โอว ผบ.สูงสุดคนนี้ ที่วาสนา (นาน่วม) โปรโมทคำคม “เกี่ยวข้องการเมืองเฉพาะเรื่องความมั่นคง” นี่หน้าเข้มคิ้วคมชวนให้เกรงขาม นำขบวนผู้บัญชาการเหล่าทัพแถลงนโยบาย (ยังกับรัฐบาลใหม่) ๖ ข้อ ที่ประชาชนทั่วไปพึงสำเหนียก ๓ ข้อ
หนึ่งคือ ‘พิทักษ์กษัตริย์’ ซึ่งรวมถึง “ดำรงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ” และ “ดำเนินการตามแนวทางพระราชทาน” อีกหนึ่งก็ “รักษาความมั่นคงของรัฐ” และที่พิเศษไม่ขอก็ให้เป็น “การพัฒนาประเทศ” อันควบรวมไปกับ “ป้องกันภัยพิบัติและช่วยเหลือประชาชน”
เห็นแว่บๆ ทางเว็บบางคนเม้นต์ “ไม่เห็นพูดถึงสักนิด ว่าจะทำอะไรให้ประชาชน” อาจเป็นเพราะยึดเอารายงานข่าวทางโซเชียลของวาสนาเป็นสรณะ เธอเอ่ยถึงเรื่องสถาบันฯ เรื่องความมั่นคง และเรื่อง ‘จัดการ’ ม็อบ เป็นหลักใหญ่
แม้นว่าบางตอนอ้าง “ทหารก็คือประชาชน” และ “เราเชื่อมั่น อย่างที่ประชาชนเชื่อมั่น ว่า (ประชาธิปไตย) จะเป็นการปกครองที่แย่น้อยที่สุดในสังคมโลก” อันนี้มั้งที่ทำให้บางคนรู้สึกว่าพูดแบบ ‘ผู้ใหญ่’ หรือ ‘นาย’ หรือ ‘พี่เอื้อย’ มากไปหน่อย
ทั่น ผบ.สูงสุดอาจเรียนรัฐศาสตร์แบบ จปร.ก็เลยมอง ‘ประชาธิปไตย’ ในแง่มุมของ ‘การปกครอง’ ตามหลักการโบราณเต่าล้านปีซึ่ง ‘ชาติ’ ประกอบด้วย ‘ผู้ปกครอง’ กับ ‘ผู้อยู่ภายใต้การปกครอง’ ไม่ใช่ประชาชนหลากหลาย อยู่ร่วมกันเป็น ‘ประเทศ’
ดังหลักรัฐศาสตร์อันทันยุคสมัยศตวรรษที่ ๒๑ มีอารยะและพลวัต ซึ่งบอกว่า นานาจิตตังอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาค เพื่อความสมบูรณ์และพูนสุขของแต่ละบุคคล แทนที่จะเน้นเฉพาะ “โอกาส (ได้ถวายหัว) เป็นพลังของแผ่นดิน”
ประชาธิปไตยเป็นแบบแผนการ ‘บริหารสาธารณะ’ ที่ผสานผลประโยชน์ของประชาชนให้ ถ้วนหน้า ด้วยการยึดมั่นหลักการ ‘เสรีภาพ อิสรภาพ และภราดรภาพ’ เด็กๆ นักเรียนนักศึกษาขบวนการ ‘ชุมนุม’ ทั้งหลาย เข้าใจสิ่งนี้
พวกเขา ไม่ว่าจะกลุ่มเยาวชนปลดแอก นักเรียนเลว หรือที่ใช้ชื่ออิงประชาธิปไตย ไม่เอาเผด็จการ ถึงได้นิยม ‘ชูสามนิ้ว’ ไง ทั้งวาสนาและ ผบ.เหล่าทัพ ต้องทำความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ให้ถ่องแท้เสียก่อน แล้วค่อยอ้าง ‘รัฐธรรมนูญ’
เพราะรัฐธรรมนูญเป็นเพียง ‘แนะแนว’ วิธีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข อันจะเกิดได้ต่อเมื่อแต่ละคนได้รับ การยอมรับ ในการแสดงความคิดเห็นของตน ขณะที่ ‘ยอมรับ’ ความเห็นต่างของคนอื่น ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นมา “เพื่อพวกเรา” ที่ยึดอำนาจแล้วสั่งให้ร่าง
นโยบาย ๖ ข้อที่คณะทหารสี่เหล่าเอามานั่งบัลลังก์แถลง จึงมีลักษณะไม่ต่างอะไรกับ ‘รัฐซ้อนรัฐ’ เพียงแต่ว่าไม่บังเอิญรัฐบาลกับรัฐทหารเป็นเครือข่ายเดียวกัน เมื่อใดก็ตามที่การเลือกตั้งทำให้รัฐบาลตกไปอยู่ในกลุ่มเอกชนพลเรือน เมื่อนั้นจะมีการรัฐประหารยึดอำนาจ
ฉะนั้น การที่กองทัพทำเป็นเจ้ากี้เจ้าการเกินกว่าประชาชนต้องการ บ่อยๆ ไป ยัดเยียดให้ในสิ่งประชาชนไม่ชอบ ไม่อยากได้ จึงขัดหลักประชาธิปไตย แม้ในระบบของสายการบังคับบัญชาอย่างทหาร ยังเรียกว่า ‘จัดการงานนอกสั่ง’
ดังที่กองทัพเที่ยวไปจัดให้มีการบรรยาย #เสริมสร้างอุดมการณ์การรักชาติ ตามโรงเรียนต่างๆ นั่นไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่ใกล้เคียงกันมากชนิดมีแค่เส้นบางๆ คั่นกับ ‘ลัทธิฟาสซิสต์’ เด็ก ม.๑ ม.๒ ซึ่งในศตวรรษนี้สมองกระชับ (ฟิต) กว่าศิษย์ จปร. ถึงได้แย้งเอา
เด็กชายในระดับชั้นเรียน ม.๑ และ ม.๒ โรงเรียนเบญจมราชูทิศนครศรีธรรมราช สามคน จึงได้ใช้สิทธิที่การบรรยายเปิดให้แสดงความคิดเห็น “ที่แตกต่างออกไป” ไฉนฝ่ายทหารกลับรับไม่ได้ “นักเรียนคนสุดท้ายยังพูดไม่จบก็ถูกตัดบทปิดการบรรยาย”
มิหนำซ้ำ “ช่วงบ่าย ผู้บริหารโรงเรียนเรียกนักเรียนเข้าพบ และจะมีการเรียกพบผู้ปกครองด้วย...(คาดว่าน่าจะมีการตัดคะแนนความประพฤติ)” กับถ้อยความที่นักเรียนคนหนึ่งเอ่ยถึงว่า ไม่จำเป็นต้องมาบรรยายเพราะนักเรียนค้นคว้ากันได้
โดยเฉพาะ “ถ้าเกิดว่าเขาจะรักนะครับ ยืนเฉยๆ เขาก็รัก” นี่หรือที่ถูกกล่าวอ้างว่า ‘ก้าวร้าว’ กลุ่ม #เบญคอน “นักเรียนในโรงเรียน ที่สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น (จึง) นัดรวมตัวกัน” ในวันนี้ “เราต้องการความเป็นธรรมให้กับรุ่นน้อง”
ไม่เท่านั้นคนที่อยู่ในเหตุการณ์รายหนึ่งฟ้องสาธารณะด้วยว่า “เราโดนพี่คนที่มาบรรยาย (ล้างสมอง) หลังเค้าประชุมเสร็จ...ต่อยที่ท้อง ๒-๓ ครั้ง แล้วก็กอดค่อนข้างแรง และก็บอกว่าหล่อ” ทำนองล้อเล่น แต่คนที่โดนล้อเล่นแรงๆ ไม่ขำ
(https://www.facebook.com/100001454030105/posts/3471627496229017/?extid=0&d=n)