
พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
21 hours ago
·
การยุบสภาครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในห้องประชุมที่เงียบงัน
แต่งอกขึ้นท่ามกลางเสียงปืน เสียงธง และเสียงโห่ร้องของชาติ
มันไม่ใช่เพียงการปิดสวิตช์รัฐสภา
แต่คือการเปิดฉากการเมืองอีกชุดหนึ่ง
การเมืองของอารมณ์ ความกลัว และศรัทธาที่ถูกจัดวาง
ในถ้อยคำทางการ ทุกอย่างดูสงบ เรียบร้อย และสมเหตุสมผล
รัฐบาลเสียงข้างน้อย ขาดเสถียรภาพ
ประเทศเผชิญความไม่แน่นอนรอบด้าน
เศรษฐกิจ การเมือง ภูมิรัฐศาสตร์ และชายแดนที่ร้อนระอุ
จึง “จำเป็น” ต้องคืนอำนาจให้ประชาชน
แต่ในโลกของการเมืองจริง
ไม่มีการคืนอำนาจใดที่ปราศจากการเลือกจังหวะ
และไม่มีจังหวะใดเป็นกลาง เมื่อปืนยังไม่เงียบ
สงครามชายแดนทำให้คำถามยาก ๆ เงียบลง
คำถามเรื่องปากท้องถูกกลบด้วยคำว่าอธิปไตย
คำถามเรื่องความล้มเหลวเชิงนโยบาย ถูกแทนที่ด้วยคำว่าความมั่นคง
เมื่อชาติถูกประกาศว่าอยู่ในภาวะคุกคาม
ความไม่พอใจของประชาชนก็ถูกแปรรูปเป็นความภักดี
นี่คือการเมืองแบบเก่า
การเมืองที่รู้ดีว่า ในยามที่คนหวาดกลัว
พวกเขาจะไม่ถามว่าใครบริหารเก่ง
แต่จะถามว่าใคร “ยืนข้างชาติ”
การยุบสภาในห้วงเวลานี้
จึงไม่ใช่การถอย
แต่คือการย้ายสนามรบ
จากสภาที่เสียงไม่พอ
ไปสู่สนามเลือกตั้งที่อารมณ์นำเหตุผล
และธงชาติหนักกว่านโยบาย
รัฐบาลรักษาการยังคงอยู่
พร้อมอำนาจรัฐ
พร้อมภาษาแห่งความมั่นคง
พร้อมภาพผู้นำที่ยืนอยู่หน้าฉากประวัติศาสตร์
ในขณะที่คู่แข่งต้องหาเสียงใต้เงาปืน
และอธิบายนโยบายท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้ “อย่าทำให้ชาติอ่อนแอ”
เขาเรียกสิ่งนี้ว่าการคืนอำนาจให้ประชาชน
แต่ประชาชนถูกเชิญให้ตัดสินใจ
ไม่ใช่ด้วยข้อมูลครบถ้วน
หากด้วยความรู้สึกที่ถูกเร่งเร้าอย่างเป็นระบบ
สภาถูกยุบ
แต่โครงสร้างอำนาจไม่ได้ถูกแตะ
เครือข่ายเดิมยังอยู่ครบ
วุฒิสภายังเฝ้าประตู
ทุนรับเหมายังอยู่แถวหน้า
ทุนสแกมเมอร์อยู่หลังฉาก
อีลีทที่หวงอำนาจยังชักใย
และกติกาเดิมยังรอรัฐบาลใหม่ที่ “เหมาะสม” จะเข้ามาใช้มันต่อ
การยุบสภาครั้งนี้
จึงไม่ใช่จุดเริ่มต้นของประชาธิปไตย
แต่เป็นบทหนึ่งในละครการเมืองยาวเหยียด
ที่ชนชั้นนำรู้จักดีว่า
เมื่อการบริหารล้มเหลว
จงเรียกหาความมั่นคง
เมื่อคะแนนนิยมตก
จงชูธงชาติ
และเมื่อสภาไม่เชื่อง
ก็ยุบมันเสีย
ประเทศถูกพาเข้าสู่การเลือกตั้ง
ไม่ใช่เพื่อถามว่า “เราจะไปทางไหน”
แต่เพื่อถามว่า
“ในยามสงคราม คุณจะยืนข้างใคร”
และนั่นอาจเป็นคำถามที่อันตรายที่สุด
สำหรับประชาธิปไตย
ที่ยังไม่เคยมีเวลาสงบพอ
จะได้ถามคำถามของตนเองอย่างแท้จริง
คำถามว่า ประชาชนควรตัดสินอย่างไร ในห้วงเวลานี้
ไม่ใช่คำถามทางเทคนิคของการเลือกตั้ง
แต่เป็นคำถามเชิงจริยธรรมและสติปัญญาทางการเมือง
ในยามที่เสียงปืนดัง
การตัดสินใจที่ยากที่สุด
คือการไม่ปล่อยให้เสียงปืนคิดแทนเรา
ประชาชนควรเริ่มจากการแยกให้ออก
ระหว่าง ภัยคุกคามต่อชาติ
กับ การใช้ชาติเป็นเครื่องมือทางการเมือง
สองสิ่งนี้มักถูกทำให้กลืนกัน
จนใครก็ตามที่ตั้งคำถาม
ถูกกล่าวหาว่าไม่รักชาติ
การรักชาติไม่ได้แปลว่าเชื่อทุกถ้อยคำของผู้ถืออำนาจ
และการตั้งคำถามต่อรัฐบาล
ไม่ได้เท่ากับการยืนอยู่ฝั่งศัตรู
ประชาธิปไตยดำรงอยู่ได้
ก็เพราะประชาชนไม่ยอมยกวิจารณญาณของตน
ให้กับกระแสอารมณ์หมู่ครอบงำ
ในสถานการณ์เช่นนี้
ประชาชนควรถามคำถามที่ไม่ถูกตั้งบนเวทีหาเสียง
ถามว่าใครกันแน่ที่ทำให้ประเทศมาถึงจุดเปราะบางนี้
ใครบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจนล้มเหลว
ใครปล่อยให้ปัญหาปากท้องสะสม
จนต้องพึ่ง “สงคราม” มาชุบชีวิตความชอบธรรม
ควรแยกให้ออก
ระหว่าง ความแข็งกร้าวเชิงวาทกรรม
กับ ความสามารถเชิงนโยบาย
ผู้นำที่พูดเสียงดัง
ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำที่คิดเป็น
และรัฐบาลที่ประกาศปกป้องชาติ
ไม่จำเป็นต้องปกป้องชีวิตของประชาชนได้จริง
ประชาชนควรระวังการเมืองที่ขอ “เวลา”
โดยอ้างภัยคุกคาม
เพราะประวัติศาสตร์สอนเราว่า
อำนาจที่ขอเวลาในนามความมั่นคง
มักไม่คืนเวลาให้ประชาชนโดยง่าย
การตัดสินใจที่รับผิดชอบ
จึงไม่ใช่การเลือกคนที่ทำให้เราฮึกเหิมที่สุด
แต่คือการเลือกคนที่กล้าพาเรากลับสู่ความปกติ
กล้าลดอุณหภูมิความขัดแย้ง
กล้าเจรจาแทนการขยายศัตรู
และกล้ายอมรับการตรวจสอบในยามที่เสียงปืนยังไม่เงียบ
หากจะมีธงใดที่ควรยึดถือในคูหา
ไม่ใช่ธงชาติที่ถูกโบกบนเวที
แต่คือธงของเหตุผล
ธงของความทรงจำ
และธงของคำถามว่า
ใครกันแน่ที่อยากให้ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤตตลอดเวลา
เพราะผู้นำที่แท้จริง
ไม่ต้องการสงครามเพื่อชนะการเลือกตั้ง
และประชาชนที่ตระหนักรู้
จะไม่ยอมให้ความกลัว
กลายเป็นบัตรเลือกตั้งของใครอีกต่อไป
https://www.facebook.com/PhichainaBhuket/posts/1381267320122169
·
การยุบสภาครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในห้องประชุมที่เงียบงัน
แต่งอกขึ้นท่ามกลางเสียงปืน เสียงธง และเสียงโห่ร้องของชาติ
มันไม่ใช่เพียงการปิดสวิตช์รัฐสภา
แต่คือการเปิดฉากการเมืองอีกชุดหนึ่ง
การเมืองของอารมณ์ ความกลัว และศรัทธาที่ถูกจัดวาง
ในถ้อยคำทางการ ทุกอย่างดูสงบ เรียบร้อย และสมเหตุสมผล
รัฐบาลเสียงข้างน้อย ขาดเสถียรภาพ
ประเทศเผชิญความไม่แน่นอนรอบด้าน
เศรษฐกิจ การเมือง ภูมิรัฐศาสตร์ และชายแดนที่ร้อนระอุ
จึง “จำเป็น” ต้องคืนอำนาจให้ประชาชน
แต่ในโลกของการเมืองจริง
ไม่มีการคืนอำนาจใดที่ปราศจากการเลือกจังหวะ
และไม่มีจังหวะใดเป็นกลาง เมื่อปืนยังไม่เงียบ
สงครามชายแดนทำให้คำถามยาก ๆ เงียบลง
คำถามเรื่องปากท้องถูกกลบด้วยคำว่าอธิปไตย
คำถามเรื่องความล้มเหลวเชิงนโยบาย ถูกแทนที่ด้วยคำว่าความมั่นคง
เมื่อชาติถูกประกาศว่าอยู่ในภาวะคุกคาม
ความไม่พอใจของประชาชนก็ถูกแปรรูปเป็นความภักดี
นี่คือการเมืองแบบเก่า
การเมืองที่รู้ดีว่า ในยามที่คนหวาดกลัว
พวกเขาจะไม่ถามว่าใครบริหารเก่ง
แต่จะถามว่าใคร “ยืนข้างชาติ”
การยุบสภาในห้วงเวลานี้
จึงไม่ใช่การถอย
แต่คือการย้ายสนามรบ
จากสภาที่เสียงไม่พอ
ไปสู่สนามเลือกตั้งที่อารมณ์นำเหตุผล
และธงชาติหนักกว่านโยบาย
รัฐบาลรักษาการยังคงอยู่
พร้อมอำนาจรัฐ
พร้อมภาษาแห่งความมั่นคง
พร้อมภาพผู้นำที่ยืนอยู่หน้าฉากประวัติศาสตร์
ในขณะที่คู่แข่งต้องหาเสียงใต้เงาปืน
และอธิบายนโยบายท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้ “อย่าทำให้ชาติอ่อนแอ”
เขาเรียกสิ่งนี้ว่าการคืนอำนาจให้ประชาชน
แต่ประชาชนถูกเชิญให้ตัดสินใจ
ไม่ใช่ด้วยข้อมูลครบถ้วน
หากด้วยความรู้สึกที่ถูกเร่งเร้าอย่างเป็นระบบ
สภาถูกยุบ
แต่โครงสร้างอำนาจไม่ได้ถูกแตะ
เครือข่ายเดิมยังอยู่ครบ
วุฒิสภายังเฝ้าประตู
ทุนรับเหมายังอยู่แถวหน้า
ทุนสแกมเมอร์อยู่หลังฉาก
อีลีทที่หวงอำนาจยังชักใย
และกติกาเดิมยังรอรัฐบาลใหม่ที่ “เหมาะสม” จะเข้ามาใช้มันต่อ
การยุบสภาครั้งนี้
จึงไม่ใช่จุดเริ่มต้นของประชาธิปไตย
แต่เป็นบทหนึ่งในละครการเมืองยาวเหยียด
ที่ชนชั้นนำรู้จักดีว่า
เมื่อการบริหารล้มเหลว
จงเรียกหาความมั่นคง
เมื่อคะแนนนิยมตก
จงชูธงชาติ
และเมื่อสภาไม่เชื่อง
ก็ยุบมันเสีย
ประเทศถูกพาเข้าสู่การเลือกตั้ง
ไม่ใช่เพื่อถามว่า “เราจะไปทางไหน”
แต่เพื่อถามว่า
“ในยามสงคราม คุณจะยืนข้างใคร”
และนั่นอาจเป็นคำถามที่อันตรายที่สุด
สำหรับประชาธิปไตย
ที่ยังไม่เคยมีเวลาสงบพอ
จะได้ถามคำถามของตนเองอย่างแท้จริง
คำถามว่า ประชาชนควรตัดสินอย่างไร ในห้วงเวลานี้
ไม่ใช่คำถามทางเทคนิคของการเลือกตั้ง
แต่เป็นคำถามเชิงจริยธรรมและสติปัญญาทางการเมือง
ในยามที่เสียงปืนดัง
การตัดสินใจที่ยากที่สุด
คือการไม่ปล่อยให้เสียงปืนคิดแทนเรา
ประชาชนควรเริ่มจากการแยกให้ออก
ระหว่าง ภัยคุกคามต่อชาติ
กับ การใช้ชาติเป็นเครื่องมือทางการเมือง
สองสิ่งนี้มักถูกทำให้กลืนกัน
จนใครก็ตามที่ตั้งคำถาม
ถูกกล่าวหาว่าไม่รักชาติ
การรักชาติไม่ได้แปลว่าเชื่อทุกถ้อยคำของผู้ถืออำนาจ
และการตั้งคำถามต่อรัฐบาล
ไม่ได้เท่ากับการยืนอยู่ฝั่งศัตรู
ประชาธิปไตยดำรงอยู่ได้
ก็เพราะประชาชนไม่ยอมยกวิจารณญาณของตน
ให้กับกระแสอารมณ์หมู่ครอบงำ
ในสถานการณ์เช่นนี้
ประชาชนควรถามคำถามที่ไม่ถูกตั้งบนเวทีหาเสียง
ถามว่าใครกันแน่ที่ทำให้ประเทศมาถึงจุดเปราะบางนี้
ใครบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจนล้มเหลว
ใครปล่อยให้ปัญหาปากท้องสะสม
จนต้องพึ่ง “สงคราม” มาชุบชีวิตความชอบธรรม
ควรแยกให้ออก
ระหว่าง ความแข็งกร้าวเชิงวาทกรรม
กับ ความสามารถเชิงนโยบาย
ผู้นำที่พูดเสียงดัง
ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำที่คิดเป็น
และรัฐบาลที่ประกาศปกป้องชาติ
ไม่จำเป็นต้องปกป้องชีวิตของประชาชนได้จริง
ประชาชนควรระวังการเมืองที่ขอ “เวลา”
โดยอ้างภัยคุกคาม
เพราะประวัติศาสตร์สอนเราว่า
อำนาจที่ขอเวลาในนามความมั่นคง
มักไม่คืนเวลาให้ประชาชนโดยง่าย
การตัดสินใจที่รับผิดชอบ
จึงไม่ใช่การเลือกคนที่ทำให้เราฮึกเหิมที่สุด
แต่คือการเลือกคนที่กล้าพาเรากลับสู่ความปกติ
กล้าลดอุณหภูมิความขัดแย้ง
กล้าเจรจาแทนการขยายศัตรู
และกล้ายอมรับการตรวจสอบในยามที่เสียงปืนยังไม่เงียบ
หากจะมีธงใดที่ควรยึดถือในคูหา
ไม่ใช่ธงชาติที่ถูกโบกบนเวที
แต่คือธงของเหตุผล
ธงของความทรงจำ
และธงของคำถามว่า
ใครกันแน่ที่อยากให้ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤตตลอดเวลา
เพราะผู้นำที่แท้จริง
ไม่ต้องการสงครามเพื่อชนะการเลือกตั้ง
และประชาชนที่ตระหนักรู้
จะไม่ยอมให้ความกลัว
กลายเป็นบัตรเลือกตั้งของใครอีกต่อไป
https://www.facebook.com/PhichainaBhuket/posts/1381267320122169