
บทความพิเศษ | พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์
33 ปี ชีวิตสีกากี
พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (128)
ใต้ไม่สงบเพราะเลี้ยงไข้
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2537
มติชนสุดสัปดาห์
ผมตื่นนอนตอนตี 4 เพื่อทบทวนคดีที่จับกุม ร.ต.อ.ปรเมศวร์ สิทธิผล และวันนี้จะต้องขึ้นเป็นพยานศาล แต่มีเสียงรบกวนที่ห้องข้างๆ จากพวกเด็กนักเรียนเทคนิค อายุประมาณ 18-19 ปี มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย มั่วสุมกันเกือบ 10 คน ร้องรำทำเพลงส่งเสียงจนผมไม่มีสมาธิ ผมจึงวิทยุให้สายตรวจมาจัดการ
เมื่อไปที่ศาล ปรากฏว่าต้องเลื่อนการพิจารณาไปอีกเป็นครั้งที่ 2 เพราะหัวหน้าศาลติดราชการสำคัญ
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2537
ผมได้พบความบกพร่องของการทำสำนวนการสอบสวนของ รอง สวส.ที่ทำงานล่าช้า ไม่ละเอียดรอบคอบในการรวบรวมพยานหลักฐาน จนผมรู้สึกหนักใจ จึงได้เรียกมาประชุม ชี้แจง และแนะนำเท่าที่จะทำได้
พ.ต.อ.ประหยัด พยัคฆญาติ ผกก. ได้เรียกประชุมต่อจนเย็น
และ พ.ต.อ.ประหยัดได้เสนอผมเพื่อคัดเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2537 ไปยังจังหวัดสตูล โดยมีความเห็นเกี่ยวกับผมว่า
“เป็นผู้ที่ทำงานโดยหวังผลต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนอย่างแท้จริง ติดตามผลงานที่ได้กระทำไปแล้ว โดยเฉพาะคดีสำคัญๆ ทั้งที่ผู้อื่นเริ่มต้นมาก่อนและที่ตนเองเป็นผู้รับผิดชอบ จนเป็นเหตุให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยในทุกคดี”
พ.ต.อ.ประหยัด พยัคฆญาติ
ผกก.สภ.อ.เมืองสตูล ผู้ประเมิน
วันที่ 2 ธันวาคม 2537
วันนี้ผมตื่นแต่เช้าเตรียมตัวไปเป็นพยานศาล คดีของ ร.ต.อ.ปรเมศวร์ สิทธิผล นางวัชรินทร์ หรือโอ๋ ไววิทยา นายสนิท พัทเต เป็นจำเลย ร่วมกันฆ่านายบุญลือ หรือโกซือ พูนพานิช เจ้าของร้านศรีสะอาด ถึงแก่ความตาย แต่หัวหน้าศาลติดราชการ จึงมอบให้นายไกรรัตน์ วีรพัฒนาสุวรรณ นั่งบัลลังก์สืบ โดยมีอัยการจังหวัดสตูล นายสุรชัย อุดมวงศ์ เป็นผู้ซัก กว่าจะเสร็จก็ล่วงเลยเวลาอาหารเที่ยงไปแล้ว และ 12.30 น. ก็จบ เหน็ดเหนื่อยพอสมควร
ระยะเวลานั้นมีคำพูดที่พูดต่อว่าผมจนลอยมาเข้าหูผม แต่ไม่รู้ว่าคนพูดนั้นเป็นใคร ว่าผมไม่รักตำรวจ ทำไมผมไม่ช่วย ร.ต.อ.ปรเมศวร์ ทั้งๆ ที่เป็นตำรวจด้วยกัน
คำพูดลบๆ ที่พูดล่องลอยไปในอากาศ จะเกิดขึ้นเสมอๆ คำพูดเหล่านี้ ถ้าไปให้ความสำคัญ จะบั่นทอนสุขภาพและกำลังใจ และสามารถลดพลังการทำงานได้เป็นอย่างดี จึงต้องระมัดระวัง แยกแยะให้ดี
วันที่ 22 ธันวาคม 2537
คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่นของจังหวัดสตูล ประจำปี พ.ศ.2537 ได้คัดเลือกผมให้เป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2537
และจะต้องเดินทางไปรับรางวัลครุฑทองคำ และประกาศเกียรติคุณจากนายกรัฐมนตรี ในวันข้าราชการพลเรือนต่อไป
2537 เป็นตัวเลขของปี พ.ศ.ที่จะไม่ย้อนกลับมาและผ่านพ้นไปแล้วอีก 1 ปี
ผมทำหน้าที่เป็นสารวัตรสอบสวน สภ.อ.เมืองสตูล มานาน 4 ปี กำลังจะขึ้นปีที่ 5 มีคดีเกิดขึ้นตลอดเวลาหนักบ้างเบาบ้างสลับกันไป แทบจะไม่มีเวลาให้พักเหนื่อยเพื่อให้หายใจคล่องได้เลย มีทั้งคดีที่ประสบความสำเร็จ และบางคดีก็ล้มเหลว คดีบางคดีหืดจับน้ำลายเหนียวเลย กว่าจะเอาคนทำผิดติดคุก
ยิ่งถ้าหากเกี่ยวข้องกับคดีที่มีการทุจริตอย่างเป็นระบบ เช่น กรมทางหลวง ผมไม่สามารถเจาะระบบราชการที่เอื้อให้มีการทุจริต เข้าไปเอาตัวคนผิดได้เลย ผมทำไม่ได้จริงๆ ถ้าทำก็เหมือนเอาหัวพุ่งชนกำแพง เจ็บตัวเปล่าๆ
จึงไม่สงสัยเลยว่า ทำไมข้าราชการหรือนักการเมือง จึงร่ำรวยกันมาก เพราะพวกนี้ปล้นประเทศไปนี่เอง
แม้ปีที่ผ่านมา พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อธิบดีกรมตำรวจ จะงดไม่มีการมอบรางวัลพนักงานสอบสวนดีเด่นของกรมตำรวจ ในปี 2537 โดยไม่ทราบเหตุผล ทั้งๆ ที่มีการคัดเลือกติดต่อกันมา 3 ปีแล้วก็ตาม และผมมีผลงานการสอบสวนที่โดดเด่นไม่แพ้ใคร ผมคิดว่าการมอบรางวัลพนักงานสอบสวน ถือเป็นการยกย่องให้กำลังใจ เป็นงานที่พนักงานสอบสวนต้องทำอย่างเหน็ดเหนื่อยยากลำบาก เป็นงานที่เป็นภาระที่ต้องรับผิดชอบมากจริงๆ เมื่อไม่มีการมอบจึงมองไม่เห็นคุณค่าของคนที่ทุ่มเทให้กับงาน
แต่ผมได้รับรางวัลเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปี พ.ศ.2537 เป็นรางวัลที่มีคุณค่า ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่ไม่ใช่ตำรวจและผมไม่รู้จักเลย เป็นผู้คัดเลือกและมอบให้
ผมจึงมีความปลื้มปีติ และทราบว่ามีสายตาจากทุกฝ่ายเฝ้าติดตามการทำหน้าที่ของผม ผมจึงต้องซื่อสัตย์ ซื่อตรง ทั้งต่อหน้าและลับหลัง และเป็นแบบอย่างที่ดี เพื่อให้สมกับที่คณะกรรมการได้คัดเลือก
พ.ศ.2538 เปิดศักราชใหม่มาไม่กี่วันเลย วันที่ 3 มกราคม 2538 เวลา 14.00 น. ก็เกิดเรื่องสะเทือนขวัญคนไทยอีกครั้งเมื่อเหตุการณ์ที่เด็กวัยรุ่นตั้งใจจะไปวางระเบิดที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ แต่ระหว่างที่กำลังเข้าไปที่สถานีรถไฟ วัตถุระเบิดที่เตรียมมานั้น เกิดระเบิดเสียก่อน ความแรงของระเบิดนั้นทำให้เด็กวัยรุ่นทั้งสองคนเสียชีวิตทันที
ตำรวจหาดใหญ่ไปตรวจที่เกิดเหตุและร่วมชันสูตรพลิกศพ ที่บริเวณสถานีรถไฟหาดใหญ่ 2 ใกล้ตลาดสดเทศบาลเมืองหาดใหญ่ และไม่ไกลจากคลังน้ำมัน ปตท. ที่เกิดเหตุ พบหลุมระเบิดกว้าง 1 ฟุต ลึกประมาณ 5 ซ.ม. และพบศพชายวัยรุ่น 2 คนถูกแรงระเบิดฉีกร่างเสียชีวิตอย่างสยดสยอง แขนขาขาด มันสมองกระจาย
พบชิ้นส่วนระเบิดแสวงเครื่อง และระเบิดชนิดทีเอ็นที ยังพบรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อซูซุกิ อากิร่า สีดำ หมายเลขทะเบียน ค-4906 สตูล จอดอยู่ ชาวบ้านยืนยันว่าเป็นของวัยรุ่นผู้เสียชีวิต
เจ้าของรถจักรยานยนต์คือ นายสุกรี หลังจิ อายุ 26 ปี เมื่อตรวจค้นศพวัยรุ่นอีกคน ชื่อ นายบราเฮม หลีหวัง อายุ 25 ปี พบว่าในกระเป๋ามีบัตรประจำตัวประชาชน เป็นเด็กมาจาก หมู่ที่ 2 ต.เจ๊ะบิลัง อ.เมือง จ.สตูล ตำรวจหาดใหญ่จึงรีบติดต่อประสานมายังตำรวจ สภ.อ.เมืองสตูล ทันที
แล้วเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2538 พ.ต.ท.สัมบูรณ์ บัวสิงห์ พร้อมชุดสืบสวน จึงไปทำการตรวจค้นที่บ้านตามที่ระบุในบัตรประจำตัวประชาชน เป็นบ้านของบิดามารดาผู้ตาย แต่ไม่พบสิ่งที่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด
ในระหว่างนั้น ชุดสืบสวนได้รับข่าวมาว่า จะมีกลุ่มของเด็กวัยรุ่นในหมู่บ้านเจ๊ะบิลัง ที่อยู่ในวัยใกล้เคียง นับสิบคน ซึ่งรวมถึงเด็กวัยรุ่น 2 คนที่ไปวางระเบิดที่สถานีรถไฟหาดใหญ่แล้วเสียชีวิตรวมอยู่ด้วย
เด็กวัยรุ่นเหล่านี้จะไปรวมกลุ่มกันที่บ้านเลขที่ 49/3 หมู่ที่ 2 ต.เจ๊ะบิลัง อ.เมือง จ.สตูล ซึ่งเป็นบ้านของนายสุกรีนัย หรือปิอีน บิลังโหลด กับนายมะหะหมาด หรือกำธร หรือขวด หรือมะ บิลังโหลด
เป็นบ้านที่เป็นห้องว่างโล่งๆ มีโต๊ะเก้าอี้ ใช้เป็นที่เรียนหนังสือ โดยบอกว่าเป็นการสอนหลักศาสนาอิสลาม มีนายสุกรีนัย หรือปีอีน บิลังโหลด นายมะหะหมาด หรือกำธร หรือขวด หรือมะ บิลังโหลด นายเลาะห์ หรือรอมือลี หรือรุสดี หรือรอสดี หรือสะดี หรือดี หรือแบลี ยูโซ๊ะ หรือเปาะเส้ง เป็นผู้สอน
ในการตรวจค้นครั้งนี้ สภาพห้องโล่งว่าง ไม่มีอะไรเลย แต่เมื่อเหลือบตามองขึ้นไปดูที่ฝ้าเพดาน กลับมีสิ่งที่ผิดสังเกต ปกติฝ้าเพดานแต่ละแผ่นที่วางเรียงกันจะชิดกัน แต่มีแผ่นฝ้าอยู่แผ่นหนึ่ง วางไม่สนิทเกยกับแผ่นอื่น เผยอออกมา และคิดว่าน่าจะมีอะไรอยู่ในช่องฝ้าเพดานนั้น จึงได้ใช้เก้าอี้ต่อขึ้นไปดู แล้วเปิดฝ้าเพดาน ซึ่งไม่ได้มีการยึดอะไรที่แน่นหนา เพียงแต่วางไว้เฉยๆ
และเมื่อเปิดออกดู ชุดสืบสวนทุกคนที่เข้าไปตรวจค้นในเวลานั้น ก็ถึงกับต้องตกใจ เพราะมีแท่งระเบิดไดนาไมต์ ชุดสายไฟ ที่เป็นสายชนวนในการวางระเบิด ชนิดแสวงเครื่อง จำนวนมากซุกซ่อนอยู่บนฝ้าเพดานของบ้านหลังนี้ และลักษณะระเบิด ก็เหมือนกับระเบิดที่นำไปวางที่สถานีรถไฟหาดใหญ่
จึงได้ยึดวัตถุระเบิดทั้งหมดไว้เป็นของกลาง เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดและเจ้าของบ้านต่อไป
และเมื่อสอบสวนจึงพบว่า เจ้าของบ้านหลังนี้ได้หลบหนีไปแล้ว สำหรับคนร้ายที่มาทำหน้าที่สอนวิธีประกอบวัตถุระเบิด แล้วนำไปวาง คือ นายเลาะห์มือรี หรือรอมือรี หรืออาแว หรือเดจิ หรือรุสดี หรือรอสดี หรือสะดี หรือดี หรือแบลี ยูโซ๊ะ หรือเปาะเส้ง ซึ่งเดินทางมาจาก จ.ยะลา
และไปเรียนการก่อวินาศกรรมจากประเทศซาอุดีอาระเบีย ในระหว่างที่ไปศึกษาเล่าเรียนทางศาสนาอิสลาม
คดีนี้ครึกโครม เป็นข่าวโด่งดังทั่วเมืองไทย เมื่อผู้ต้องหาหลบหนีไปอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย จึงมีการประสานงานกันกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และมีนายธานินทร์ ใจสมุทร ส.ส.จังหวัดสตูล ได้ร่วมกับ พล.ต.ท.มีชัย นุกูลกิจ ผู้ช่วย อ.ตร.หน.ภาค 9 เดินทางไปรับตัวผู้ต้องหา จากประเทศมาเลเซีย นำมาดำเนินคดีในประเทศไทย
ผมได้รวบรวมพยานหลักฐานอยู่นานพอสมควร และสั่งฟ้องผู้ต้องหาส่งให้พนักงานอัยการจังหวัดสตูล ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ส่วนผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี ผมได้ติดตามสืบสวนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอข้อมูลเป็นพยานหลักฐานยืนยันการกระทำผิดของผู้ต้องหาจากทุกฝ่าย
ผมเดินทางไปค่ายอิงคยุทธบริหาร ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี กับค่ายสิรินทร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เพื่อสอบสวนหาข่าวและขอทราบประวัติข้อมูลที่เกี่ยวกับมือก่อวินาศกรรม จากนายทหารที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะนายเลาะห์มือรี หรือรอมือรี หรืออาแว หรือเดจิ หรือรุสดี หรือรอสดี หรือสะดี หรือดี หรือแบลี ยูโซ๊ะ หรือเปาะเส้ง ว่ามีถิ่นที่อยู่ที่ไหน และใครให้การรับสนับสนุน เพื่อจะได้ติดตามจับกุมดำเนินคดีต่อไป
ผมยังได้รับทราบความคิดเห็นของนายทหารอีกหลายนายว่ามีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับกลุ่มวัยรุ่นที่ลอบวางระเบิดในพื้นที่สำคัญๆ เช่นที่หาดใหญ่ แล้วหลบหนีเข้าไปประเทศมาเลเซีย
นายทหารที่มาให้ข้อมูลกับผม ยศพันโท และพันตรี เล่าว่า กลุ่มวัยรุ่นพวกนี้ เมื่อก่อเหตุวางระเบิดแล้ว มักจะหลบหนีไปอยู่ที่ร้านข้าวต้มในย่านคนไทยมุสลิม กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย
และผมได้ถามนายทหารเหล่านั้นว่า เมื่อกองทัพทราบรายละเอียดลึกมากขนาดนั้น ทำไมไม่จัดส่งหน่วยไล่ล่า ปล่อยให้คนไทยต้องทนรับชะตากรรมอยู่ได้ยังไง ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุระเบิดขึ้นที่ไหนในย่านชุมชน
ผมได้ฟังคำตอบของนายทหารแล้วตกใจ คำตอบคือ ถ้าเราจัดการจนหมดสิ้น หน่วยของเราอาจจะถูกยุบเพราะหมดภารกิจ
ผมยืนยันว่าผมฟังไม่ผิด และได้ยินทั้งสองรูหูชัดเจนจากนายทหารทั้ง 2 ค่าย
จนผมเข้าใจมานานแล้วทำไมภาคใต้ไม่สงบ เพราะมีการเลี้ยงไข้ งบประมาณถมไปเท่าไหร่ก็ไม่พอ
https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_845214