วันพุธ, ธันวาคม 10, 2568

ฟังเสียงผู้ต้องอพยพ "ในช่วงเวลาสงคราม...มันจะมีข่าวลือทำให้บั่นทอนจิตใจ... มันไม่มีความชัดเจน เราอยากให้ทางหน่วยงานหรือทางนักการเมืองทั้งหลาย ตัดสินใจเด็ดขาดให้มันจบ เพื่อความเป็นอยู่ของชาวบ้านชายแดนทั้งหมด... ให้เห็นแก่ชาวบ้านบ้าง ...ถ้าต้องอพยพนาน ก็ขาดรายได้"



"ในช่วงเวลาสงคราม...มันจะมีข่าวลือทำให้บั่นทอนจิตใจ" ฟังเสียงผู้ต้องอพยพหลังเหตุปะทะแนวชายแดนไทย-กัมพูชาระลอกล่าสุด

8 ธันวาคม 2025
บีบีซีไทย

ความขัดแย้งรุนแรงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทุขึ้นอีกครั้งตั้งแต่เมื่อวานนี้ (7 ธ.ค.) ล่าสุดการปะทะขยายวงกว้าง และทางการได้สั่งให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดน 4 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี สุรินทร์ และศรีสะเกษ ต้องอพยพออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัย

โดยในเวลา 6.00 น. ของวันนี้ (8 ธ.ค.) ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาว่าประชาชนในพื้นที่อำเภอตามแนวชายแดน อพยพออกจากพื้นที่แล้วประมาณ 70% โดยมีผู้ที่ลงทะเบียนเข้าศูนย์พักพิงชั่วคราวแล้ว จำนวน 35,623 ราย ขณะที่ประชาชนส่วนหนึ่งเลือกไปพักอาศัยที่บ้านญาติ

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านบางรายที่อาศัยอยู่ในบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ใน จ.ศรีสะเกษ บอกว่า ตนเลือกไม่อพยพออกจากพื้นที่เนื่องจากกังวลเรื่องขโมยและเป็นห่วงสัตว์เลี้ยง ขณะที่บางรายบอกด้วยว่ามีความกังวลเรื่องความพร้อมของศูนย์อพยพชั่วคราวในการรองรับผู้ป่วย

เกิดอะไรขึ้นหลังชาวบ้านได้แจ้งเตือนอพยพเมื่อวานนี้

"ตอนนั้นดูเฟซบุ๊กก็เห็นอยู่ว่ามีการปะทะกัน [ระหว่างทหารไทยและกัมพูชา] แต่ก็ไม่ได้เอะใจ เพราะเข้าใจว่าเป็นการปะทะด้วยปืนเล็ก ยังไม่มีคำสั่งอพยพ พอสักพักก็มีข้อความจากหน่วยงาน แจ้งเตือนให้ตำบลชายแดนอพยพออกจากพื้นที่ทันที" นายสุเทียน ผิวจันทร์ ชาวบ้าน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ บอกกับบีบีซีไทย

แต่เขาไม่ได้ตื่นตกใจอะไรมากนัก เพราะด้วยความที่เป็นคนชายแดนทำให้เขาเตรียมความพร้อมอพยพอยู่ตลอด ต่างกับลูกสาวคนโตวัย 13 ปีของเขา ที่ไม่สบายใจกับเรื่องนี้

"คำแรกที่เขาถามผมก็คือ จะรบกันอีกแล้วหรอ แล้วพ่อคิดว่าวันไหนมันจะจบ" นายสุเทียนเล่าให้ฟังตอนที่จะตอบคำถามที่เขาไม่มีคำตอบให้ลูกสาว จึงได้แต่ตอบไปเพียงว่า "เราต้องอยู่กับมันให้ได้"

เขาบอกด้วยว่า แม้ได้รับข้อความแจ้งเตือนในวันที่ 7 ธ.ค. แต่เขายังไม่ปักใจเชื่อว่าความรุนแรงบริเวณชายแดนจะปะทุขึ้นอย่างรุนแรง แต่พอเข้าช่วงเช้าของวันนี้ เขาก็เริ่มกังวลใจว่าความรุนแรงระลอกใหม่นี้อาจใหญ่กว่าที่ตนคิดไว้

"คำสั่งอพยพออกมาแล้วแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งคืน ก็คิดว่ามันน่าจะเงียบ มันยังไม่ปะทุเต็มที่ แต่ก็พอตื่นเช้ามาสัก 7 โมงเช้า ก็ได้ยินเสียงปืนจากช่องอานม้าแล้วก็ค่อย ๆ ไล่มาเลย" นายสุเทียน เสริม

เกษตรกรวัย 49 ปีรายนี้บอกด้วยว่า สมาชิกครอบครัวของเขาห้าคน ประกอบด้วย คุณพ่อ คุณแม่ ภรรยา และลูกสาวอีกสองคน ได้เก็บของไปอยู่ที่ศูนย์อพยพชั่วคราวแล้ว

อย่างไรก็ตาม นายสุเทียนบอกว่า เขาตัดสินใจไม่ไปศูนย์อพยพ เพราะว่าเขาเป็นหนึ่งในชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) จึงมีหน้าที่ต้องคอยดูแลบ้านเรือนและสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านที่อพยพออกไปแล้ว

"ผมก็ต้องป้องกันโจรขโมยอะไรพวกนี้ แล้วก็วัว ควาย ที่เจ้าของบ้านเขาไม่อยู่ เราก็ต้องไปเอาหญ้าเอาน้ำ ให้วัวกิน" เขาบอก

ชาวบ้านใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เริ่มอพยพออกจากพื้นที่แล้ว หลังความรุนแรงชายแดนไทย-กัมพูชา ระลอกใหม่เริ่มต้นขึ้นวานนี้ (7 ธ.ค.)

ด้านนางปราณี ระงับภัย หนึ่งในทีมศูนย์ประสานงานการวิจัยเพื่อท้องถิ่น จ.ศรีสะเกษ บอกว่าตอนที่มีแจ้งเตือนอพยพ เธออยู่ที่สนามกีฬาจังหวัด แต่ทุกคนรอบตัวก็ตื่นตัวกันมากเพราะนี่ไม่ใช่การอพยพครั้งแรก

"ช่วงประมาณบ่ายกว่า ๆ มันมีเสียงสัญญาณเตือนมาในโทรศัพท์ทุกคนที่อยู่ในสนาม หลังจากนั้นก็มีการประกาศให้ใครก็ตาม ที่ไม่ใช่นักกีฬาออกไปจากสนามแล้วก็กลับบ้านด่วน ซึ่งทุกคนมีประสบการณ์จากเหตุการณ์ครั้งที่แล้วเมื่อวันที่ 24 ก.ค. มันทำให้คนมีความตื่นตัวหลังจากได้รับสัญญาณเตือนแล้วก็รีบวิ่งกลับกัน" เธอบอก

นางปราณี บอกด้วยว่าในการอพยพของเทศบาลมีแผนการที่เคยซ้อม และนายกเทศมนตรี หรือผู้นำเทศบาลจะเป็นคนแจ้งผู้ใหญ่บ้านและคนในหมู่บ้านว่า เมื่ออพยพแล้วต้องไปอยู่ที่ศูนย์อพยพไหน อีกทั้งยังมีการเตรียมพร้อมยานพาหนะเพื่อเคลื่อนย้ายผู้คนด้วย

"ผู้นำจะมีแผนอพยพแล้วบอกว่า แต่ละหมู่บ้านจะต้องไปอยู่ศูนย์อพยพที่ไหน เขาจะโพสต์ลงโซเชียลเลย...ใครที่มีรถส่วนตัวจะออกไปก่อนก็ไปได้เลย ส่วนคนที่ไม่มีรถ ทางหน่วยงานก็พยายามจะหารถเพื่อที่รับส่ง เช่น รถโรงเรียน หรือไม่ก็รถเทศบาล รถหน่วยงานงาน" เธอกล่าวเสริม

ทั้งนี้ เธอยังคง "เข้า ๆ ออก ๆ" ศูนย์อพยพอยู่เพราะต้องคอยประสานงานช่วยเหลือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียง

สภาพศูนย์อพยพเป็นอย่างไร

นายสุเทียนบอกว่า ตนกังวลเรื่องความเครียดของชาวบ้านที่ต้องไปอาศัยอยู่ที่ศูนย์อพยพ เพราะไม่รู้ว่าต้องไปอยู่นานแค่ไหน

"คนที่เคยอยู่บ้านตัวเอง ต้องไปอยู่รวมกัน จากวันแรกยังไม่เท่าไหร่ พอไป 4-5 วัน จะเริ่มคิดแล้ว ทั้งคิดถึงทรัพย์สิน บ้าน และเวลาต้องซักเสื้อผ้า มันก็ไม่มีความเป็นส่วนตัว" เขาบอก พร้อมกล่าวเสริมด้วยว่า ข่าวลือเรื่องสงครามในศูนย์ผู้อพยพก็เป็นอีกสาเหตุหลักที่ทำให้คนรู้สึกเครียด

"ในช่วงเวลาสงคราม เวลาเราจะไปอยู่รวมกัน มันจะมีข่าวลือทำให้บั่นทอนจิตใจ เช่น ลูกปืนลงตรงนี้แล้ว ลงตรงนั้นแล้ว คนในศูนย์เขาก็จะเริ่มวิตกกังวล" เขากล่าว

ด้านนางปราณี บอกกับบีบีซีไทยว่าตอนนี้สิ่งที่เธอกังวลที่สุดคือเรื่องการจัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยติดเตียง เพราะมีความละเอียดอ่อนมาก

"ห่วงเรื่องผู้ป่วยติดเตียงหรือว่าผู้ป่วยที่ต้องใช้สาย อย่างเช่น ผู้ป่วยฟอกไต มันฉุกเฉินมากและในในการอพยพครั้งนี้ เราต้องวิเคราะห์ด้วยว่าศูนย์อพยพนั้น ๆ มันรองรับผู้ป่วยได้ไหม" เธอกล่าวเสริม พร้อมอธิบายด้วยว่า เป็นเรื่องจำเป็นก่อนส่งตัวผู้ป่วย ต้องตรวจสอบให้มั่นใจก่อนว่า "สถานที่เหมาะกับคนป่วยโรคไตที่ต้องล้างช่องท้องไหม หรือมีความสะอาดเพียงพอไหม"

อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่าตอนนี้ศูนย์อพยพบางแห่งยัง "ไม่มีการรองรับในเรื่องนี้เลย" ทำให้ในบางครั้งผู้ป่วยต้องไปอาศัยอยู่บ้านญาติแทน หรือต้องให้เขาหาที่อื่นเองที่ไม่ใช่ศูนย์ฯ

ทั้งนี้ นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยหลังการประชุมติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีชายแดนไทย-กัมพูชา ว่ากระทรวงสาธารณสุขเตรียมรับสถานการณ์แบ่งพื้นที่ความเสี่ยงเป็น 3 โซนหลัก ประกอบด้วย
  • พื้นที่สีแดง ระยะห่างจากเหตุปะทะราว 20 กิโลเมตร
  • พื้นที่สีชมพู ห่างออกมาราว 50 กิโลเมตร
  • พื้นที่สีส้ม ห่างออกมาราว 100 กิโลเมตร
โดยขณะนี้มีการอพยพผู้ป่วยใน จาก รพ.พื้นที่สีแดงแล้วใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย
  • โรงพยาบาลน้ำยืน โรงพยาบาลน้ำขุ่น โรงพยาบาลนาจะหลวย ใน จ.อุบลราชธานี
  • โรงพยาบาลกันทรลักษ์ โรงพยาบาลภูสิงห์ ใน จ.อุบลราชธานี
  • โรงพยาบาลพนมดงรัก โรงพยาบาลกาบเชิง ใน จ.สุรินทร์
  • โรงพยาบาลละหานทราย โรงพยาบาลบ้านกรวด ใน จ.บุรีรัมย์
ผลกระทบต่ออาชีพ

ก่อนที่จะต้องอพยพออกจากพื้นที่หลังจากที่มีการปะทะครั้งใหม่ ชาวบ้านบอกว่า พวกเขาก็ต้องอยู่ภายในความวิตกกังวลมานานระยะเวลาหนึ่งแล้ว ขณะที่บางส่วนกลับไม่เชื่อมั่นต่อข้อตกลงหยุดยิงระหว่างสองประเทศที่เคยลงนามไว้เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา

นายสุเทียนบอกว่า "คนชายแดนเขารู้กันว่ามันไม่สงบ มันไม่จบ ในห้องประชุมเขา [รัฐบาลไทยและกัมพูชา] ตกลงกัน แต่ในพื้นที่มันไม่ใช่ มันทะเลาะกันตลอด"

นั่นทำให้เขาเป็นกังวลเรื่องปัญหาชายแดนมาตลอดว่าความรุนแรงจะปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่ เพราะเมื่อเกิดความรุนแรงขึ้น การงานอาชีพเขาก็จะได้รับปัญหาทันที

"ลงทุนทำอะไรไม่ได้ คิดจะลงทุนทำการเกษตรอะไร คนเขาก็ไม่กล้าลงทุน อย่างผมก็ตั้งใจว่าจะหว่านข้าววันนี้ แช่ข้าวไว้หมด เริ่มงอกแล้ว แต่พอเกิดเหตุการณ์ก็ต้องทิ้งพันธุ์ข้าวไป" เขาอธิบาย

ด้านนางปราณี ก็บอกกับบีบีซีไทยว่า ปัญหาในชายแดนที่ยังไม่สงบเสียที ก็ทำให้ชาวบ้านทุกข์ใจมาก และยังส่งผลกระทบต่อการทำมาหากิน

"ชีวิตอยู่ในความวิตกกังวล อย่าลืมว่าพื้นที่ที่เราอยู่คือชายแดน พื้นที่ทำการเกษตรก็อยู่ชายแดน บางคนเนี่ยไปกรีดยางในตอนกลางคืน ทำให้อยู่ด้วยความระแวง" เธอบอก

"มันไม่มีความชัดเจน เราอยากให้ทางหน่วยงานหรือทางนักการเมืองทั้งหลาย ตัดสินใจเด็ดขาดให้มันจบ เพื่อความเป็นอยู่ของชาวบ้านชายแดนทั้งหมด ไม่แน่ใจว่าเขากำลังทำอะไรกันอยู่ แต่อยากให้เห็นแก่ชาวบ้านบ้าง อย่างน้อยชีวิตช่วงนี้ก็ได้รับผลกระทบ...ถ้าต้องอพยพนาน ก็ขาดรายได้" เธอกล่าวทิ้งท้าย

https://www.bbc.com/thai/articles/cx23x2llnw3o