเทศไทย ยิ่งรับไม่ได้เลย
สำนึกนี้ยังปรากฏในท่าทีของไทยที่มักยืนยันว่าการแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา ต้องอยู่ในกรอบทวิภาคีเท่านั้น ล่าสุดนรม.อันวาร์ อิบราฮิม โทรศัพท์หาฮุน มาเน็ต และคุณภูมิธรรม โดยบอกว่าอยากให้มีการเพิ่มกำลังทหารเข้าไปในทีมผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวของอาเซียน (Interim Observer Team) ซึ่งฝ่ายกัมพูชาตอบรับยินดี แต่ฝ่ายไทยปฏิเสธ ไม่เห็นด้วย - ส่งผลให้การดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงของอาเซียนยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ ฉะนั้น ASEAN Monitoring Team ที่ต้องมีกองกำลังทหารจากประเทศเป็นกลางมาเฝ้าระวังตามแนวชายแดนอย่างเป็นระบบ จึงยังไม่เกิดขึ้น สิ่งที่น่ากังวลคือ ความตึงเครียดตามแนวชายแดนจึงเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และเสี่ยงกับการปะทะด้วยกำลังอาวุธอีก
อีกคำถามหนึ่ง ที่อาจารย์ Phil Saengkrai ตั้งคำถามคือ วันนี้นโยบายของไทยคืออะไร ไทยต้องการให้มันจบอย่างไร - ทั้งนี้ ความต้องการต้องวางอยู่บนข้อเท็จจริงและความเป็นไปได้ด้วย ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาโดยตรง รู้ดีว่าไม่มีทางที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ตามที่ต้องการ 100% - ดิฉันคิดว่า ณ วันนี้ รัฐบาลยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ปัญหาทางการเมืองที่รุมเร้า ขาดการนำ ทำให้เราอยู่กับปัญหารายวันที่ลุ่มๆ ดอนๆ และไม่รู้ว่าจะยุติความขัดแย้งนี้ได้อย่างไร

Atukkit Sawangsuk
5 hours ago
·
ตีปี๊บกันไปงั้น
ฝ่ายไทยเองแหละ ที่ไม่ต้องการ ICC
ฝ่ายไทยเองแหละ ที่ไม่ต้องการศาลโลก
ฝ่ายไทยเองแหละ ที่ไม่ต้องการ Asean Monitoring
ทั้งที่บอกประชาชนว่าเรามีหลักฐานเหนือกว่าทุกอย่าง

https://www.facebook.com/photo?fbid=24670852062538887&set=a.138005429583558


อิสราเอลกลายเป็นประเทศของอาชญากรและโจรปล้นสดมภ์ไปแล้ว

https://www.facebook.com/watch/?v=993872002770530

บีบีซีไทย - BBC Thai
13 hours ago
·
ชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่บอกว่า เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแทบจะทุกวัน ขณะที่รัฐบาลอิสราเอลเตรียมเซ็นอนุมัติสร้างบ้านใหม่จำนวนหลายพันหลังให้กับชาวอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์
.....

อิสราเอลกลายเป็นประเทศของอาชญากรและโจรปล้นสดมภ์ไปแล้ว
Puangthong Pawakapan
.....


บีบีซีไทย - BBC Thai
17 hours ago
·
ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว รายงานขององค์กรพีซนาว (Peace Now) ระบุว่ามีจุดตั้งถิ่นฐานใหม่ของชาวอิสราเอลประมาณ 100 แห่งปรากฏขึ้นทั่วเขตเวสต์แบงก์ ส่งผลให้ความตึงเครียดระหว่างชาวปาเลสไตน์ที่อยู่ดั้งเดิมเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น
.
อ่านต่อได้ที่ https://bbc.in/41gmVwy
.....

https://www.youtube.com/shorts/-J5cEzoXtoI


การกดปราบผู้ลี้ภัยข้ามชาติ ที่เป็น ‘ศัตรูของรัฐ’ ความโหดของประเทศที่อยู่แถวนี้ เคส ผู้ลี้ภัยการเมืองชาวลาว ถูกลอบสังหารที่ฝรั่งเศส แทงด้วยมีด บาดเจ็บรุนแรง แต่โชคดีที่รอดชีวิตมาได้อย่าง ‘ปาฎิหาริย์’


The Momentum
7 hours ago
·
หากพูดถึงชื่อ โจเซฟ อัครวงศ์ (Joseph Akaravong) หรือ ‘ประธานโจ’ นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยชาวลาว ขณะนี้ลี้ภัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส คนไทยหลายคนอาจไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่หากพูดถึงเหตุการณ์การเมืองใหญ่ๆ ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ไม่ว่าจะเป็น
.
เหตุการณ์เขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อยแตก เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 และการลาออกจากตำแหน่งของ คำพัน วิพาวัน นายกรัฐมนตรีของสปป.ลาว ในปี 2565
.
ก็อาจทำให้ใครหลายคนคุ้นหูมาบ้าง เหตุการณ์ข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวของนักกิจกรรมผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยชาวลาวคนนี้
.
“ในปี 2561 ผมตัดสินใจว่าต้องออกจากเมืองลาว” โจเซฟกล่าว
.
แม้ว่า สปป.ลาว จะใช้ชื่อว่า ‘สาธารณรัฐประชาธิปไตย’ แต่แท้จริงแล้ว กลับไม่ได้มีประชาธิปไตยอย่างเสรีในประเทศ รายงานจาก Freedom in the World 2025 ให้คะแนนความมีเสรีภาพของ สปป.ลาว ที่ 13/100 คะแนน อีกนัยหนึ่งคือเป็นประเทศไร้เสรีภาพ หรือ ‘Not Free’
.
มูลนิธิมานุษยะ (Manushya Foundation) เปิดเผยบันทึก ‘การกดปราบผู้ลี้ภัยข้ามชาติ’ (Transnational Repression) หรือการที่รัฐไล่ปราบปรามผู้ลี้ภัยข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นการไล่ล่า ข่มขู่ ผู้ถูกหมายหัวเป็น ‘ศัตรูของรัฐ’ อย่างเป็นระบบของผู้ลี้ภัยชาวลาวไว้ดังนี้
.
• ในปี 2555 สมบัด สมพอน ผู้นำภาคประชาสังคม ถูกอุ้มหายในนครหลวงเวียงจันทน์ และสูญหายจนถึงปัจจุบัน
• ปี 2562 โอด สายาวง ผู้ก่อตั้งขบวนการ Free Laos หายตัวไปในกรุงเทพฯ ประเทศไทย
• ปี 2566 อนุสา ‘แจ็ค’ หลวงสุพรม ถูกยิงที่เวียงจันทน์ เพราะเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ เขารอดชีวิต แต่ปัจจุบันต้องหลบซ่อน
• ปี 2567 บุญสวรรค์ กิติยานนท์ สมาชิก Free Laos ถูกยิงเสียชีวิตที่อุบลราชธานี ประเทศไทย
• ปี 2567 นันทิดา ภูมิชิต นักศึกษาวัย 21 ปี เปิดโปงว่าถูกเจ้าหน้าที่สภาแห่งชาติข่มขืน และต้องหนีออกนอกประเทศ เพราะหวั่นเกรงอิทธิพลของผู้มีอำนาจ
.
และวันที่ 14 มิถุนายน ปี 2568 โจเซฟ อัครวงศ์ ถูก ‘ลอบสังหาร’ อย่างเหี้ยมโหดและโจ่งแจ้ง เขาถูกมีดแทงที่ลำคอและตัวหลายจุด ที่ประเทศฝรั่งเศสแต่โชคดีที่รอดชีวิตมาได้อย่าง ‘ปาฎิหาริย์’
.
แม้ว่าทางตำรวจยังไม่สามารถเปิดเผยแรงจูงใจในการพยายามฆ่าครั้งนี้ แต่ด้วยเวลา สถานการณ์ เป้าหมาย และบริบททุกอย่างอาจบ่งชี้ได้ว่า เป็น ‘การกดปราบผู้ลี้ภัยข้ามชาติ’
.
The Momentum มีโอกาสคุยกับ โจเซฟ อัครวงศ์ หรือ ‘ประธานโจ’ ถึงวินาทีที่ความเป็นและความตายมีค่าเท่ากัน ที่แม้แต่เขาก็คิดว่า “ผมไม่รอดแล้ว ผมต้องตายแน่ๆ” และการตั้งคำถามถึงความปลอดภัยของผู้ลี้ภัยทางการเมืองทั่วโลก
.
“พอเหตุการณ์โดนลอบฆ่าเกิดขึ้นกับผมแบบนี้ ทุกคนก็ตกใจหมด เพราะนี่คือประเทศฝรั่งเศส แต่กลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็สรุปอย่างเป็นทางการว่าคือการลอบสังหาร เพราะลงมือในจุดสำคัญที่คอ และใช้มีดเแทงบริเวณหัวใจและปอด”
.
อ่านบทความ วินาทีความเป็นความตาย บทสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยการเมืองชาวลาว หลังถูกลอบสังหารที่ฝรั่งเศส ได้ทาง https://themomentum.co/feature-joseph-akaravong-lao-exile/

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1207142278126487&set=a.654659416708112



แต่เดิม ชนชั้นนำในกรุงเทพฯ ให้ ทักษิณ กลับไทยเพราะอยากให้บ้านเมืองสงบ แต่ผลที่เกิดขึ้นออกมาตรงกันข้าม - 2 ปีที่ ทักษิณ กลับไทย ประเทศชาติได้อะไร?



2 ปี ทักษิณ "ดีลกลับบ้าน" การเมืองไทยเข้าสู่ภาวะ Deep Freeze

หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
บีบีซีไทย
21 สิงหาคม 2025

ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 เคยเปรียบเปรยการใช้ชีวิตในต่างประเทศภายหลังถูกยึดอำนาจในปี 2549 ว่าเป็นการ "ติดคุกใหญ่" ต้องทุกข์ทรมาน-ถูกกีดกันไม่ให้อยู่กับครอบครัว

22 ส.ค. 2566 เขาตัดสินใจกลับไทย "แลกกับการได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับครอบครัว" โดยที่คนนอกไม่อาจรู้แน่ชัดว่าเขาเอาอะไรไปแลก

สิ่งที่สังคมเห็นคือสภาพการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปหลังการจัดตั้งรัฐบาล 2 ชุดภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย (พท.) และต้องเผชิญกับภาวะไม่แน่นอน ณ ปัจจุบันจาก 3 คดีสำคัญ

"คดีมาตรา 112" และ "คดีชั้น 14" ของอดีตนายกฯ ผู้พ่อ

"คดีคลิปเสียง" ของนายกฯ ผู้ลูก

บีบีซีไทยพูดคุยกับ 2 บุคคลแบบต่างกรรมต่างวาระ ชวนมองให้ทะลุถึงเบื้องหลัง "ดีลกลับบ้าน" ภารกิจที่ต้องทำ และสำรวจพลังอำนาจของ ทักษิณ ในภาวะที่นักรัฐศาสตร์ชี้ว่าการเมืองไทยถูก "ดีพฟรีซ" (Deep Freeze) หรือแช่แข็งลึก

คนหนึ่งคือ ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ผู้ครุ่นคิดเรื่องระบอบการเมืองและบัญญัติคำว่า "ระบอบทักษิณ"

อีกคนคือ สุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตนักการเมืองซึ่งเคยอยู่ในโครงข่ายอำนาจของนายกฯ "ตระกูลชินวัตร" ในฐานะอดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล "ทักษิณ 2" และเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์"

นี่คือมุมมองของ ศ.ดร.เกษียร-สุรนันทน์ ในวาระครบ 2 ปีที่ ทักษิณ กลับไทย

"ขออนุญาต (ใคร) กลับบ้าน"

กำหนดการเดินทางกลับไทยของ ทักษิณ ถูกปรับ-เปลี่ยนอย่างน้อย 3 รอบนับจากครั้งแรกที่ประกาศผ่านบัญชีทวิตเตอร์ (ปัจจุบันคือเอกซ์) เมื่อเดือน พ.ค. 2566 ว่า "ขออนุญาตกลับไปเลี้ยงหลาน" ในช่วงที่กำลังจะได้หลานคนที่ 7 จาก แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนสุดท้อง ท่ามกลางความสงสัยของผู้คนในสังคมว่า ทักษิณ กำลัง "ขออนุญาต" ใคร

สุรนันทน์ ระเบิดหัวเราะรับคำถามนี้ ก่อนตีความว่า "ผมว่าขออนุญาต Establishment คือชนชั้นนำในกรุงเทพฯ ที่มีความไม่ไว้วางใจสูง" เพราะไม่ว่ารัฐประหาร 2549 และ 2557 ล้วนดำเนินการขับเคลื่อนโดยฝ่ายจารีตนิยม/อนุรักษนิยม

ในทางกลับกัน ทักษิณ อาจไม่ไว้วางใจว่ากลับมาแล้วจะได้รับการต้อนรับในลักษณะไหน สุรนันทน์ คาดว่า สิ่งที่อดีตผู้นำต้องการมี 2 อย่างคือ 1. การรับประกันความปลอดภัย เพราะก็มีศัตรูเยอะ และ 2. การปฏิบัติที่ไม่ใช่ลักษณะของนักโทษ 100% คือมาถึงรวบคาสนามบิน ใส่กุญแจมือ จับขึ้นรถ เพราะ ทักษิณ พูดเสมอว่า "อยากกลับบ้านอย่างเท่ ๆ" แม้การต้อนรับที่สนามบินอาจไม่เท่ 100% แต่อย่างน้อยก็ให้เกียรติในฐานะอดีตนายกฯ

"มันต้องมีคนอนุมัติ ต้องมีคนเปิดทางให้ ซึ่งผู้มีอำนาจ ณ ตอนนั้นและเป็นผู้มีอำนาจมา 10 ปีก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 และอดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) มันปฏิเสธไม่ได้ อาจจะมีการหารือระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์กับคนอื่น เราไม่รู้ เพราะผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมีหลายระดับ แต่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ต้องรับผิดชอบ ณ จุดนั้น" สุรนันทน์ กล่าว


สุรนันทน์ เชื่อว่า การที่อดีตนายกฯ ออกมาเดินโบกไม้โบกมือทักทายประชาชนที่สนามบินดอนเมืองเมื่อ 22 ส.ค. 2566 ได้ "ต้องมีคนให้ไฟเขียว" เพราะถ้าไม่มีการสั่งการและวางกรอบเอาไว้ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และตำรวจก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

ศ.ดร.เกษียร ออกตัวว่าเข้าไม่ถึงข้อมูลจริง แต่เมื่อดูหลักฐานแวดล้อมเห็นได้ชัดว่าคำว่า "ขออนุญาต" คนที่ให้อนุญาตเป็นการตัดสินใจทางการเมือง เพราะเงื่อนไขในการอนุญาตต้องมีการปรับแต่งเงื่อนไขทางกฎหมาย แปลว่า "ใช้การตัดสินใจทางการเมืองไปปรับแก้เงื่อนไขบางอย่างเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวกับโทษของคุณทักษิณ คือการสร้าง State of Exception (สภาวะยกเว้น) ขึ้น" โดยหลักคิดในทางรัฐศาสตร์ ในระเบียบการเมืองหนึ่ง การตัดสินใจทางการเมืองเพื่อสร้างสภาวะยกเว้นทางกฎหมาย ทำได้เฉพาะผู้กุมอำนาจอธิปไตยเท่านั้น

"ดังนั้นคำว่า 'ใคร' เงื่อนไขแวดล้อมทั้งหมดบ่งชี้ว่าคน ๆ นั้นเขามีอำนาจ เป็นอำนาจทางการเมืองและถึงระดับผู้ใช้อำนาจอธิปไตย" ศาสตราจารย์แห่งคณะรัฐศาสตร์ มธ. กล่าว

สิ่งที่ผู้นำพเนจร-ผู้มี 3 คดีทุจริตติดตัว (เฉพาะที่ยังไม่ขาดอายุความ) อาจไม่คาดคิดมาก่อนประกาศกลับบ้านคือ การถูกพรรคก้าวไกลยัดเยียดความปราชัยให้เมื่อ 14 พ.ค. 2566 หยุดสถิติพรรคไม่เคยแพ้ในสนามเลือกตั้งไว้ที่ 22 ปี

สุดท้ายวัน ว. เวลา น. กลับไทย จึงมาลงเอยในวันเดียวกับที่รัฐสภาลงมติเลือก เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค พท. เป็นนายกฯ คนที่ 30

ข้อวิเคราะห์ของ ศ.ดร.เกษียร คือ การที่ต้นทุนเปลี่ยน ไม่ได้ชัยชนะอย่างที่หวัง การปรับเปลี่ยนเงื่อนไขมันวิ่งกลับไปที่ผู้กุมอำนาจอธิปไตย วิ่งกลับไปที่คนดีลคนแรก ไม่ได้เท่าเดิมแล้วนะ ต้องปรับเงื่อนไขอย่างไรให้เป็นไปได้ เลยขยับไปขยับมา พะวักพะวนกลับไปกลับมา

ฝ่ายขวาไม่เป็นเอกภาพ ชนวนเกิด "นิติสงครามขัดขวางดีล"

นอกจากกลับมาเหยียบแผ่นดินในห้วงเวลาที่พรรค พท. ลงสู่จุดต่ำสุด ทักษิณ ยังต้องจ่ายต้นทุนเพิ่มจากการไม่ยอมติดคุกแม้แต่คืนเดียว เขาถูกย้ายตัว "ฉุกเฉิน" ออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครกลางดึกของ 22 ส.ค. 2566 ไปรักษาที่ รพ.ตำรวจ ชั้น 14 และพักอยู่ที่นั่นจนกระทั่งได้รับการ "พักโทษเป็นกรณีพิเศษ" เมื่อ 18 ก.พ. 2567

เมื่อมองย้อนกลับไป ศ.ดร.เกษียร คิดว่ามีการผสมของสิ่งที่มีการคิดคาดการณ์วางกรอบไว้ล่วงหน้า กับสิ่งที่คิดเฉพาะหน้าตามเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป ทว่าส่วนผสมหลังมีมากกว่าที่ควรจะเป็น ถ้าฟังจากคำให้การของ วิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ ในศาลฎีกาฯ เรื่องหมอแจ้งป่วย การจัดการของ รพ.ราชทัณฑ์ หรือ รพ.ตำรวจ เป็นการคิดแบบเฉพาะหน้ามาก ทำให้การเกลี่ยไม่เรียบ
"หน้าที่ของฝ่ายการเมืองผู้กุมอำนาจอธิปไตยคือ ทำอย่างไรจะเกลี่ยเงื่อนไขตรงนี้ให้รับได้กับฝ่ายกฎหมาย พอมีการเปลี่ยนสถานการณ์ ผลการเลือกตั้งไม่เป็นไปตามคาด มีการต่อรองกลับไปกลับมา การเกลี่ยเลยไม่เรียบ นำไปสู่การขึ้นศาล ถูกไต่สวนต่าง ๆ"


ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำสั่งว่าการบังคับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลถูกต้องหรือไม่ โดยมีหมายเรียกให้ ทักษิณ ไปฟังคำสั่งด้วยตนเอง 9 ก.ย.

"แต่ทั้งหมดนี้อาจไม่เป็นปัญหาก็ได้ถ้าฝ่ายขวาเป็นเอกภาพ" ศ.ดร.เกษียร พูดพลางหัวเราะ ก่อนยกเหตุผลสนับสนุนว่า พลังอนุรักษนิยมเป็นปฏิปักษ์กับ ทักษิณ มาตลอด และตอนนี้ก็เพิ่มโจทย์ว่าจะทำอย่างไรกับพรรคส้มดีขึ้นมาอีก ไม่ได้เป็นเอกภาพ การเลือกตั้งครั้งล่าสุดก็แตกออกเป็นเสียง "พรรคลุงตู่" กับ "พรรคลุงป้อม" พอมีดีลกรณี ทักษิณ อย่างน้อยมีอนุรักษนิยมกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วยกับดีลนี้ หรือคิดว่าการเกลี่ยออกมารูปแบบนี้ไม่ใช่ที่เขารับได้

"ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งมองกฎหมายเป็นเครื่องมือ passive (เชิงรับ) เพื่อให้ดีลทางการเมืองนี้จบสิ้นผ่านไปได้ อีกฝ่ายมองกฎหมายกลับกันคือเป็นเครื่องมือที่จะต่อต้านดีล เลยทำนิติสงครามกลับตาลปัตร ใช้นิติสงครามขัดขวางดีลนี้เพราะคุณเกลี่ยไม่เรียบ"

นักรัฐศาสตร์รุ่นใหญ่ชี้ชวนให้กลับไปพิจารณาที่ปัญหามูลฐาน "ตั้งแต่ผลัดแผ่นดิน อนุรักษนิยมไม่เป็นเอกภาพ ระดับการปรับตัวของฝ่ายขวามีไม่เท่ากัน บางคนพร้อมปรับรับเงื่อนไขใหม่ บางคนยังยึดติดกับระเบียบแบบเก่า หรือไม่เห็นที่ทางของตัวในอนาคตว่าในระเบียบใหม่เขาจะอยู่ตรงไหน เพราะภูมิทัศน์การเมืองมันเปลี่ยน... น่าสนใจอย่างหนึ่งคือกลุ่มรวมพลังแผ่นดินสู้เขมร คือคนที่ไม่มีบทบาทชัดเจนทั้งสิ้น"

ในมุมมองของ ศ.ดร.เกษียร ไม่มีฉันทามติในกลุ่มอนุรักษนิยมโดยรวมว่าทักษิณอยู่ตรงไหน มีบทบาทอะไร มีตำแหน่งใดในช่วงเปลี่ยนผ่าน แค่ทำให้พรรค พท. ตั้งรัฐบาลเพื่อกีดกันพรรคส้ม กีดกันการเปลี่ยนแปลงแบบไม่พึงประสงค์ หรือควรจะทำได้มากกว่านั้น ความต่างตรงนี้ทำให้ท่าทีต่อทักษิณ ที่เริ่มเคลื่อนไหวแตกต่างกัน

อภิสิทธิ์ชน ใน ปรากฏการณ์ก้อนหิมะ

สิ่งที่สังคมไม่รู้จนถึงทุกวันนี้คือ ก่อนอดีตผู้นำซึ่งมีสถานะ "นักโทษหนีคดี" จะกลับไทย มีการเจรจากี่รอบ กี่วง ใครเป็นตัวแทนพูดคุยบ้าง รายละเอียดของสัญญาเป็นอย่างไร เหล่านี้คือสิ่งที่ สุรนันทน์ สงสัยเช่นกัน แต่เขาเชื่อว่าน่าจะมีช่องโหว่ในการสื่อสารบางประการ และเมื่อมีการพระราชทานอภัยลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี ก็ต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ และปฏิบัติตามกฎของทางราชทัณฑ์

"ดีลคือให้คุณได้กลับบ้านแล้วคุณเข้าสู่กระบวนการ แต่ขั้นตอนที่เกิดบิดเบี้ยวขึ้นมา ผมไม่คิดว่าเป็นดีลของกลุ่มคนที่คุยกันว่าให้คุณทักษิณกลับมา กลับมาแล้วบ้านเมืองจะได้สงบ เขาคาดหวังอย่างนั้น มันไม่เกี่ยวกับขั้นตอนรายละเอียดที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้นและเหตุการณ์ต่อ ๆ มา"

จากเคยรับบท "เหยื่อ" ผู้ถูกยัดข้อหา-โดนกระทำซ้ำซากในรอบ 2 ทศวรรษ ทักษิณ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษโดยระบุว่า "ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา"

แม้เห็นใจที่นายเก่าต้องระหกระเหินอยู่ในต่างแดน 17 ปี และเข้าใจความรู้สึกไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นได้ แต่ สุรนันทน์ มองว่าเมื่อการดำเนินการต่าง ๆ ไม่ระมัดระวังและออกไปจากกระบวนการที่ควรจะเป็น ความชอบธรรมของ ทักษิณ จึงลดน้อยถอยลง

"คนก็จะบอกว่าท่านรับผิดแล้วนี่ และในหลวงทรงมีพระเมตตาอภัยลดโทษให้ ก็ต้องปฏิบัติตามนั้น อย่าลืมว่าประชาชนในประเทศไทยมีความรู้สึกอยู่แล้วว่ามีคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นอภิสิทธิ์ชน เวลาทำอะไรผิด ขับรถชนคนตายก็ไม่ติดคุก ขณะที่ลูกคนธรรมดาขับรถชนคนตาย ติดคุกตลอดชีวิด ที่ผ่านมาคุณทักษิณต่อสู้ในฐานะตัวแทนของคนด้อยโอกาส คนไม่มีสิทธิมีเสียง คนชนบท กลุ่มคนเสื้อแดง กลุ่มที่เป็นฐานเสียงตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทย ก็จะรู้สึกว่าท่านคือคนที่ปกป้อง ร่วมต่อสู้กับคนด้อยโอกาส แต่พอท่านกลับมาแล้ว อ้าว คุณก็อภิสิทธิ์ชนนี่หว่า"

อดีตนักการเมืองรายนี้เชื่อว่า หาก ทักษิณ ยอมติดคุก 180 วัน แล้วเข้าเกณฑ์พักโทษตามระเบียบราชทัณฑ์ ความรู้สึกของผู้คนจะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่เมื่อเลือกหนทางไม่ติดคุก พอไปบวกกับสถานะทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล "เศรษฐา" ซึ่งรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง 2566 ว่าเป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" และ "ไม่จับมือ 3 ป." เหมือนเป็นคนละเหตุการณ์ แต่เป็นเรื่องเดียวกันและทำให้คนเกิดความรู้สึก

"พอเกิด 2 เหตุการณ์ มันเลยเหมือนมี Snowball Effect (ปรากฏการณ์ก้อนหิมะ - สถานการณ์ที่บางสิ่งเริ่มต้นจากจุดเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ ก่อตัว เพิ่มความสำคัญหรือขนาดและอาจเกิดความเสียหายร้ายแรง) มันบวกกันไป แล้วไปว่ากันเองด้วยซ้ำ อ๋อที่ตระบัดสัตย์ก็เพื่อให้คุณทักษิณได้กลับบ้าน และเมื่อท่านได้กลับบ้านแล้ว ไม่ต้องอยู่ในคุก ทำให้เพื่อไทยยอมย้ายข้าง ผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์จริงเป็นอย่างไร แต่มันไปไกลแล้วทางการเมือง มันทำให้ประชาชนเชื่อไปแล้ว"


แพทองธาร ขอบคุณเพื่อนร่วมรัฐบาลในงานเลี้ยงพรรคร่วมฯ เมื่อ 22 ก.ค. พร้อมคาดหวังว่าจะได้มีโอกาสกลับมาทำ "รับใช้พี่น้องประชาชน รับใช้สถาบัน" หลังถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างรอคำนิจฉัย "คดีคลิปเสียง" คุยกับประธานวุฒิสภากัมพูชา

ไม่เพียงชนชั้นนำที่รู้สึกว่าถูกละเมิดเงื่อนไขในดีล "คืนความสงบให้ประเทศ" แต่ ทักษิณ เองคงรู้สึกไม่ต่างกัน สะท้อนผ่านคำปาฐกถาแรกของเขาในวาระครบปีที่เดินทางกลับไทยและกลายเป็นผู้บริสุทธิ์เต็มขั้น

"ตอนบินกลับมา เครื่องบินช้า กว่าจะถึงบ้านใช้เวลา 6 เดือน ต้องไปแวะ รพ.ตำรวจ" ทักษิณ กล่าวในงานดินเนอร์ทอล์กจัดโดยเครือเนชั่นเมื่อ 22 ส.ค. 2567

ต่อมา 17 ก.พ. 2568 อดีตประมุขฝ่ายบริหารถูกถามถึงดีลกลับประเทศบนเวทีปาฐกถาจัดโดย อสมท. เขาปฏิเสธว่า "ทางการเมืองไม่มีครับ ไม่มีดีลการเมืองกับใครเลย"

ผู้ดำเนินรายการยิงคำถามต่อ แสดงว่าไม่ใช่ดีลการเมือง แต่เป็นดีลอย่างอื่น ทักษิณ ถึงกับชะงัก ลดระดับไมโครโฟนลงต่ำ ก่อนเอ่ยว่า "ไม่ได้ดีล" แต่ผู้ดำเนินรายการยังไม่ลดละ ถามย้ำว่าไม่มีดีลการเมือง แล้วเป็นดีลแบบไหน อดีตนายกฯ ยังมีท่าทีอึกอัก-ยิ้มเจื่อน

"ไม่มีครับ ผมกลับมาแล้ว ผมจึงเข้าสู่ระบบ และก็ไปกราบบังคมทูลฯ ขอพระราชทานพระเมตตา ก็ได้รับพระเมตตา แค่นั้นเอง" ทักษิณ ตอบ

ย้อนจุดกำเนิด "ระบอบทักษิณ" ก่อนรับดีล "แช่แข็งลึกการเมือง"

ในปี 2541 นักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จก่อนผันตัวมาทำงานการเมือง-ก่อตั้งพรรค ทรท. ได้รับการขนานนามว่า "อัศวินคลื่นลูกที่ 3" "ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง" ในช่วงรัฐบาล "ทักษิณ 1" (2544-2548) ก่อนทะยานสู่อำนาจสูงสุดในฐานะผู้นำรัฐบาลพรรคเดียว (2548-2549) หลังนำไทยรักไทยคว้าชัยชนะในสนามเลือกตั้ง 2548 ด้วยยอด สส. 377 เสียง

เมื่อพินิจปัจจุบัน หลังเปลี่ยนตัวนายกฯ จาก เศรษฐา เป็น แพทองธาร ในปี 2567 พ่อนายกฯ วัย 76 ปี ต้องออกหน้า-แสดงพลังเพื่อรักษาสถานะของบุตรสาว แต่ดูเหมือนฟอร์มของชายผู้ประกาศตัวเป็น "สทร." จะผิดแผกไปจากเมื่อ 20 ปีก่อน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

"ผมคิดว่าความสำเร็จทางเศรษฐกิจของไทยรักไทยหรือทักษิณยุคแรก เป็นความสำเร็จทางเศรษฐกิจที่เกิดจากเขากล้ารุกทางการเมือง รุกต่อระเบียบอำนาจเดิม" ศ.ดร.เกษียร ให้ความเห็น

จากนั้นเขาไล่เลียงโจทย์บ้านเมือง-การเมืองไทยในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 จากการที่ "เทคโนแครตเจ๊ง" รัฐราชการล้มเหลวในการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาค ขณะเดียวกัน "เลือกตั้งธิปไตย" คือการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งแบบนักการเมืองบ้านใหญ่ยังเข้าไปแทรกแซงจนเทคโนแครตเสียผู้เสียคน และยังเจอ "โลกาภิวัฒน์สุดโต่ง" เมื่อทั้งหมดประกบเข้าด้วยกันจึงกลายเป็น "วิกฤตต้มยำกุ้ง"

ขณะที่ผู้นำรัฐบาลไทยรักไทยได้เข้ามารุกทางการเมือง ปรับเปลี่ยนดุลอำนาจของบ้านเมืองหลายอย่าง
  • ชาวบ้านกับรัฐราชการ: ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าเป็นบุคคลสำคัญ ใหญ่กว่าข้าราชการที่เคยเป็นเจ้านายเขา กลายเป็นลูกค้าที่ราชการต้องคอยบริการ และทำให้ระบบราชการต้องมาสยบสยอมต่อฝ่ายการเมือง
  • พรรคใหญ่คุมบ้านใหญ่: ทำให้บ้านใหญ่ต้องมาขึ้นสังกัดพรรคใหญ่ เหมือนสาขา 7-11 ต้องสังกัดสำนักงานใหญ่ซีพี (CP)
  • กลุ่มทุน: ทักษิณ สามารถเข้าไปเป็น "ผู้จัดการการตัดแบ่งเค้ก" ได้ แทนที่จะเป็นทุนผูกขาด ถ้าใครไม่ยอมก็จะโดนกดดันโดยอำนาจรัฐและอื่น ๆ
นักรัฐศาสตร์ผู้บัญญัติศัพท์ "ระบอบทักษิณ" เห็นว่า เงื่อนไขหลังเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งและการรุกคืบทางการเมืองได้สำเร็จ ทำให้ "ระบอบทักษิณเปล่งอานุภาพได้เต็มที่" ทั้งหมดนี้ทำในจังหวะที่รุกทางเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศด้วย เพราะปีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล "ทักษิณ 1" เป็นปีเดียวกับที่จีนเข้าเป็นภาคีสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) เต็มตัว แปลว่าระเบียบการค้าโลกเปลี่ยน

"การดึงจีนเข้า WTO คือการดึงผู้ผลิตส่งออกหลักเชิงโครงสร้างเข้ามา ในขณะที่ระเบียบเศรษฐกิจแบบเดิม สหรัฐฯ คือผู้บริโภคนำเข้าหลักเชิงโครงสร้างหลักโลก มันจึงเกิดความสัมพันธ์คู่สวาทขึ้นมา 2 ฝั่ง โดย ทักษิณ และทีมที่ปรึกษากระโดดเข้าไปเต็มตัว ไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่เข้าไปจับมือกับจีนเป็น 'คณะเสี่ยวเอ้อส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งมีจีนเป็นหัวหน้า' จังหวะนั้นเศรษฐกิจไทยจึงบูมตามจีน เพราะเชื่อมการผลิตตัวเองเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของจีน" ศ.ดร.เกษียร มองย้อนกลับไป


ศ.ดร.เกษียร เห็นว่า ความแตกต่างของ ทักษิณ ในปัจุบันคือ "ด้อยอำนาจรัฐลง ด้อยอำนาจทางการเมืองลง ด้อยคำตอบในโจทย์ที่เปลี่ยนไป"

กลับมาดูสถานการณ์ของรัฐบาล "แพทองธาร" อาจารย์เกษียรเห็นว่า ภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกเปลี่ยน ไม่มีจีน-สหรัฐฯ มีแต่สงครามการค้าและสงครามเย็นรอบ 2 แปลว่าห่วงโซ่อุปทานที่จีนวางไว้แล้วไทยสังกัดอยู่ในนั้น มันต้องเปลี่ยนที่ แล้วไทยอยู่ตรงไหน จะร่วมกับจีนต่อหรือสร้างห่วงโซ่อุปทานขึ้นใหม่ จะเชื่อมกับอเมริกาอย่างไร เช่นเดียวกับภูมิทัศน์อำนาจในประเทศที่เปลี่ยนไปภายใต้ คสช. ระบบราชการนำโดยทหารแข็งแกร่งขึ้น บ้านใหญ่ไปสยบทหาร ส่วนมวลชนเสื้อแดงที่ช่วงหนึ่งเคยเชื่อมกับพรรคทักษิณแบบหลวม ๆ ก็ไม่ได้รักผูกพันแนบแน่นแบบเดิม

ศ.ดร.เกษียร กล่าวว่า กลับมารอบนี้ ทักษิณ ไม่ได้รุกการเมือง ไม่มีพันธมิตรการเมือง ไม่ได้อยู่ในสถานะเดิมที่เคยอยู่ ตรงกันข้ามเขารับดีลที่จะ Deep Freeze (แช่แข็งลึก) การเมืองไทย การห้ามแตะต้องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นเพียงอาการแสดงออกด้านบน แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือการไม่พยายามไปขยับรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเป็นระเบียบอำนาจที่ฝ่ายเลือกตั้งมีตัวสกัดเต็มไปหมดและถูกคุมพลังอำนาจไว้

"ดังนั้นคนที่มาหาคุณทักษิณด้วยความประทับใจในภาพจำที่มีต่อคุณทักษิณ อันนี้จะเป็นคนที่ทำร้ายคุณทักษิณที่สุด เพราะแกทำให้ไม่ได้หรอก" ศ.ดร.เกษียร กลั้วหัวเราะ ก่อนพูดต่อไปว่า ภูมิทัศน์มันเปลี่ยนไปหมดแล้วทั้งในโลกและในประเทศไทย หากโยนความหวังเดิม ๆ ทิ้งไป แล้วมอง ทักษิณ เป็นตัวละครหนึ่ง ก็จะไม่ผิดหวัง แต่เนื่องจาก ทักษิณ เองก็หากินกับภาพจำนั้น หากินกับความคาดหวัง ก็ต้องทุกข์ทรมานไปเพราะเขาทำให้ไม่ได้

เทียบยุค ทรท. กับ สทร. ทำไม "นายใหญ่" ผิดฟอร์ม

สุรนันทน์ เป็นหนึ่งในบุคคลที่เข้าไปร่วมงานกับหัวหน้าพรรค "คิดใหม่ ทำใหม่" ด้วยความเชื่อมั่น 100% ในความตั้งใจของหัวหน้าพรรค ทรท. ส่วนฟอร์มที่ผิดไปในยุค สทร. บีบีซีไทยขอรวบยอดความคิดจากคำให้สัมภาษณ์ของ สุรนันทน์ สรุปเป็น 6 ปัจจัย ดังนี้
  • ศัตรูเก่า: การต่อสู้ในรอบ 20 ปี ไม่ได้เสริมสร้างให้ ทักษิณ เป็นวีรบุรุษ แต่ทำให้เกิดความขัดแย้งที่อดีตนายกฯ มีศัตรูทางการเมืองถาวร "ศัตรูทางการเมืองเก่า ๆ ที่ไม่ไว้วางใจอยู่แล้วชี้ให้เห็นเลยว่า กลับมาแล้วก็ยังแสวงหาอำนาจและรุนแรงกว่าเดิมด้วย"
  • คิดใหม่: สิ่งที่พรรค พท. ทำ ไม่ได้เป็นนโยบายก้าวหน้าเหมือนสมัยพรรค ทรท. แต่กลายเป็น "ประชานิยมที่เสมือนจะไปซื้อเสียงกับประชาชนเพื่อที่จะกลับสู่อำนาจหรือคงอำนาจนั้นไว้" สร้างความผิดหวังให้คนที่เคยชื่นชอบ ทักษิณ และเชื่อว่าพรรค พท. จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ อีกทั้งเงื่อนไขทางเศรษฐกิจได้เปลี่ยนไปแล้ว ความคิดก้าวหน้าในสไตล์ทักษิณไม่ใช่ความคิดใหม่ แต่เป็นโมเดล 20 ปีมาแล้ว
  • นายใหญ่: ทักษิณ อาจคิดว่าด้วยอำนาจ จะสามารถเอาทุกคนมาอยู่ใต้ร่มธงของตัวเองได้แม้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล มีความพยายามบีบให้เข้าไปอยู่ในพรรค พท. ด้วยซ้ำ แต่ความจริงคือตอนนี้ทุกคนโตแล้ว "คุณอนุทิน (ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย) ไม่ใช่เด็กเหมือนเดิม คุณเนวิน (ชิดชอบ ผู้มีบารมีพรรค ภท.) ก็เคยหักกับคุณทักษิณ คงมีบางอย่างที่ไม่อยากกลับมาอยู่ภายใต้ร่มธงนั้น เป็นพันธมิตรกันได้ เป็นพรรคร่วมฯ ได้ แต่ไม่เป็นลูกน้อง นั่นคือปัจจัยที่คุณทักษิณอาจประเมินผิด"
  • พรรคใหญ่: ข้าราชการซึ่งถือเป็น "พรรคใหญ่ที่สุด" เป็นอีกปัจจัยที่อดีตนายกฯ "ประเมินผิดมาก" เพราะพรรค พท. มีอำนาจครั้งสุดท้ายเมื่อ 10 ปีก่อน อธิบดีคือคนที่ พล.อ.ประยุทธ์ หรือนักการเมืองพรรคร่วมฯ ในช่วงปี 2562-2566 ตั้งมา จึงเห็นได้ว่าการสั่งงานราชการมีความยากลำบากตั้งแต่ยุคนายกฯ เศรษฐา ต่อเนื่องมาถึงยุคนายกฯ แพทองธาร ตอนนี้รองนายกฯ ภูมิธรรม เวชยชัย จึงต้องแสดงอำนาจในการทุบ
  • ทุนใหญ่: ทุนเปลี่ยนไปสู่ยุคทุนพลังงาน เชื่อว่า ทักษิณ ซึ่งเป็นทุนยุคเทเลคอมเข้าใจเรื่องนี้ดีเพราะอยู่ในกระบวนการเช่นกัน แต่เจ้าสัวหรือทุนที่ไม่ปรากฏเป็นเจ้าสัวตามหน้าหนังสือพิมพ์ขยับมากขึ้น และอาจไม่ยอมรับหรือไม่ยอม ทักษิณ ทั้งหมด ส่วนทุนเก่าหลายคนก็อยู่ในขบวนการชนชั้นนำและมองว่าอดีตนายกฯ เป็นภัย
  • นายน้อย: การขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ ของ แพทองธาร ในจังหวะที่ยังไม่พร้อม "ทำให้การเมืองยิ่งบิดเบี้ยวไปใหญ่" เพราะไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองเลย ไม่สามารถสื่อสารทางการเมืองได้
2 นายกฯ ชินวัตร ในงานเสวนา "ปลดล็อกประเทศไทย" จัดโดย อสมท. เมื่อ 18 ก.ค. 2568

"ทักษิณหมอบไม่เป็น"

"คุณทักษิณมีดีลไม่มีดีล เราไม่รู้ แต่ท่านกลับมาติดค่ายกลของชนชั้นนำในกรุงเทพฯ ที่วางเอาไว้ เพราะไม่มีทางเลือก อยากกลับบ้าน พอเดินเข้าไปปั๊บก็ติดค่ายกล ก็ต้องออกอาวุธ ต้องฟาดฟันไป ทีนี้ไม่ใช่ตัวคนเดียว มันบวกลูกสาวด้วย เพราะลูกสาววิทยายุทธยังไม่ถึง ยังช่วยตัวเองไม่ได้ คุณทักษิณก็ต้องฟาดฟันเพื่อทั้งปกป้องสถานะตัวเองและเพื่อรักษาลูกให้ได้ ต้องฝ่าไปให้ได้ มันก็เลยบาดเจ็บ สะบักสะบอม ถูลู่ถูกังไป"

ปัญหาคาใจของอดีตคนการเมืองซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นอยู่ในใจใครหลายคนคือ "ทำไมเราต้องติดกับอยู่ตรงนี้กับ 2 พ่อลูกด้วย" และ "ทำไมต้องเอาประเทศไปผจญกรรมด้วย"

ในสายตาของ สุรนันทน์ แพทองธาร ทำให้บ้านเมืองอยู่ในภาวะแดนสนธยามาเดือนกว่า เพราะไม่มีนายกฯ "การไม่ลาออก ผมมองว่าคือไม่ยอมแพ้ แต่มันทำให้ระบบเสีย" ถึงแม้ผลการตัดสินคดีคลิปเสียงจะออกมาเป็นคุณแก่นายกฯ ก็ไม่ได้หมายความว่าความชอบธรรมจะกลับคืนมา

เช่นเดียวกับคดีชั้น 14 ที่ลูกน้องเก่ามองว่า ไม่น่าจะเป็นคุณแก่ ทักษิณ เท่าไร และอาจทำให้เครดิตลดลงอีก "ถ้านักการเมืองไม่ติดคุก แต่ข้าราชการที่ช่วยเหลือคุณทักษิณติดคุก คิดว่าระบบราชการจะเดินงานให้คุณทักษิณไหม"

ถึงวันนี้ ทักษิณ ยังมีอาวุธอะไรหลงเหลืออยู่หรือไม่ที่จะช่วยให้รอดพ้นจากวิบากกรรมทางคดี บีบีซีไทยถาม

"คำตอบของผม ท่านคงไม่ชอบ ผมคิดว่าท่านต้องหมอบ เพราะท่านออกอาวุธหมดตัวแล้ว" สุรนันทน์ พูดยิ้ม ๆ ก่อนปิดท้ายประโยคว่า "แต่คุณทักษิณหมอบไม่เป็น"

2 ปี ทักษิณ กลับไทย ประเทศได้อะไร

สรุปแล้ว 2 ปีที่ ทักษิณ กลับไทย ประเทศชาติได้อะไร

"ประเทศเสียหาย ประเทศไม่ได้อะไรเลย" สุรนันทน์ ให้ความเห็น ก่อนชี้ชวนให้ทบทวนข้อวิเคราะห์ดั้งเดิมของเขาที่ว่าชนชั้นนำในกรุงเทพฯ ให้ ทักษิณ กลับไทยเพราะอยากให้บ้านเมืองสงบ แต่ผลที่เกิดขึ้นออกมาตรงกันข้าม

"ถ้าคุณทักษิณต้องการลงไปในประวัติศาสตร์ในฐานะรัฐบุรุษ คุณทักษิณต้องเสียสละ รัฐบุรุษทุกคนเสียสละ... ถ้าไม่เสียสละแล้วยังสู้ต่อไป ผมว่าประเทศไม่ได้อะไร จะเสียหายหนักขึ้น แล้วคุณทักษิณกับคุณแพทองธารก็จะมีที่ยืนในสังคมลำบากมากซึ่งผมไม่อยากเห็น"


สุรนันทน์ ระบุว่า ทักษิณจำเป็นต้องรวบอำนาจในมือเพื่อรักษาสถานะลูกสาวตัวเอง

ขณะที่ทัศนะของ ศ.ดร.เกษียร สิ่งสังคมได้ในช่วง 2 ปีคือ "ได้เห็นขีดจำกัดทางประวัติศาสตร์ของระบอบทักษิณ"

เขาชี้ว่า ระบอบทักษิณ "จบไป" ตั้งแต่รัฐประหาร 2557 ซึ่งโจทย์การเมืองเปลี่ยน เพราะ คสช. เข้ามาเปลี่ยน และนำไปสู่ความต้องการต่อสู้กับระเบียบของ คสช. และเห็นว่าพรรคส้มกลายเป็นคู่ชกของระเบียบแบบที่ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งไว้แทน

"ผมไม่รู้สึกว่าเราจะเรียกคุณทักษิณว่า 'ระบอบทักษิณ' ได้อีก มันมีบทบาทประวัติศาสตร์ของมัน อาจพูดได้ว่าถ้ามองย้อนกลับไป 20 ปี คุณอธิบายความเปลี่ยนแปลงระเบียบการเมืองไทยหลัง 2535 ที่มีพระมหากษัตริย์ที่มีพระราชอำนาจนำที่เข้มแข็งมากไม่ได้ ถ้าไม่วางระบอบทักษิณลงไป ระบอบทักษิณมีผลมากในช่วงความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เขารุกทางการเมือง เขาเสนอแนวทางทางการเมืองแล้วมันรุกต่อระบอบ"

ในเงื่อนไขสถานการณ์ปัจจุบัน ศ.ดร.เกษียร กล่าวว่า พลังเก่าก็ไม่เข้มแข็งพอ การใช้กำลัง-อาวุธ-รัฐประหารพิสูจน์แล้วว่าไม่บรรลุผลสำเร็จตามที่คาดหมาย ขณะเดียวกันพลังใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งก็ไม่สามารถพลิกเกมได้ ข้อเรียกร้องต้องการที่จำเป็นในภาวะครึ่ง ๆ กลางๆ คือหาจุดที่จะทำให้การเมืองใหม่กับการเมืองเก่าเชื่อมเข้ากันได้แล้วก็เดินหน้าได้ ถ้าใครทำอันนี้ได้จะมีโอกาสช่วงชิงความนิยม และเห็นอนาคตความคาดหวังของระเบียบการเมืองไทย

"คุณทักษิณและเพื่อไทยเคยอยู่ตรงจุดที่จะทำอันนี้ได้ เป็นพรรคกลางเก่ากลางใหม่ มีเชื้อมูลของพวกบ้านเก่า รู้จักการทำงานของระบบราชการดี เคยครองอำนาจรัฐมาแล้ว เป็นพลังที่เหมาะมากในการเชื่อมการเมืองเก่ากับการเมืองใหม่แล้วเดินหน้าไปได้ แต่แกดันเอาอันนี้ไปดีลเสียแล้วเพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว ส่วนครอบครัว ส่วนพรรคอะไรก็แล้วแต่ มันก็เลยแบบ... แกไม่มีอะไรจะขายแล้ว" ศ.ดร.เกษียร บอก

เขากล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่แย่ยิ่งกว่าการไม่เหลือต้นทุนคือ กรณีคลิปฮุนเซนและสงครามที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการไม่ไว้วางใจ ทักษิณ จาก "ใบอนุญาตที่ 2" ซึ่งยากจะกู้คืน

https://www.bbc.com/thai/articles/c8e1gn7nz4do