จากดีลลับสู่ปะทะเดือดไทย-กัมพูชา: เปิดประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ความมั่นคงไทยในมหาสมุทรอินเดีย
ปณิศา เอมโอชา
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
31 กรกฎาคม 2025
ย้อนกลับไปช่วงต้นเดือน ก.ค. การเจรจาภาษีการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่ไม่คืบหน้า ได้ทำให้สื่อไทยหลายสำนักเริ่มเผยแพร่ประเด็นข่าวออกมาว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ "เงื่อนไข" หรือ "ข้อต่อรอง" อาจไม่ได้อยู่แค่เรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น
หลายฝ่ายอ้างว่าอาจมีประเด็นทางการเมือง อาทิ กรณีรัฐบาลไทยส่งชาวอุยกูร์คืนให้กับจีน คดีความที่เกี่ยวข้องกับนักวิชาการชาวอเมริกันอย่าง นายพอล แชมเบอร์ส รวมถึงประเด็นความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับภูมิรัฐศาสตร์
ต่อมาตัวแทนจากฝั่งกองทัพรวมไปถึงรักษาการนายกรัฐมนตรีได้ออกมาปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าไม่เคยมี "ดีลด้านความมั่นคง" เกิดขึ้นในการเจรจาปรับลดภาษีการค้า ทว่าเรื่องนี้กลับกลายเป็นประเด็นที่สังคมทั้งตั้งคำถามและจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่สหรัฐฯ จะหันมาให้ความสนใจกับการกลับมาตั้งฐานประจำการทางทหารในภาคพื้นอินโด-แปซิฟิก โดยเฉพาะชายฝั่งทะเลอันดามันของไทย
ต่อมาเมื่อวันที่
26 ก.ค. ความรุนแรงชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทุขึ้นอย่างหนักจนลามมาถึงพื้นที่จังหวัดตราด ส่งผลให้กองทัพเรือภาคที่ 1 ต้องส่งหมวดเรือเฉพาะกิจ 4 ลำ ประจำการเกาะกูด พร้อมยิงสนับสนุนภายใต้ "ยุทธการตราดพิฆาตไพรี 1"
ล่าสุดนายฮาวเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยในการให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (30 ก.ค.) ว่า สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าเกี่ยวกับภาษีนำเข้าจากไทยแล้ว หลังจากเหลือเวลากำหนดเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค. เพียงหนึ่งวัน และการบรรลุข้อตกลงนี้มีขึ้นภายหลังจากการเรียกร้องของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ให้ไทยและกัมพูชายุติการสู้รบที่ดุเดือดตลอดแนวชายแดนที่กำลังมีข้อพิพาทกันจนนำมาสู่การตกลงหยุดยิงของทั้งสองฝ่ายในเวลาต่อมา โดยมีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย
ด้านายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงผ่านเอกสารข่าวในวันนี้ว่า ขณะนี้ ไทยยังไม่ได้รับการแจ้งผลภาษีการค้าจากสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ โดยคาดว่าจะได้รับแจ้งภายใน 24 ชั่วโมง และยืนยันทีมเจรจาไทยทำงานเต็มที่ เสนอเงื่อนไขและข้อแลกเปลี่ยนที่ไทยสามารถยอมรับได้ โดยพยายามรักษาผลประโยชน์ของประเทศไว้ให้มากที่สุด
บีบีซีไทยพูดคุยกับนักวิชาการด้านภูมิรัฐศาสตร์เพื่อเปิดประเด็นความสำคัญของยุทธศาสตร์ทางทะเลไทยที่เชื่อมโยงมหาสมุทรอินเดีย ผลประโยชน์ที่มหาอำนาจกำลังจับตา และจุดยืนที่ไทยต้องรักษาและไม่อาจมองข้าม
ประเด็นดีลฐานทัพสหรัฐฯ ในไทยมีจุดเริ่มต้นมาอย่างไร ?
"อย่างบางทีเขามาขอบางอย่าง ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับเศรษฐกิจเลย มันไปเกี่ยวกับความมั่นคง เราก็ต้องว่า เห้ย! ขออย่างนี้ นำสงครามมาบ้านเรา เราก็ไม่เอา" ทักษิณ ชินวัตร กล่าว เมื่อวันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา
เมื่อวันที่
8 ก.ค. การเจรจาการค้าเพื่อปรับลดอัตราภาษีนำเข้า (tariff) สินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ ไม่คืบหน้า ทั้งยังมีข้อมูลว่าจะโดนอัตราภาษีสูงเท่าเดิมถึง 36%
ในวันถัดมา อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ขึ้นแสดงวิสัยทัศน์พร้อมกับสนทนากับบรรณาธิการ 3 คน ของเครือเนชั่นในประเด็น
ผ่าทางตันประเทศไทยในช่วงท้าย ๆ ของการสนทนา เขาได้กล่าวถึงการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ โดยตรงทักษิณกล่าวว่า "อย่างบางทีเขามาขอบางอย่าง ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับเศรษฐกิจเลย มันไปเกี่ยวกับความมั่นคง เราก็ต้องว่า เห้ย! ขออย่างนี้ นำสงครามมาบ้านเรา เราก็ไม่เอา ('เช่น ๆ ขอใช้ฐานทัพ') ผมกลัวจะเป็นยูเครนนะไม่เอา"
เมื่อพูดประโยคนี้จบ พิธีกรคนหนึ่งยังถามขึ้นมาว่า "เคยได้ยินมาไหมว่ามีคำขอมาใช้ฐานทัพอู่ตะเภา" ซึ่งทักษิณตอบกลับว่า "ผมไม่ขอพูดในรายละเอียด แต่ว่าเราต้องดูทุกมิติ"
หลังจากนั้นสื่อไทยหลายสำนักต่างก็ตีข่าวเรื่องดีลที่สหรัฐฯ ขอใช้ฐานทัพเรือทับละมุ ที่จังหวัดพังงา จนเป็นข่าวดังและมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
กระทั่งในวันที่ 15 ก.ค. ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาปฏิเสธว่า รายงานข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีการเจรจาหรือยื่นขอเสนอในลักษณะดังกล่าว
อย่างไรก็ดี หนึ่งวันก่อนหน้านั้น เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามเรื่องความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ ขอใช้ฐานทัพเรือทับละมุ จังหวัดพังงา เพื่อเป็นยุทธศาสตร์ถ่วงดุลอำนาจกับจีน นายภูมิธรรมตอบกลับว่า ฝั่งกองทัพยังไม่ได้ชี้แจงในรายละเอียด แต่ "อยู่ในแผนงานของกองทัพเรืออยู่แล้ว ไม่มีอะไร"
แม้ว่าฝ่ายรัฐของไทยจะออกมาปฏิเสธรายงานดังกล่าว แต่หลายฝ่ายต่างสนใจความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากอดีตจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะด้านความมั่นคงทางทะเลในมหาสมุทรอินเดียที่เริ่มชาติมหาอำนาจต่างพยายามเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
วิเคราะห์ปัญหา 3 ประการ จากกรณีสหรัฐฯ ตั้งฐานทัพในต่างแดน
บีบีซีไทยได้สนทนากับ
ฐิตา แสงหลี ผู้ร่วมวิจัย สังกัดโครงประเทศไทยศึกษา แห่งสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS-Yusof Ishak Institute) ประเทศสิงคโปร์ เพื่อวิเคราะห์ฉากทัศน์ต่าง ๆ ของภูมิรัฐศาสตร์ทางทะเล รวมถึงอนาคตของไทย
"การตั้งฐานทัพ ไม่ว่าอีกฝั่งจะเป็นมิตรกับเราขนาดไหน หรือมีกลยุทธ์ตรงกันขนาดไหน มันก็จะมีปัญหาอยู่ดี" ฐิตา เริ่มต้นอธิบาย
เธอกล่าวว่า ปัญหาประการแรกที่จะเกิดขึ้นคือการสูญเสียอธิปไตย (sovereignty) "ไม่มากก็น้อย" พร้อมยกตัวอย่างกรณีที่สหรัฐฯ เข้าไปตั้งฐานทัพในจังหวัดโอกินาวาของญี่ปุ่น บนข้อตกลงที่จำกัดสิทธิของทางการญี่ปุ่นให้ไม่สามารถเข้าไปมีสิทธิมีเสียงได้
เมื่อสืบค้นเพิ่มเติม บีบีซีไทยพบว่า
ภายใต้ข้อตกลงสถานะของกองกำลัง หรือ (Status of Forces Agreement - SOFA) นับจนถึงปัจจุบันนี้ ทางการญี่ปุ่นไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบหรือปฏิบัติการใด ๆ ในฐานทัพของสหรัฐฯ ได้อย่างอิสระโดยปราศจากคำอนุญาตจากกองทัพสหรัฐฯ ก่อน

ภาพถ่ายดาวเทียมในปี 2025 ของบริษัทแม็กซาร์ (Maxar) ซึ่งแสดงให้เห็นภาพมุมสูงที่ชัดเจนของฐานทัพอากาศคาเดนา (Kadena Air Base) บนเกาะโอกินาวา ภาพนี้เผยให้เห็นเครือข่ายรันเวย์ทั้งหมด โรงเก็บเครื่องบิน และพื้นที่เมืองใกล้เคียง
อีกทั้งเมื่อทหารต่างชาติกระทำความผิด จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศเจ้าบ้าน ในกรณีของญี่ปุ่น ผู้กระทำความผิดที่อยู่ภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ จะถูกส่งมอบให้กับทางการญี่ปุ่นก็ต่อเมื่อได้รับการพิสูจน์ว่ามีความผิดแล้วเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากเหตุการณ์ที่ทหารสหรัฐฯ 3 นาย ก่อเหตุข่มขืนเด็กหญิงชาวโอกินาวาวัย 12 ปีในปี 1995 ทั้งสองประเทศจึงได้ตกลงว่าในกรณีที่เป็น "อาชญากรรมร้ายแรง" เช่น การข่มขืน ผู้ต้องสงสัยจะถูกส่งตัวให้ทางการญี่ปุ่นควบคุมตัวโดยตรงตั้งแต่ต้น

ผู้ชุมนุมฝ่ายตรงข้าม (คนที่สองจากขวา) เผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านฐานทัพสหรัฐฯ (ไม่ปรากฏในภาพ) ระหว่างการเดินขบวนในกรุงโตเกียว เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีที่สหรัฐฯ คืนเกาะโอกินาวาให้กับญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2022
กระแสต่อต้านการตั้งฐานทัพและการทวงคืนอธิปไตยบนเกาะโอกินาวาเกิดขึ้นเรื่อยมา โดยในช่วงทศวรรษล่าสุด บีบีซีไทยพบว่ามีตัวอย่างเหตุการต่อต้านการตั้งฐานทัพหรือการขยายฐานทัพ อาทิ ในปี 2019 ชาวโอกินาวาลงเสียงประชามติกว่า
70% คัดค้านการก่อสร้างฐานทัพใหม่บริเวณชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ทว่ารัฐบาลกลางในขณะนั้นซึ่งนำโดยชินโซ อาเบะ เลือกเดินหน้าต่อ
ต่อมาในปี 2022 ในงานครบรอบการคืนเกาะโอกินาวาจากการครอบครองของสหรัฐฯ มี
รายงานการประท้วงทวงคืนอธิปไตยในญี่ปุ่นเช่นกัน
ตามข้อมูลจาก
จังหวัดโอกินาวา ปัจจุบันมีฐานทัพสหรัฐฯ ทั้งหมด 31 แห่งบนเกาะแห่งนี้ ซึ่งหมายความว่าพื้นที่ถึง 70.6% ของที่ดินในญี่ปุ่นที่ใช้เฉพาะสำหรับฐานทัพทหารสหรัฐฯ กระจุกตัวอยู่ในจังหวัดโอกินาวาเพียงจังหวัดเดียว

สำหรับปัญหาประการที่สอง ฐิตาอธิบายว่าเป็นเรื่องการเมืองภายในประเทศ ซึ่งแต่ละฝ่ายสามารถนำความเคลื่อนไหวทางทหารครั้งนี้มาใช้เป็นเกมหรือข้ออ้างทางการเมืองได้
"การมาตั้งฐานทัพเป็นเรื่องที่คนไทยอ่อนไหวมาก ๆ ไม่เห็นว่าพรรคการเมืองไหนจะกล้า เพราะมันเป็นการฆ่าตัวตาย และดูไม่มีประโยชน์" ฐิตาเสริม
ขณะที่ประการสุดท้าย นักวิจัยหญิงกล่าวว่าคือเรื่องเศรษฐกิจ เธอเสริมว่าตอนที่มีกระแสข่าวเรื่องการเข้าขอเข้ามาตั้งฐานทัพที่จังหวัดพังงา อาจมีผู้คนส่วนหนึ่งมองว่ากองทัพฯ ย่อมมาพร้อมกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เนื่องจากจำนวนทหารที่จะเข้ามาประจำการ
อย่างไรก็ดี ฐิตา เตือนว่า เวลามีข้อตกลงจนเกิดการมาตั้งฐานทัพจริงก็อาจกระตุ้นเศรษฐกิจได้แทบจะทันที ทว่า "สมมติ[ฐานทัพ]ออกไป เขาหายไปเลย มันเป็นเรื่องของความมั่นคง มาเร็วไปเร็ว"
มหาสมุทรอินเดีย: "พื้นที่[มหาอำนาจ]แข่งขันแย่งชิงสูงสูดแห่งหนึ่งของโลก"ภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันของไทยนั้นติดอยู่กับมหาสมุทรอินเดียซึ่งตาม
งานศึกษาจากสถาบันคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ ซึ่งเผยแพร่เมื่อปี 2023 พบว่ามหาสมุทรอินเดียมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดกับเศรษฐกิจและการค้าโลก
แต่ละปี 80% ของน้ำมันที่ต้องขนส่งทางทะเล (maritime oil) และปริมาณสินค้าเกือบพันล้านตัน จะต้องใช้บริการเส้นทางนี้
ฐิตาเล่าว่าพื้นที่บริเวณนี้เป็น "พื้นที่ที่มีการแข่งขันสูงที่สุดพื้นที่หนึ่งของโลก ทุกฝ่ายมากันหมด อินเดียก็อยู่ จีน รัสเซียก็มา มหาอำนาจฝั่งยุโรป อย่างอังกฤษก็ส่งเรือมาลาดตระเวน ฝรั่งเศสก็เพิ่งพูดว่าจะกลับมา"
เธอเสริมว่า สำหรับสหรัฐฯ ชาติมหาอำนาจแห่งนี้ก็มีการขยายอำนาจทางทะเล (Maritime Force Projection) ในพื้นที่มหาสมุทรอินเดียเช่นเดียวกัน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ เพิ่งลงนามกับมอริเชียสเพื่อจะใช้ฐานทัพบนเกาะดิเอโก การ์เซีย (Diego Gracia) ซึ่งตั้งอยู่กลางมหาสมุทรอินเดียไปอีกอย่างน้อย 99 ปี และปัจจุบันนี่เป็นฐานทัพแห่งเดียวของสหรัฐฯ ในมหาสมุทรอินเดีย
ฐิตาเสริมว่า สหรัฐฯ เองก็พยายามเพิ่มพันธมิตร ทั้งที่เห็นได้จากกรณีของฟิลิปปินส์และสิงคโปร์ ทว่าเธอย้ำว่านั่นเป็นเพียงความร่วมมือการเข้าใจฐานทัพแบบหมุนเวียน ไม่ใช่การตั้งฐานทัพถาวร

พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ (ซ้าย) จับมือกับ กิลเบิร์ต เตโอโดโร รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์ (ขวา) ระหว่างการเยือนค่ายอากินัลโด เมืองเกซอน กรุงมะนิลา เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคง และหารือเกี่ยวกับข้อกังวลในทะเลจีนใต้
สำหรับฟิลิปปินส์ บีบีซีไทยพบว่ามี
ข้อตกลงการขยายความร่วมมือด้านการทหาร (Enhanced Defense Cooperation agreement-EDCA) กับสหรัฐฯ ซึ่งมีการลงนามไปตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งอนุญาตให้สหรัฐฯ เข้ามาลงทุนและใช้ฐานทัพ 5 แห่งของฟิลิปปินส์แบบหมุนเวียน ก่อนที่ในภายหลังจะเพิ่มเป็น
9 แห่งสำหรับสิงคโปร์ ทั้งสองประเทศมีการลงนามที่
บังคับใช้ถึงปี 2035 ให้สหรัฐฯ สามารถแวะจอดเรือเพื่อซ่อมบำรุง เติมเสบียงหรือเชื้อเพลิง และเป็นฮับของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้
"ชัดเจนว่าจะล้อมจีน ส่วนจีนที่เข้ามามีบทบาทบริเวณนี้ก็เพราะต้องการรักษาผลประโยชน์ในการส่งน้ำมัน เพราะตรงนี้เป็นเส้นทางหลักถึง 80-90%" ฐิตา เสริม
เมื่อหันมามองที่ฝั่งจีน ฐิตาอธิบายว่าหลายคนเองเข้าใจผิดว่าจีนมีฐานทัพหลายแห่งในมหาสมุทรอินเดีย แต่ที่จริงแล้วคือมีที่เดียวที่ประเทศจิบูตี ในทวีปแอฟริกา ส่วนสถานที่อื่น ๆ นั้นส่วนมากเป็นเพียงท่าเรือเชิงพาณิชย์ที่ "จีนตั้งใจทำไว้ให้ใช้ประโยชน์ได้สองประเภท [เชิงพาณิชย์และการทหาร]"
"จีนต่างกับอเมริกาตรงที่อเมริกาคือจะเอาทหารเข้ามาเลย แต่ว่าจีนจะเหมือนกับให้เงินไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แล้วพอถึงเวลาจีนก็จะมาแบบ 'ฉันให้เงินเธอนะ ขอใช้หน่อย'" ซึ่งเธอมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่ "ฉลาด" ไม่น้อย เพราะเปิดช่องให้จีนปัดความรับผิดชอบได้

อิสมาอิล โอมาร์ เกลเลห์ ประธานาธิบดีจิบูตีพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2019
บีบีซีไทย
พบว่า จีนเข้าไป
ลงทุนสร้างท่าเรือเหล่านี้ทั้งในประเทศอย่างปากีสถาน
ศรีลังกา บังกลาเทศ ซูดาน เปรู รวมไปถึงในอาเซียนอย่างเมียนมาและ
กัมพูชาด้วย
นอกจากนี้ ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ยังได้ให้สัมภาษณ์ประเด็นการขยายบทบาทของจีนในมหาสมุทรอินเดียไว้ใน
รายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ระบุว่า ในมุมการวิเคราะห์ก็มีเหตุผลที่สหรัฐฯ จะยื่นดีลความมั่นคงให้กับไทยเพื่อเพิ่มบทบาทของตนเองให้มากขึ้นในมหาสมุทรอินเดียแห่งนี้
การวิเคราะห์ของ ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ ในรายการดังกล่าว สอดคล้องกับสิ่งที่ ฐิตา อธิบายก่อนหน้าเรื่องการใช้ประโยชน์ของท่าเรือเชิงพาณิชย์ตามประเทศต่าง ๆ ที่จีนเข้าไปลงทุนไว้เพื่อรักษาผลประโยชน์เรื่องพลังงานหากเกิดข้อพิพาทหรือสงครามขึ้น จนไปกระทบกับการเปิด/ปิดช่องแคบมะละกา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณแหลมมลายู และเป็น
เส้นทางที่เชื่อมต่อมหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้ไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิก
"วันนี้ถ้าถามว่าจีนอยากได้ที่ไหนเป็นฐานทัพนอกจากจิบูตี ผมคิดว่าคำตอบ คือศรีลังกา ปากีสถาน และพม่า เนื่องจาก สามจุดเหล่านี้เป็นท่าเรือพาณิชย์ ยังไม่ถูกยกระดับ"
อย่างไรก็ดี ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ ชี้ว่า ไทยเข้ามาอยู่ในสมการที่มหาอำนาจเข้ามาจับตามากขึ้น เพราะแผนที่ของการวิเคราะห์บางฉบับ "เขาระบายสีพื้นที่ประเทศไทยว่าเป็นที่ที่จีนคาดหวังว่าจะใช้เป็นฐานทัพในอนาคต" และเพราะเหตุนั้น "พังงา จึงกลายเป็นสาวงามของอันดามัน ของมหาสมุทรอินเดีย"
ไทยควรวางตำแหน่ง-เล่นบทอะไรในสถานการณ์นี้ ?
แม้กระแสข่าวเรื่องการเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานทัพของสหรัฐฯ เพื่อคานอำนาจกับจีนอาจไม่เกิดขึ้นจริงในเวลาอันใกล้นี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ากองทัพเรือของไทยหรือผู้กำหนดนโยบายระดับประเทศไม่ควรเตรียมแผนอะไรไว้เช่นเดียวกัน ตามทัศนะของนักวิชาการจากสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค
ฐิตา สรุปว่าคงหวังให้ไทยเข้ามามีบทบาทอะไรในสมรภูมิภูมิรัฐศาสตร์ทางทะเลนี้ไม่ได้มาก และทางเลือกของไทยตอนนี้คือ "เอาตัวให้รอดโดยที่ไม่ต้องเลือกข้าง แม้ตัวเลือกจะค่อย ๆ บีบไทยลงมามากขึ้นก็ตาม"
เธอมองว่า หากส่วนหนึ่งของข้อตกลงกับสหรัฐฯ มีการร้องขอมาเรื่องการเปิดให้ฝั่งกองทัพสหรัฐฯ สามารถแวะเข้ามาเติมน้ำมันหรือเติมเสบียง "ก็ดูว่าถ้าไม่เสียหายเกินไปก็ทำได้ น่าจะพอรับได้" โดยเพิ่มเงื่อนไขว่าประเทศอื่น ๆ เองก็อาจทำได้เช่นเดียวกันในฐานะพันธมิตร
ขณะเดียวกัน เธอเสนอให้มีการเพิ่มความสัมพันธ์หรือความร่วมมือแบบทวิภาคีกับประเทศอื่น ๆ ในมหาสมุทรอินเดีย อาทิ ความร่วมมือกับอินเดีย หรืออาจจะไปร่วมมือกับจีนมากขึ้น
"ต้องไม่ลืมว่านอกเหนือจากการเอาตัวรอดทางรัฐศาสตร์กับมหาอำนาจ ไทยเองยังต้องหาหนทางรักษาผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจของพื้นที่ทางทะเลแห่งนี้ไว้ด้วย" เธอกล่าวเสริม
มุมมองของเธอสอดคล้องกับ ศ.ดร.แซคคารี เอ็ม. อาบูซา จากวิทยาลัยสงครามแห่งชาติ (National War College) กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา ที่กล่าวกับบีบีซีไทยไว้ว่า เมื่อปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา คลี่คลายได้แล้ว "เราต้องเตรียมใจรับมือกับความจริงที่ว่า ยังมีข้อพิพาททางทะเลซึ่งอาจซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม"

เขาเสริมว่า กองทัพเรือไทยมีขนาดเล็กและจากมุมมองของสหรัฐฯ "ถือว่าเป็นเหล่าทัพที่มีท่าทีใกล้ชิดจีนมากที่สุดในประเทศไทย" เมื่อพิจารณาจากกรณีเรือรบที่ไทยสั่งซื้อจากจีน รวมถึงความเป็นไปได้ของคำสั่งซื้อเรือดำน้ำด้วย
"แต่คนไทยโดยทั่วไปกลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้อพิพาททางทะเลมากนัก ทั้งที่พื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ของไทยก็ยังมีข้อพิพาทอยู่" ศ.ดร.อาบูซา กล่าว
เขาเสริมว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับประเด็นทรัพยากรประมง และความเป็นไปได้ในการขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่ง
ตาม
ข้อมูลในปี 2023 จากสถาบันคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ ไทยรั้งอันดับที่ 5 ประเทศที่มีปริมาณการค้า (นำเข้า/ส่งออก) มากที่สุดในภูมิภาคนี้ ด้วยตัวเลขสูงทะลุ 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 12.8 ล้านล้านบาท) ตามหลังอินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และออสเตรเลีย ตามลำดับ
ฐิตาเสริมว่า สิ่งหนึ่งที่เธออยากนำเสนอมากที่สุดคือการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของบทบาททั้งทางความมั่นคงและทางการค้าในมหาสมุทรให้มากขึ้นกับประชาชนทั่วไป
"ไทยควรต้องสนใจ เพราะว่ารอบบ้านเขาสนใจกันมากเรื่องนี้ รวมถึงเพื่อนอาเซียน" เธอเสริม
เธอยกตัวอย่างว่า สำหรับมุมมองของนักวิจัยเอง กรณีเรือดำน้ำที่ตกเป็นประเด็นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักนั้น ในมุมมองของเธอก็มองว่าจำเป็นต้องมี เพียงแต่เสนอว่าฝั่งกองทัพควรสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนมากกว่านี้ ทั้งเรื่อง
ยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือเอง รวมถึงความโปร่งใสของการใช่งบประมาณด้วย
ท้ายที่สุด เธอย้ำว่าการพัฒนาความรู้ความเข้าใจของประชาชนต่อความเสี่ยงที่เกิดขึ้นทั้งสองฝั่งของทะเลไทยมีความสำคัญอย่างยิ่ง และยังต้องทำให้ได้ดีกว่าที่เป็นอยู่
https://www.bbc.com/thai/articles/ce3ndjd74ljo