พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยทรงศึกษาที่วิทยาลัยอีตัน ประเทศอังกฤษ (ภาพจาก : library.stou.ac.th)
“รัชกาลที่ 7” กับประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในสยาม สมัยทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษ
ผู้เขียน ปดิวลดา บวรศักดิ์
ศิลปวัฒนธรรม
3 มกราคม พ.ศ.2568
เปิดชีวิต รัชกาลที่ 7 สมัยทรงศึกษาที่ต่างประเทศ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ทรงฉายกับพระราชโอรส (จากซ้ายไปขวา) สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร)
เมื่อ พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ ทรงสอบผ่านเข้าศึกษาในวิทยาลัยอีตัน โรงเรียนชายล้วนที่ดีที่สุดแห่งประเทศอังกฤษ ทว่าชีวิตในรั้ววิทยาลัยของพระองค์กลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะพระองค์ทรงต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมและประเพณีของโรงเรียนที่เข้มงวด ทำให้พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่หาไม่ได้ในสยาม
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 สมัยทรงศึกษาที่ต่างประเทศ วิทยาลัยอีตัน ประเทศอังกฤษ (ภาพจาก : library.stou.ac.th)
หม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ เกษมศรี ผู้เขียนหนังสือ “คุณวิเศษแห่งหนังสือโบราณและเล่าเรื่องเก่าน่ารู้ในยุครัชกาลที่ ๗” เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า
“เมื่อทรงเจริญพระชนมพรรษาได้ ๑๒ พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดพระราชพิธีโสกันต์และพระราชทานพระสุพรรณบัฏสถาปนาเป็นเจ้าฟ้าต่างกรมในพระอิสริยยศสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ กรมขุนสุโขไทยธรรมราชา
หลังจากนั้นเสด็จยังประเทศอังกฤษเพื่อทรงเข้าศึกษา ณ วิทยาลัยอีตัน (Eton College) ทำให้พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากครั้งประทับในพระบรมมหาราชวัง กล่าวคือ พระองค์ได้ถูกใช้ให้ทำหน้าที่รับใช้เด็กรุ่นพี่ๆ ที่อยู่มาก่อน เพราะเป็นธรรมเนียมประเพณีของวิทยาลัยแห่งนี้ที่นักเรียนที่เข้ามาใหม่จะต้องเป็นคนรับใช้ให้พวกรุ่นโตกว่า ทำงานรับใช้เล็กๆ น้อยๆ ให้รุ่นพี่แม้กระทั่งขัดรองเท้า”
หม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ยังเล่าอีกว่า “พระองค์ทรงถูกเด็กฝรั่งรุ่นพี่ใช้งานไม่ปรานีปราศรัย และจำเป็นจะต้องทำตามคำสั่งที่เขาบัญชา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ทรงไม่พอพระทัยจะทำเพียงใด”
การย้ายมายังต่างแดนทำให้พระองค์ทรงต้องปรับตัวอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างของชาติพันธุ์ ทำให้เด็กฝรั่งในวิทยาลัยอีตันมักกล่าวว่าพระองค์ในเรื่องพระวรกาย เนื่องจากพระองค์ทรงตัวเล็กกว่าพวกเขามาก
นอกจากนี้…พระองค์ยังทรงต้องปรับตัวให้เข้ากับโรงเรียน ด้วยการลุกจากที่นอนตั้งแต่ย่ำรุ่ง จวบจนอาบน้ำเย็นในฤดูหนาว รวมถึงวิ่งออกกำลังกายตั้งแต่ยังไม่สว่าง
หม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ เกษมศรี ผู้เขียนหนังสือ “คุณวิเศษแห่งหนังสือโบราณและเล่าเรื่องเก่าน่ารู้ในยุครัชกาลที่ ๗” เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า
“เมื่อทรงเจริญพระชนมพรรษาได้ ๑๒ พรรษา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดพระราชพิธีโสกันต์และพระราชทานพระสุพรรณบัฏสถาปนาเป็นเจ้าฟ้าต่างกรมในพระอิสริยยศสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ฯ กรมขุนสุโขไทยธรรมราชา
หลังจากนั้นเสด็จยังประเทศอังกฤษเพื่อทรงเข้าศึกษา ณ วิทยาลัยอีตัน (Eton College) ทำให้พระองค์ทรงได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากครั้งประทับในพระบรมมหาราชวัง กล่าวคือ พระองค์ได้ถูกใช้ให้ทำหน้าที่รับใช้เด็กรุ่นพี่ๆ ที่อยู่มาก่อน เพราะเป็นธรรมเนียมประเพณีของวิทยาลัยแห่งนี้ที่นักเรียนที่เข้ามาใหม่จะต้องเป็นคนรับใช้ให้พวกรุ่นโตกว่า ทำงานรับใช้เล็กๆ น้อยๆ ให้รุ่นพี่แม้กระทั่งขัดรองเท้า”
หม่อมราชวงศ์ศุภวัฒย์ยังเล่าอีกว่า “พระองค์ทรงถูกเด็กฝรั่งรุ่นพี่ใช้งานไม่ปรานีปราศรัย และจำเป็นจะต้องทำตามคำสั่งที่เขาบัญชา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ทรงไม่พอพระทัยจะทำเพียงใด”
การย้ายมายังต่างแดนทำให้พระองค์ทรงต้องปรับตัวอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างของชาติพันธุ์ ทำให้เด็กฝรั่งในวิทยาลัยอีตันมักกล่าวว่าพระองค์ในเรื่องพระวรกาย เนื่องจากพระองค์ทรงตัวเล็กกว่าพวกเขามาก
นอกจากนี้…พระองค์ยังทรงต้องปรับตัวให้เข้ากับโรงเรียน ด้วยการลุกจากที่นอนตั้งแต่ย่ำรุ่ง จวบจนอาบน้ำเย็นในฤดูหนาว รวมถึงวิ่งออกกำลังกายตั้งแต่ยังไม่สว่าง
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ไม่ปรากฏปีที่ถ่าย ภาพจาก AFP
อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงศึกษาอยู่ที่นี่เป็นเวลากว่า 2 ปี และเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ก็เสด็จกลับมาสยาม เพื่อทรงร่วมงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้ไม่ได้ทรงศึกษาต่อ แต่ประสบการณ์ที่อีตันก็ทำให้พระองค์ทรงมีอุปนิสัยแข็งแกร่ง รู้จักระเบียบวินัย รักศักดิ์ศรี และปลูกฝังให้ทรงมีความสามารถเรื่องการปกครองในเวลาต่อมา
https://www.silpa-mag.com/history/article_145905