วันอังคาร, กรกฎาคม 01, 2568

พริษฐ์พูดโต้ สิ่งที่ลุงสนธิพูดบนเวที อย่าเปิดทางอำนาจนอกระบบ

·
“ไม่ขัดถ้ารัฐประหาร”

“สนธิ” ประกาศ บนเวที ”ถ้าเขาจะทำก็เรื่องของเขา“

18.30น. “ถ้าเห็นว่าวิกฤติการเมืองเกิดขึ้น และแก้ไม่ได้ เขาจะทำก็เรื่องของเขา“
.
“แต่ขออย่างเดียว ถ้าจะทำ สาธุ ขออย่าเอาพลเอกมาบริหารชาติบ้านเมืองอีก ให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาประเทศชาติ”
.
“สนธิ ลิ้มทองกุล” ปราศรัยประโยคนี้ช่วงหนึ่งบนเวที
.
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าทิศทางของแกนนำผู้ชุมนุม นอกจากจุดประสงค์ที่บอกว่าไล่นายก และก่อนหน้านี้พยายามสื่อสารว่า “ไม่เอารัฐประหาร” สรุปว่า “ไม่จริง”

https://www.facebook.com/photo/?fbid=3284334305038217&set=a.304821756322835




คุยสด กับ “ไอติม” จุดยืนพรรคประชาชนต่อแกนนำม็อบ หวั่นเปิดทางรัฐประหาร | TODAY LIVE

Streamed live 10 hours ago 

พรรคประชาชน ประณามแกนนำคณะรวมพลังแผ่นดินบางคน ปลุกกระแสชาตินิยมเกินขอบเขต เพื่อสร้างความชอบธรรมให้รัฐประหาร แนะดูบทเรียนจาก 2 ครั้งที่ผ่านมา

ร่วมพูดคุยประเด็นนี้กับ พริษฐ์ วัชรสินธุ - สส. บัญชีรายชื่อ และ โฆษกพรรคประชาชน

ดำเนินรายการโดย 
อภิสิทธิ์ ดุจดา

https://www.youtube.com/watch?v=Hdijf7ufwTY








 https://x.com/Js_live2/status/1939644004695716134



การเมืองร้อนที่ต้องลุ้นของ 2 พ่อลูกตระกูลชินวัตร เริ่ม 1 กรกฎาคม


Tuangporn Asvavilai
7 hours ago
·
การเมืองร้อนที่ต้องลุ้นของ 2 พ่อลูกตระกูลชินวัตร
พรุ่งนี้ 1 กรกฎาคม 2568เป็นวันที่“ศาลรัฐธรรมนูญ”
จะพิจารณาว่าจะรับคำร้องของ 36 สว.ที่ยื่นผ่าน
“ประธานวุฒิสภา“ ให้พิจารณาใน 3 ประเด็น คือ
1.ขอให้ศาลวินิจฉัย ว่าน.ส. แพทองธาร ชินวัตร ดำรงตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ เหตุผลคือ พฤติกรรม
ขาดคุณสมบัติ, ไม่ซื่อสัตย์สุจริต, ละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง
หลังปรากฏคลิปเสียงลับกับ “ฮุน เซน” พาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2
และทหาร
2.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุติปฏิบัติหน้าที่“นายกรัฐมนตรี”ของ น.ส. แพทองธาร ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยเป็นที่สิ้นสุด
3.มอบอำนาจให้ พล.อ. สวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา เป็นตัวแทนในการดำเนินคดี เช่น ยื่นบัญชีพยาน แถลงคดี เบิกความ และดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อศาลรัฐธรรมนูญจนสิ้นสุด
แต่การพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ในกรณีของ
“นายกฯแพทองธาร” ออกได้ 3 แนวทาง คือ
1.แนวทางแรกศาลรัฐธรรมนูญ“รับคำร้องไว้พิจารณา
และ “สั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่” ถ้าออกแนวทางนี้
นายกฯแพทองธาร” ต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว“
โดยวันนี้ นายกฯแพทองธารยอมรับว่า “มีความกังวล
แต่ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ”และตอบรับว่า
เธอจะ“ควบตำแหน่ง”“รัฐมนตรีวัฒนธรรม“ในโผ ครม.ใหม่ด้วย
ถ้าออกแนวทางนี้อาจนำไปเทียบกับกรณีที่”ศาลรัฐธรรมนูญ“
สั่งให้ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา”ยุติการปฏิบัติหน้าที่
ชั่วคราวเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 จากกรณีที่
“ฝ่ายค้าน” 176 คน ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้
วินิจฉัยว่า พลเอกประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งครบ 8 ปี ตามที่รัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนดไว้หรือไม่
เหตุผลที่“ศาลรัฐธรรมนูญ”สั่งให้พลเอกประยุทธ์ยุติการ
ปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวคือเพื่อป้องกันผลกระทบต่อประเทศ
และความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากอยู่เกินวาระ
หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้“พลเอกประยุทธ์”ยุติการปฏิบัติ
หน้าที่ชั่วคราว พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
ทำหน้าที่ “รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี” แต่แม้พลเอกประยุทธ์จะถูกสั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว แต่เขาก็ยังอยู่
ในคณะรัฐมนตรี เพราะควบตำแหน่ง“รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงกลาโหม”ด้วย
นับจากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาประมาณ 36 วัน
วันที่ 30 กันยายน 2565 มีมติ 6 ต่อ 3 ว่า พลเอกประยุทธ์ยัง
อยู่ไม่ครบวาระ 8 ปี เพราะเริ่มนับตั้งแต่รัฐธรรมูญปี 2560
มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 ส่งผลให้
พลเอกประยุทธ์กลับเข้ารับตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี“ต่อทันที
2.แนวทางที่สอง “ศาลรัฐธรรมนูญ” รับคำร้องไว้พิจารณา
แต่ “ไม่สั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว”
กรณีจะไปเทียบเคียงกับกรณี 40 สว.ร้องเรียนเกี่ยวกับการ
ที่“นายกฯเศรษฐา ทวีสิน“ แต่งตั้ง“นายพิชิต ชื่นบาน” เป็น
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากพฤติการณ์
ของนายพิชิตเป็นการขัดมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 แต่ไม่สั่งให้นายกฯเศรษฐายุติการปฏิบัติหน้าที่
ในช่วงที่ศาลพิจารณาคดี
หลังจากศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณากว่า 3 เดือน เมื่อวันที่
14 ส.ค. 2567: ศาลวินิจฉัยด้วยเสียงข้างมาก 5–4 ว่า
นายกฯเศรษฐาขาดคุณสมบัติเพราะยินยอมแต่งตั้ง
ผู้มีพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์สุจริต จึงให้พ้นจากตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรีทันที และทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะ
พ้นจากตำแหน่งด้วย
ศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผลว่า เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ เพิ่มมาตรฐานคุณธรรม–จริยธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต
ในการแต่งตั้งรัฐมนตรี ถือว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์”และมีพฤติกรรมละเมิดมาตรฐานจริยธรรมอย่าง
ร้ายแรง”
3.แนวทางที่สาม ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่รับคำร้อง หากข้อมูล
หลักฐานยังไม่ชัดเจน จึงสั่งให้แสวงหาหลักฐานเพิ่มเติม
กรณีนี้จะถูกเทียบเคียงกับ กรณีพลเอกประยุทธ์เมื่อปี 2562
ยังพักอาศัยอยู่ในบ้านพักทหาร”แม้จะพ้นตำแหน่งข้าราชการ
ไปแล้ว “ศาลรัฐธรรมนูญ”ไม่รับคำร้องในครั้งแรก ให้ไป
หาพยานหลักฐานมาเพิ่มเติม หลังจากนั้นจึงรับคำร้องไว้
จากนั้นมีคำวินิจฉัยในปี 2563 ว่า “พลเอกประยุทธ์”ไม่ผิด
ย้อนกลับไปในปี 2555 “นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ถูกกล่าวหา
ใช้อำนาจโดยมิชอบโยกย้าย“นายถวิล เปลี่ยนศรี”ออกจากตำแหน่ง“เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ”หรือ สมช.
เริ่มแรกศาลรัฐธรรมนูญยังไม่รับคำร้องเพราะพยานหลักฐาน
ไม่ครบถ้วน ให้ไปหาหลักฐานเพิ่มเติม ต่อมา ปปช.เป็น
ผู้ชี้มูลความผิด แล้วส่งเรื่องกลับมาที่“ศาลรัฐธรรมนูญ”
อีกครั้ง
จนเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2557ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์
9 ต่อ 0 ให้น.ส. ยิ่งลักษณ์ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เพราะกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ เป็นการแทรกแซง
กระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำอย่างมิชอบ
และใช้อำนาจหน้าที่ โดยมิชอบเพื่อเอื้อประโยชน์ทางการเมือง
นี่คือ 3 ฉากทัศน์ทางการเมืองของ”นายกฯแพทองธาร“
ที่จะออกได้ 3 แนวทางขึ้นอยู่กับการวินิฉัยของ”ศาลรัฐธรรมนูญ“
วันพรุ่งนี้ ยังมีคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 112 และคดีทำผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ปี 2550
ของ“คุณทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีปี 2558
คุณทักษิณให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้มีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน
วันนี้ทนายประจำตัวของคุณทักษิณ ยืนยันว่าในวันที่ 1 กรกฏาคม 2568 คุณทักษิณจะเดินทางไปที่ศาลอาญาด้วยตนเอง
สำหรับการสืบพยานมีทั้งหมด 7 นัด สืบพยานฝ่ายโจทก์นัด
วันที่ 1-2-3 กรกฎาคม 2568 นัดสืบพยานฝ่ายจำเลย
วันที่ 15-16-22-23 กรกฎาคม 2568 หลังจากนั้นศาลจะจัด
ทำคำพิพากษาต่อไป
นี่คือ”การเมืองร้อน“ในห้วงอันใกล้ของ”2พ่อลูกตระกูลชินวัตร”
ที่ต้องลุ้นกันวันต่อวัน ทั้งกรณียื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
อาจชัดเจนขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคมและวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นัดไต่สวนคดีชั้น 14 นัดแรก โดยคุณทักษิณ ไม่ต้องเข้า
ไต่สวนด้วยตนเอง แต่สามารถมอบอำนาจให้ทนายความ
เข้าร่วม และนำเสนอพยานของฝ่ายจำเลยได้

https://www.facebook.com/tuangporn.asvavilai/posts/10016252081784862







.....

Thanapol Eawsakul
1 minute away
·
ยังไม่มี พระบรมราชโองการ โปรดเกล้าครม.ชุดใหม่ใช่ไหมครับ
โอเคงั้นรอจนถึงเที่ยงแล้วกัน
ถ้ายังไม่มี 80% แพทองธาร. ชินวัตร ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้ยุติปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว
มาถึงตอนนี้ก็ต้องรอต่อไปแล้วครับว่า หลังจากนั้น จะมีพระราชกรมราชโองการ ตามมาหรือไม่
.....

Pavin Chachavalpongpun
9 hours ago
·
พรุ่งนี้ บทความดิชั้นที่เขียนร่วมกับ Josh Kurlantzick จะตีพิมพ์ที่อเมริกา เราลงความเห็นว่า นี่คือจุดจบของตระกูลชินวัตร ความล้มเหลวของแพทองธารเป็นแค่ the tip of the iceberg หายนะที่ใหญ่กว่านั้นเริ่มตั้งแต่ก้าวแรกที่ทักษิณเหยียบแผ่นดินไทยเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว การทำดีลกับเจ้า/ทหาร ทำให้ทักษิณตายใจว่าได้ทุกอย่างกลับคืน ที่ตายใจส่วนหนึ่งเพราะพรรคก้าวไกลเป็นศัตรูใหม่ของเจ้า แต่ทักษิณก็มองผิดและคิดไปว่าตัวเองเป็นมิตรใหม่ของเจ้า - ไม่เลย ทักษิณแม่งยังถูกมองเป็นศัตรูไม่เปลี่ยน ถึงมีคดี 112 ค้ำคออยู่ ทักษิณแม่งถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วตัวเองก็ไม่เคยจริงใจในการสนับสนุนประชาธิปไตย ถูกเจ้าหลอก แล้วก็มาหลอกเสื้อแดงอีกต่อ
…ความพังล่าสุด เพราะตัวเอาเอาลูกสาวมาลงเล่นพนันทางการเมือง แต่ลูกสาวสติปัญญาไม่พอใจ เผลอหลุดปากด่าทหารเมื่อคุยกับฮุนเซน ทำให้ภาพที่เป็นศัตรูกับเจ้า/ทหารที่มีอยู่แล้ว ยิ่งชัดขึ้น ปัญหาใหญ่กว่านั้น ทักษิณไม่มีประชาชนเป็น back up อีกแล้วรอบนี้ เพราะตระบัดสัตย์ จะดึงเอาคนในครอบครัวคนอื่นขึ้นมาเป็นนายกอีก ก็ไม่มีเหลือให้ไปต่อ นี่คือการจบสิ้นของชินวัตร สิ้นสุดทางเลื่อนค่ะ



“ต้องชำระประเทศ”: ถ้าจะสรุปแนวคิดพวกม็อบหมื่นปี อันนี้ชัดเจนที่สุด ใช้ศาลองค์กรอิสระถอดนายกฯ ใช้ ม.144 ล้าง สส. สว. แล้วใช้ “มาตรา 5 ก่อนเลือกตั้ง”


Atukkit Sawangsuk
20 hours ago
·
ถ้าจะสรุปแนวคิดพวกม็อบหมื่นปี อันนี้ชัดเจนที่สุด
ใช้ศาลองค์กรอิสระถอดนายกฯ ใช้ ม.144 ล้าง สส. สว.
แล้วใช้ “มาตรา 5 ก่อนเลือกตั้ง”
มันบ้าแหละแต่มันคิดกันอย่างนี้ เลี่ยงการเรียกหารัฐประหารเพราะรู้ว่าประชาชนไม่เอาแล้ว

The Publisher
Yesterday
·
“ต้องชำระประเทศ”:
ไม่ใช่รัฐประหาร แต่คือการรีเซ็ตผ่านรัฐธรรมนูญ
วิเคราะห์ท่าทีม็อบ 28 มิ.ย.68
“ประเทศนี้โกงเห็น ๆ ขายชาติเห็น ๆ จะรอให้ชิบหายไปถึงไหน… วันนี้ประเทศไทยถ้าไม่แก้ปัญหาที่ต้นตอ ไม่ว่าจะเจอรัฐบาลแบบไหน มีรัฐประหารแบบใด ออกนโยบายอย่างไร ได้แค่บรรเทาอาการ รักษาโรคและฟื้นฟูไม่ได้… เชื้อชั่ว ดีเอ็นเอชั่วกระจายไปทั้งแผ่นดิน ไม่ใช่แค่ตระกูลนี้ แต่กระจายไปทั่วหน่วยงานรัฐ ต้องชำระประเทศ!”
— นิติธร ล้ำเหลือ (ทนายนกเขา)

นั่นคือคำปราศรัยที่ชัดเจนว่าวิธีคิดของผู้ที่รวมกลุ่มกันในชื่อ รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ไปไกลกว่าคำว่า “รัฐประหาร” ตามที่มีหลายฝ่ายพยายามป้ายสี
แม้จะมีคำพูดของสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ในบางประโยคพอจะตีความว่าเอื้อต่อรัฐประหาร เช่น “ไม่ได้ยั่วยุให้รัฐประหาร แต่ถ้าจะทำอย่าเอาพล.อ.มาบริหารประเทศ” แต่หากฟังทั้งบริบท จะเห็นได้ว่า แม้แต่สนธิก็ไม่ได้มองว่ารัฐประหารแบบเดิมที่เอาอำนาจไปฝากไว้ในมือทหารคือคำตอบ
และหากมององค์รวมจากคำปราศรัยในวันที่ 28 มิ.ย. ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จะยิ่งเห็นชัดว่า ปลายทางของม็อบนี้ไม่ใช่รัฐประหาร แต่คือการ “รีเซ็ตระบบ” โดยคืนอำนาจให้ประชาชน ผ่านกลไกที่รัฐธรรมนูญเปิดทางไว้แล้ว
ข้อเสนอหลายประการที่ถูกหยิบยกจากเวทีนี้ ไม่ว่าจะจาก แก้วสรร อติโพธิ, เจษฎ์ โทณะวณิก หรือแม้แต่ จตุพร พรหมพันธุ์ ต่างชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของระบบการเมือง และการเรียกร้องให้ คืนอำนาจอธิปไตยให้ประชาชน ผ่านการ “จัดการ” กับกลไกที่บิดเบี้ยวเสียก่อน—ไม่ใช่ผ่านรถถัง ไม่ใช่ผ่านการรัฐประหารจากกองทัพ

การรีเซ็ตด้วยรัฐธรรมนูญ: ทางออกที่ถูกพูดชัดจากเวที
หนึ่งในข้อเสนอที่ชัดเจนที่สุดมาจาก รศ.เจษฎ์ โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่ชี้ว่า หากสถานการณ์การเมืองไปถึงทางตัน เช่น
• ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่
• พรรคร่วมรัฐบาลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่
• ป.ป.ช. ชี้มูลการใช้งบผิด มาตรา 144 ส่งผลให้ ครม. สภา และวุฒิสภา ถูกกวาดออกจากกระดานอำนาจทั้งหมด
สิ่งที่จะตามมาไม่ใช่รัฐประหาร แต่คือ การเปิดทางให้ กกต. จัดการเลือกตั้งใหม่โดยใช้ “ประเพณีการปกครอง” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 5
“ผมไม่ได้เรียกร้องปฏิวัติรัฐประหาร ผมไม่ได้เรียกร้องให้มีนายกฯ ในลักษณะอื่น… ถ้าสภาล่มหมดแล้ว เหลือแต่ประชาชน ก็ต้องกลับไปตั้งต้นใหม่ผ่านการเลือกตั้ง… นี่คือประเพณีการปกครองที่อยู่กับเราตั้งแต่ 2475”
— รศ.เจษฎ์ โทณะวณิก
เขาย้ำว่า แม้รัฐธรรมนูญจะไม่มีบทบัญญัติรองรับกรณีสุญญากาศทางอำนาจแบบนี้โดยตรง แต่ มาตรา 5 วรรคสอง ได้วางช่องทางให้ “วินิจฉัยไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ซึ่งไม่ใช่การปฏิวัติ โดย คืนอำนาจให้ประชาชนผ่านการเลือกตั้งภายใต้อำนาจอธิปไตยของประชาชนที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจผ่านรัฐบาล รัฐสภาและศาลฯ ไม่ใช่การประเคนอำนาจให้ตัวแทนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ โฉดเขลาเบาปัญญา ที่ต้องกลับมาตั้งต้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า

ปฏิรูปไม่พอ ต้องชำระทั้งระบบ?
คำพูดของ ทนายนกเขา ที่บอกว่า “เราบรรเทาได้แต่รักษาโรคไม่ได้” สะท้อนความรู้สึกของผู้คนที่อยู่กับวงจรเลือกตั้ง – ประชานิยม – คอร์รัปชัน-ความขัดแย้ง-รัฐประหาร มาหลายสิบปี ว่า การแก้ปัญหาเป็นเพียงการประคอง แต่ไม่เคยเปลี่ยนต้นตอ
เมื่อเชื้อร้ายไม่ได้จำกัดอยู่ที่ “ตระกูลทักษิณ” แต่กระจายไปในข้าราชการ นักการเมือง กลุ่มทุน องค์กรอิสระ ไปจนถึงกระบวนการยุติธรรม การลุกขึ้นมา “ชำระ” จึงเป็นคำที่ใหญ่กว่านั้น ซึ่งอาจหมายถึงการ “รีเซ็ตระบบ” ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และกฎหมาย ผ่านกระบวนการที่เปิดทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้

รัฐธรรมนูญยังเป็นคำตอบ
กลุ่มรวมพลังแผ่นดินฯ อาจใช้ถ้อยคำรุนแรง โจมตีนักการเมืองด้วยโทนปราศรัยที่คมคายดุดัน แต่สิ่งที่พวกเขาเสนอไม่ใช่การฉีกกติกา หากแต่เป็นการ “เดินให้สุดทางตามกติกา” ตามระบบที่มีอยู่ จนถึงจุดที่ต้องใช้ “มาตรา 5” เพื่อจัดการกับสภาวะสุญญากาศของอำนาจรัฐ โดยมีการย้ำหลายครั้งว่า รัฐประหารก็ไม่ใช่คำตอบ
เพราะการชำระแผ่นดิน ไม่อาจฝากความไว้ใจกับนักการเมือง ไม่อาจฝากความหวังไว้กับรถถัง — เพราะสุดท้ายคือเขาวงกตที่ไม่เคยนำพาประเทศสู่ทางออกที่แท้จริง
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในกติกา คือ มาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่เพียงเปิดช่องให้การวินิจฉัยอำนาจทำได้ตาม “ประเพณีปกครอง” แต่ยังเป็นช่องทางเดียวที่ประชาชนสามารถ “เริ่มใหม่“ ได้ โดยไม่ต้องพึ่งรถถังหรือฉีกรัฐธรรมนูญ
———-
มีทางออก…แต่ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับ
แต่เส้นทางนี้ก็อาจไม่ง่าย เพราะพรรคเพื่อไทยในฐานะผู้ครองอำนาจ ย่อมต้องเหนี่ยวรั้งทุกทางไม่ให้เดินไปสู่จุดนั้น ขณะเดียวกันพรรคประชาชนแม้จะได้เป็นสส.ภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ ก็ไม่คอยยอมรับความชอบธรรมของมันอย่างแท้จริง
เส้นทางการเมืองจึงกำลังเข้าสู่ทางแยกสำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่แรงเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม—ปลุกมวลชนให้ต่อต้านการใช้รัฐธรรมนูญมาตรา 5 ซึ่งจะเป็นการปะทะทางความคิดระหว่างสองขั้วสังคมที่รุนแรงและเปราะบางยิ่ง
แต่ไม่ว่าจะจบลงอย่างไร สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ คือช่วงเวาท้าทายสำหรับการเมืองไทย ด้วยการตั้งคำถามใหม่ว่า ประชาชนไทยพร้อมจะรีเซ็ตประเทศด้วยมือของตัวเองแล้วหรือยัง?

https://www.facebook.com/baitongpost/posts/23963180873337083


"พ่อบอกพ่อไม่ให้เข้าบ้าน พ่อบอกเข้ามาๆๆ แต่พ่อปิดประตูแล้วนะพ่อว่างี้... การที่คุณอ้นงานเข้าเช่นนี้ ทำให้กระแส #พ่อไม่รัก #โอไม่เลี้ยง เป็นที่โจษจันกล่าวขานเรื่อยมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


Royal World Thailand - รอยัล เวิลด์ ประเทศไทย
18 hours ago
·
"พ่อบอกพ่อไม่ให้เข้าบ้าน พ่อบอกเข้ามาๆๆ แต่พ่อปิดประตูแล้วนะพ่อว่างี้..."

ท่ามกลางความร้อนระอุจากความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดน ได้เกิดกระแสไวรัลทางสื่อสังคมออนไลน์ตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายน 2568 หลังมีการเผยแพร่จดหมายเปิดผนึกที่ระบุว่าเขียนโดย "คุณอ้วน-จุฑาวัชร และคุณอิน-วัชรวีร์ วิวัชรวงศ์" สองพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่โหยหาความรักความเมตตาจากทูลกระหม่อมพ่อ ว่าด้วยโอกาสการขอกลับสู่แผ่นดินเกิดอีกครั้ง

ย้อนไปเมื่อเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา คุณอ้น-วัชเรศร ได้พาคุณอ้วน และคุณอิน ผู้เป็นพี่ชายและน้องชาย เดินทางเยือนไทยครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปีหลังย้ายไปพำนักกับหม่อมมารดาที่แยกทางกับทูลกระหม่อมพ่ออย่างไม่สวยงาม อย่างไรก็ตาม ในจดหมายเปิดผนึกได้ระบุว่า เหล่าอดีตท่านชาย ถูกเจ้าหน้าที่ห้ามไม่ให้เข้าใกล้เขตพระราชฐาน รวมทั้งวัดพระศรีรัตนศาสดาราม รวมทั้งมิให้อัพเดทความเคลื่อนไหวต่อสาธารณชน อีกทั้งมีการแอบติดตามจนถึงวันที่เดินทางกลับสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

จดหมายเปิดผนึกที่เผยแพร่ผ่านเฟสบุ๊คเพจส่วนตัวที่เพิ่งสร้างเพียงไม่นาน ได้เกิดกระแสวิจารณ์เซ็งแซ่และข้อกังขาเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวที่แท้จริงของเหล่าอดีตท่านชาย ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร เพราะเป็นที่กังขามานานแล้ว โดยเฉพาะกับคุณอ้น ที่มีบทบาทมากที่สุด จากที่เดินสายโชว์ตัวสร้างเรตติ้งไม่หยุดหย่อน อีกทั้งได้รับการปฏิบัติใกล้เคียงกับความเป็นเจ้านาย จนถูกนักวิชาการผู้รักสถาบันชื่อดัง ปรามาสและตราหน้าว่าเป็นท่านชายกำมะลอ ยังไม่รวมถึงเรื่องส่วนตัวอย่างเรื่องครอบครัวและสถานภาพทางการเงินที่ถูกขุดคุ้ยออกมาด้วย

คุณอ้นถือเป็นตัวเปิดเพื่อเสี้ยวนาทีที่ยิ่งใหญ่ ให้ใจดไว้นานเท่านาน เพื่อไขว่คว้าดวงนั้นที่ฝันที่อยากเป็น และเปิดทางให้เหล่าพี่น้องได้กลับบ้านด้วย ทำให้ประชาชนลุ้นกันว่า สายสัมพันธ์พ่อลูกจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือไม่ แต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น สอดคล้องกับโพสต์จดหมายของอดีตท่านชายที่ระบุว่า ได้ส่งหนังสือขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้วไม่มีการตอบกลับมาใดๆ

ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า ขณะนี้เป็นช่วงมรสุมบนเส้นทางแห่งความฝันนี้ อาจไม่มีพรมแดงปูทาง เพราะนอกจากจะถูกวิจารณ์ถึงการปรากฎตัวอันชวนอิหลักอิเหลื่อแล้วนั้น คุณอ้นยังโดนหางเลขจากผู้ติดตามคนสนิทที่ถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการครอบครองอาวุธผิดกฎหมาย อีกทั้งยังต้องสงสัยว่าพัวพันในหลายคดี ทำให้ถูกมองว่าแต่ละคนรายล้อมตัวคุณอ้นนั้น #ดีย์ดีย์ทั้งนั้น อาจเป็นสาเหตุที่ต้องออกบวชปลีกวิเวกทันด่วนเพื่อมิให้เป็นที่ต้องมลทินมัวหมอง กระทั่งสุดท้าย คุณอ้นถูกเมนเทอร์ตัดสินในห้องดำว่าสุดท้ายแล้ว คุณไม่ใช่เดอะเฟสค่ะ

การที่คุณอ้นงานเข้าเช่นนี้ ประกอบกับการที่พี่ชายและน้องชายถูกห้ามไม่ให้เข้าประเทศ ทำให้ถูกอนุมานได้ว่า คุณอ้วนและคุณอินก็โดนหางเลขจากคุณอ้นไปเช่นกัน การที่สุดท้ายแล้วถูกขับออกนอกประเทศ และการถูกบังคับให้ลดบทบาทจากโลกสาธารณะ ทำให้กระแส #พ่อไม่รัก #โอไม่เลี้ยง ก็เป็นที่โจษจันกล่าวขานเรื่อยมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และการที่ "สามพี่น้อง" กำลังตกระกำลำบากอยู่นั้น ยังมีอีกคนในหมู่สี่พี่น้องคือคุณอ่อง-จักรีวัชร ที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ขณะที่อยู่ในไทย ก็ได้ดำเนินชีวิตตามปกติโดยมิได้ฉายสปอตไลท์ให้ตัวเองโดดเด่นเหมือนพี่ชาย ด้วยเหตุนี้ ทำให้เกิดข้อสงสัยต่อประเด็น "แตกหักในหมู่พี่น้อง" ขึ้นมา เนื่องจากหลายสิ่งบ่งบอกถึงดราม่าภายในพี่น้องตั้งแต่มีการโพสต์ภาพถ่ายรวมกันของพี่น้องหลายครั้งโดยไม่มีคุณอ่อง ซึ่งในเพจส่วนตัวก็ไม่มีคุณอ่องร่วมเฟรมภาพเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้คุณอ่องจะหลุดจากวังวนพี่น้องอลเวง และดำรงตนอย่างเงียบๆ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจรอดพ้นการโดนหางเลขจากพี่ชาย และยอมรับชะตากรรมอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

ทั้งหมดทั้งมวล จึงเป็นประเด็นถกเถียงและฮือฮากับความกังขาและความไม่ชัดเจนในเหล่าพระหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ที่ยังไม่มีโอกาสหวนคืนร่วมชายคาพระบารมีเสียที จากที่เหล่าอดีตท่านชายได้กล่าวว่า ทูลกระหม่อมพ่อเคยรับสั่งว่ากลับเมื่อไหร่ก็ได้ แต่พอถึงเวลาจริงกลับถูกห้ามไม่ให้เข้าประเทศ ทำให้ถูกตีความเรื่องความสัมพันธ์พ่อ-ลูกอันขมขื่นหลังจากที่ทรงแยกทางกับหม่อมมารดา

เหล่าผู้สนับสนุนอดีตท่านชาย ยังคงหวังเล็กๆหวังลึกๆแม้จะมีเพียง 0.05 หรือ 1% ก็ตาม ที่จะได้เห็นทั้งสี่พี่น้องกลับสู่ใต้ร่มชายคามหาเศวตฉัตรอีกครั้ง แม้จะอีกนานเพียงใดก็ตาม ขณะที่กลุ่มคนที่ไม่พิสมัยในตัวอดีตท่านชาย ทั้งกลุ่มคนที่จงรักภักดีหรือไม่นิยมในสถาบันพระมหากษัตริย์ อยากให้มาทางไหน ไปทางนั้นเสียที อย่างไรก็ดี หากเมื่อชายไม่ท้อ คนรอก็คงไม่ทิ้ง แม้สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศจะร้อนระอุแค่ไหน ความเป็นไปด้วยความคาราคาซังของเหล่าอดีตท่านชายสี่หมี่เกี๊ยว ที่แม้จะถูกเขี่ยจากทางเดินสู่ฝั่งฝันแล้ว แต่อาจยังมีเรื่องราวให้นอนไม่หลับและเป็นที่ติดตามกันต่อไป...
----
Amidst the ongoing political tension with the neighbouring country on border disputes, an open letter leaked on social media specified that it was jointly written by Juthavachara and Vatchrawee Vivacharawongse, the oldest and youngest estranged sons of His Majesty King Vajiralongkorn of Thailand who seek for their father’s mercy and new chance to return to their homeland again.

Back to January 2025, Vacharaesorn, who was the first of four brothers returning to Thailand, took his older and youngest brother back to the country. It was their first time in over 30 years after living with their mother who unhappily separated and later divorced from The King. According to the ex-Princes’ letter, they were rejected their admission to the royal residences, even as tourists. They were also instructed not to make public appearances as they were monitored by undisclosed authorities until their trip back to the United States.

The open letter was published on the recently opened Facebook page of the brothers which led to huge criticism towards the ex-Princes’ hidden agenda. It is not surprising or unprecedented at all as they have been criticised and questioned for long. Particularly Vacharaesorn (a.k.a. Aon, or self-anglicised as Owen), he has made frequent public appearances, gaining the most prominent role among his brothers. As he keeps gaining popularity among supporters and being treated like a royal, he has been condemned by royalists as "fake Prince."

"Owen" decided to make himself debut to his brothers opening the pathway back home. Public speculated the possible reconciliation with their father. However, nothing happened. The ex-Princes also mentioned in the letter that no response received when they requested an official permission to have a personal audience with The King.

It is undeniable that "ex-Prince Owen" now faces a disastrous pathway to achieve his goal. Besides being questioned about his real weapons possession. He is reportedly questioned and detained by ambition and ambiguousness, he is also strongly affected by his companion who is arrested for criminal charges by police and official authorities. This matter is widely speculated as a main reason he immediately put himself into the monkhood. At last, he was finally vanished from his own way to the goal.

Juthavachara (a.k.a. Uan or Max) and Vatchrawee (a.k.a. Inn) were hence also affected from Vacharaesorn’s case, leading to their restricted action. The three brothers have been finally banished into the Kingdom. Their move is considered worth for nothing after The King and the palace send no signals or hints to welcome them back. It is thus widely talked about for The King’s ignorance and abandonment.

While the three brothers are now in distressed incident, another brother, Chakriwat seemingly had the most peaceful life. He spent the time living his discreet life without any self-spotlighting unlike his older brother. A new speculation if a rift occurred between Chakriwat and his brothers due to any hints showing the brothers become distant. A lot of recent photos published were taken with only the three brothers without him.

From what happened with his older brother, Chakriwat, however, was inevitably affected like his other siblings. He finally and willingly accepted his fate for his pathway.

Discussions on incredulity and ambiguity occurred from The King’s estranged sons who still never have a new chance to be under the royal glory. The ex-Princes said in the letter that they were told to return home at any time, but they were rejected and banished when the time comes. The true story of the father-son’s relationship has been therefore implied as bitter after their parents’ divorce.

The ex-Princes supporters still have a little hope to see the brothers are finally welcomed back to the 'real home' though many royalists and even anti-monarchists movements wish them not to return ever again. Despite having a political tension in the country, public still keep an eye on news and updates about the estranged former Princes of Thailand and unclear future of the Monarchy.
Royal World Thailand - รอยัล เวิลด์ ประเทศไทย

ติดตามบทความเดิม “เพื่อดาวดวงนั้นที่ฝันที่อยากเป็น เพื่อดาวดวงนั้นและฝันคงไม่ไกล” Link: https://t.ly/Wo28z


Royal World Thailand - รอยัล เวิลด์ ประเทศไทย
ติดตามบทความเดิม “เมื่อชาวราชภักดิ์กังขาและต่อต้าน พระหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์” Link: https://t.ly/jG0tp

Royal World Thailand - รอยัล เวิลด์ ประเทศไทย
ติดตามบทความเดิม “คนรักสถาบันฯไม่ทน แซะ ท่านชายกำมะลอ” Link: https://t.ly/DcYX_

Royal World Thailand - รอยัล เวิลด์ ประเทศไทย
ติดตามบทความเดิม “11 Fight 11 พระราชแคนดิเดตราชบัลลังก์” Link: https://t.ly/HGjjQ


https://www.facebook.com/photo/?fbid=1156513996509550&set=a.2282931891811851


หลายคนชื่นชมผู้เขียนโพสนี้ เขียนได้ดีมาก เรื่องที่บ้านเราทำมานานแล้ว แต่ไม่ค่อยบันทึกให้คนรุ่นหลังรู้


Shinji Stoichkovsky
5 hours ago
·
เข้าใจดีว่าเป็นมารยาทต่อผู้ล่วงลับ ที่ต้องเขียนรำลึกคุณูปการ แต่ในฐานะบุคคลสาธารณะ ซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย มีบทบาททางวิชาการยาวนาน ส่งผลต่อสติปัญญาของสังคม จึงขอร่วมพิจารณามรดกทางปัญญาที่ท่านทิ้งให้แก่สังคมในอีกด้าน ***หากเนื้อหาทำให้รู้สึกเป็นการล่วงเกินใดๆ ก็ขอให้ทราบว่ามาจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเอง***

….

รศ.วินัย ผู้นำพล อดีตอาจารย์ประจำหมวดวิชาทัศนศิลป์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ไม่ใช่เพียงอาจารย์ แต่คือนักคิดและศิลปินงานจิตรกรรมผู้เป็นที่รักในหมู่ชาวศิลปากรทับแก้ว นับตั้งแต่ยุคบุกเบิกวิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์

บ้านท่านที่ตั้งในพื้นที่กลางมอ เคยเป็นแหล่งพบปะทางความคิดและที่พึ่งพิงของนักศึกษาหลายยุคหลายสมัย(ปัจจุบันเป็นร้านกาแฟอเมซอน)

ท่านได้ถึงแก่กรรมเมื่อ 27 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ด้วยอายุ 76 ปี

นอกจากความเป็นปราชญ์รอบด้านแล้ว ท่านยังได้รับการรจดจำว่าเคยก่อ #อาชญากรรมทางปัญญา ต่อประชาคมศิลปากรอีกด้วย

เมื่อท่านเป็นผู้แจ้งความ 112 ต่อ อ.บุญส่ง ชัยสิงกานานนท์(ผู้ล่วงลับเช่นกัน) แห่งภาควิชาปรัชญา คณะเดียวกัน

โดยกล่าวหาว่า “การสอนและเนื้อหาข้อสอบเป็นภัยต่อความมั่นคงและหมิ่นสถาบันกษัตริย์”

ผศ.บุญส่ง เป็นผู้สอนวิชา #อารยธรรมไทย วิชาสำคัญของปีหนึ่งที่ทุกคนต้องผ่าน คนเข้าเรียนต่อรุ่นจึงเป็นจำนวนหลายร้อยคน เด็กอักษรเรียกในชื่อเล่นว่า #ยำไทย เนื้อหาเปิดกว้างต่อการวิพากษ์ทุกสถาบันที่ส่งผลต่อพัฒนาการสังคมไทย โดยไม่เว้น

ข้อสอบของวิชานี้ มีประเภทให้ตอบเป็นข้อเขียนเชิงวิพากษ์ โดยคำถามกว้างตั้งแต่ประเด็นเอกลักษณ์ชาติ, ทัศนคติทางเพศ, โลกาภิวัฒน์, ทุนนิยม, ศิลปะ ไปจนถึงคำถามเกี่ยวเนื่องถึงการดำรงอยู่ของสถาบัน โดยให้เสรีภาพทางความคิดเต็มที่ คำตอบจะมี อ.บุญส่ง เพียงผู้เดียวที่อ่าน เป็นพื้นที่ปลอดภัยทางความคิดเพื่อเสริมสร้าง Critical Thinking ความคิดเชิงวิพากษ์แก่นักศึกษา อันเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาในศตวรรษที่ 21

แต่คงมีคนไม่เห็นด้วยกับเสรีภาพนั้น

รศ.วินัย ผู้นำพล ซึ่งเป็นอาจารย์ร่วมคณะ ได้ดำเนินการแจ้งความ 112 เพื่อสอบว่ามีการออกข้อสอบอภิปรายเรื่องบทบาทของระบอบกษัตริย์ให้นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ในปี 2548 และ 2549 จริงหรือไม่

โดยท่านยืนยันว่า แจ้งความเพราะเห็นว่า “การสอนของ อ.บุญส่ง เป็นภัยคุกคามสังคมไทย!” เรียกว่าชัดเจนในเหตุผล แบบไม่ต้องเดา

เหตุการณ์ที่ตามมาคือ มีตำรวจเข้ามาสอบปากคำนักศึกษา คณาจารย์ในวิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ก่อให้เกิดบรรยากาศหวาดระแวงว่าอาจมีใครโดนคดีหรือติดคุก จากกระบวนการเรียนการสอน

สาเหตุที่ข้อสอบไปถึงมือตำรวจ ทางคณะแจ้งว่าได้รับการขอมา รักษาการคณบดีฯ ก็ส่งให้ไป ทั้งที่ควรจะต้องแจ้งเจ้าของวิชาก่อน

ผศ.บุญส่ง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีอาจารย์สองท่านเรียกนักศึกษาให้เอาสมุดจดวิชาอารยธรรมไทยที่เขาสอนไปให้ดูที่ห้องทำงาน นักศึกษาเข้าใจว่าเป็นการปรับปรุงหลักสูตรการสอน จึงนำไปให้ แต่ปรากฎว่ามีการนำเอาสมุดจดไปส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาในคณะ ก็ทำการเรียกนักศึกษามาพบหลายคน โดยที่นักศึกษาไม่ทราบว่าจะถูกเรียกมาสอบสวน เจ้าหน้าที่ได้ถามนักศึกษาว่า จากที่ฟัง อ.บุญส่ง บรรยาย คิดว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่

ที่สำคัญพนักงานสอบสวน สภอ.นครปฐม ขอให้ทางคณะอักษร ส่งกระดาษคำตอบของนักศึกษาวิชานี้ย้อนหลัง เพื่อให้ฝ่ายความมั่นคงตรวจสอบ!

"...ด้วยพนักงานสอบสวน สภอ.เมืองนครปฐม ได้ขอให้คณะอักษรศาสตร์ส่งเอกสารกระดาษคำตอบรายวิชาอารยธรรมไทยพร้อมคะแนนที่ให้แก่นักศึกษาในการตอบคำถามแต่ละข้อ ตั้งแต่ปีการศึกษา 2548 ถึงปัจจุบัน เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คณะฯ จึงขอเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และขอให้ท่านส่งเอกสารดังกล่าวให้คณะฯ ภายในวันที่ 20 กรกฎาคม 2550 เพื่อจะได้ส่งมอบให้พนักงานสอบสวนต่อไป..."

แต่ อ.บุญส่ง ปฏิเสธไม่ยอมให้ ยืนยันว่าเป็นการละเมิดสิทธินักศึกษา

ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้เกิดอาการหวาดกลัวย้อนหลังในหมู่นักศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้องไปเป็นแถบๆ

ลองนึกดูหากมีการส่งกระดาษคำตอบให้จริง เราอาจได้เห็นมหกรรมนักศึกษาโดนคดีเพราะตอบข้อสอบวิพากษ์สังคมไทยไม่รู้จะกี่สิบคดี จากผู้ที่เคยเรียนวิชานี้ย้อนหลังไปหลายร้อยคน

จนได้มีนักวิชาการและแอคติวิสต์กว่า 500 คน ได้ร่วมลงนามเพื่อเรียกร้องว่า กรณีนี้เป็นภัยคุกคามเสรีภาพในการศึกษาอย่างร้ายแรง เรื่องราวลุกลามไปจนปรากฏในสื่อ ไปจนถึงสื่อต่างประเทศหลายสำนัก สำนักข่าวฝรั่งเศสได้เดินทางมาสัมภาษณ์ อ.บุญส่ง รอยเตอร์ก็ได้ส่งทีมงานมาสัมภาษณ์และถ่ายทำการสอนในห้องเรียน

บอกเล่าในฐานะข่าวการคุกคามทางวิชาการ ภายใต้บรรยากาศหลังรัฐประหาร 2549 ในประเทศไทย

ทั้งหมดจึงเกิดเป็นภาพอันน่าสลดต่อสายตาชาวโลก ส่งผลให้เกิดการทำหมันเสรีภาพทางวิชาการในประชาคมศิลปากรอย่างชะงัด ในช่วงเวลานั้น

เรียกง่ายๆว่า รศ.วินัย ได้ทำหน้าที่ตำรวจความคิด ขีดเส้นกรอบให้กับพื้นที่วิชาการมหาลัยของตนให้หดแคบลง...ด้วยมือตนเอง

แม้ในที่สุดแล้วผลคือไม่สั่งฟ้อง จากแรงกดดันมากมาย แต่มันก็เป็นที่จดจำว่าเป็นช่วงเวลาอันมืดมิดทางวิชาการที่สุดครั้งนึงในประวัติศาสตร์ทับแก้ว

มนุษย์เรามีหลากหลายด้านให้ผู้คนจดจำ ด้านดีงามและคุณูปการมากมายของ รศ.วินัย ผู้นำพล นั้น มีผู้กล่าวถึงยกย่องมากมายแล้ว เชื่อว่าตัวท่านเองเข้าใจดีว่า เมื่อถึงเวลาล่วงลับไป คนเราย่อมได้รับการรำลึกถึงด้วยมิติที่หลากหลาย หาใช่แต่เพียงด้านยกย่อง

และด้วยเหตุนี้ สำหรับคนจำนวนมาก ท่านจะถูกจดจำว่าเป็นผู้ที่เคย #ก่ออาชญากรรมทางปัญญา ต่อประชาคมศิลปากร ที่เปรียบเหมือนบ้านของตนเอง

และสิ่งนี้จะถูกสลักลงบนโกศอัฐิของท่านไปตลอดกาล

Shinji Stoichkovsky

สำหรับสืบค้นต่อ
จากผู้จัดการ : สื่อนอกตีข่าว อ.มหา'ลัยดัง ออกข้อสอบหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
https://mgronline.com/around/detail/9500000094772...
ข้อมูลคดีจาก iLaw บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์: ข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย
https://www.ilaw.or.th/articles/case/23334
ประชาไท : อาจารย์ ม.ศิลปากรออกข้อสอบวิชาอารยธรรมไทย ถูกแจ้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
https://prachatai.com/journal/2007/07/13515
ประชาไท : เปิดข้อสอบ อ.ศิลปากร กรณีหมิ่นฯ หรือคุกคามเสรีภาพวิชาการ : จงหาคำตอบที่ถูกต้อง
https://prachatai.com/journal/2007/07/13546
ประชาไท : อ.ศิลปากร ไม่ส่งกระดาษคำตอบให้ตามที่ขอ เพราะสะเทือนสิทธิ นศ.
https://prachatai.com/journal/2007/07/13535
กรณีบุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์
https://lmwatch.blogspot.com/2009/04/blog-post_4443.html
“สื่อมวลชนจำนวนมากได้ให้ความสนใจนำเสนอกรณีนี้ โดยเฉพาะสื่อต่างประเทศ ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวของฝรั่งเศสได้เดินทางมาสัมภาษณ์ผศ.บุญส่ง ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์ก็ได้ส่งทีมงานมาสัมภาษณ์และถ่ายทำวีดีโอการสอนในห้องเรียน กรณีนี้ยังได้รับความสนใจจากสถานทูตอเมริกาประจำประเทศไทย ซึ่งได้ติดต่อขอข้อมูลและแสดงความห่วงใย โดยแจ้งว่าจะทำเป็นรายงานต่อรัฐสภาและประธานาธิบดี ซึ่งต่อมาได้ปรากฏรายงานในเว็บไซต์ของรัฐบาลอเมริกา”
ข้อมูลคดี และฟีดแบ็คจากประชาคมวิชาการไทย
https://article112.blogspot.com/.../blog-post_6472.html...
ทั้งนี้ :
บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ ถึงแก่กรรม 3 ส.ค. 2562
วินัย ผู้นำพล ถึงแก่กรรม 27 มิ.ย. 2568

https://www.facebook.com/photo?fbid=1464270981269584&set=a.134979340865428



3 กรกฎา มาบอกเพื่อน เรื่องนิรโทษ ✉️


Thumb Rights
Yesterday
·
3 กรกฎา มาบอกเพื่อน เรื่องนิรโทษ
.
ในวันแรกของการเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระการพิจารณาร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน เป็นวาระด่วนอันดับแรก
.
ชวนมาเขียนจดหมาย อ่านจดหมาย ส่งข้อความ ถึงนักโทษคดีการเมือง บอกพวกเขาว่าโอกาสจะได้อิสรภาพกำลังจะมาถึงในการโหวตที่จะถึงนี้
.
พบกัน 3 กรกฎาคม 2568
17.00-19.30 หน้า ประตูทางเข้าเรือนจำคลองเปรม
.
17:00 เปิดกิจกรรม
17:30 อัพเดตสถานการณ์นิรโทษกรรมในตอนนี้ เขียนจดหมายถึงเพื่อนข้างใน
18:00 เล่าเรื่องราวผู้ต้องขังคดีการเมือง
19:00 อ่านจดหมาย
19:15 อ่านแถลงการณ์และรวบรวมจดหมายส่งเข้าเรือนจำ
.
#นิรโทษกรรมประชาชน #การเมือง #ม112

https://www.facebook.com/photo/?fbid=122222328008184830&set=a.122111574896184830



นักโทษการเมืองไร้อิสรภาพ โดมิเมล์ถูกยกเลิก ติดต่อกับภายนอกไม่ได้ ศาลสั่งห้ามนำรายละเอียดการพิจารณาคดีออกไปบอกต่อ ผู้ต้องขังเพิ่มมากขึ้น เสียงเรียกรัฐประหารคือความต้องการจะทำให้ทั้งประเทศกลายเป็นคุกขนาดใหญ่ พรรคร่วมมัวแต่แบ่งเค้ก


https://www.facebook.com/watch/?v=1479069359753045
https://www.facebook.com/wetheequalcitizen/posts/748599330855403


"ผู้บริหารมหาวิทยาลัยไม่กล้าหาญพอที่จะปกป้องนักวิชาการ" คุยกับ ดร.พอล แชมเบอร์ส ในวันที่เขามองว่าเสรีภาพทางวิชาการไทยแย่กว่า 30 ปีก่อน


ดร.พอล แชมเบอร์ส ได้รับหนังสือเดินทางคืนที่สนามบินสุวรรณภูมิไม่กี่ชั่วโมงก่อนออกจากประเทศไทย

วศินี พบูประภาพ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 5 ชั่วโมงที่แล้ว

"[เสรีภาพทางวิชาการ] ไทยหดตัวลง" ดร.พอล วีสลีย์ แชมเบอร์ส กล่าวกับบีบีซีไทย โดยเปรียบเทียบสถานการณ์ในปัจจุบันกับช่วงปีที่เขาเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว

ย้อนไปในช่วงที่ ดร.พอล เดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ตอนนั้นเป็นห้วงเวลาหลังเหตุการณ์ "พฤษภาทมิฬ" ซึ่งภาคประชาสังคมในไทยขยายตัวอย่างกว้างขวาง เขาชี้ว่าสำหรับเขาแล้ว เสรีภาพทางวิชาการในไทยหดตัวลงหลังการรัฐประหารสองครั้งในปี พ.ศ. 2549 และ พ.ศ. 2557 และสำหรับเขาแล้ว เสรีภาพทางวิชาการในไทยลดน้อยถอยลงไปอีกและแย่ที่สุดหลังปี พ.ศ. 2566 เป็นต้นม

"ตอนที่ผมเข้ามาในประเทศไทยใหม่ ๆ เป็นช่วงฟ้าเปิดสำหรับภาคประชาสังคมไทย พื้นที่ทางการเมืองเปิดให้ประชาชนได้ส่งเสียง" เขารำลึก "หลังจากนั้นรัฐประหารก็ทำให้เสียงเหล่านี้เงียบลง รวมถึงเสรีภาพทางวิชาการ"

เขาชี้ว่าแม้ขณะนี้ไทยมีรัฐบาลพลเรือน ทว่า "กองทัพกลับพยายามหาข้ออ้างหรือหาเหตุมาสร้างอิทธิพลเหนือการตัดสินใจของรัฐบาลพลเรือนมากขึ้นเรื่อย ๆ"

หลังทำงานวิชาการในไทยมาร่วมสามทศวรรษ นักวิชาการชาวอเมริกันวัย 58 ปีต้องออกจากประเทศไทยในวันที่ 29 พ.ค. 2568 ภายใต้การควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ถูกปลดออกจากตำแหน่งอาจารย์ประจำในมหาวิทยาลัย ขณะที่ชื่อของเขากลายเป็นนักวิชาการต่างชาติรายแรกที่ถูกจารึกไว้ในรายชื่อบุคคลผู้ตกเป็นเป้าของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งราชอาณาจักรไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

"ผมรักประเทศไทยมาก" ดร.พอล กล่าวแก่บีบีซีไทยสามสัปดาห์หลังต้องเดินทางออกจากราชอาณาจักรไทย "ประเทศไทยช่างเป็นประเทศที่งดงาม น่าเศร้าเหลือเกินที่เหตุการณ์นี้มาเกิดขึ้น"

เรื่องราวของเขาได้จุดกระแสการถกเถียงเรื่องเสรีภาพทางวิชาการในประเทศไทยภายใต้กฎหมายจำกัดการแสดงความคิดเห็นและการสอดส่องของหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงในไทย

ถูกจับกุมโดยไม่ทันตั้งตัว

"ต้องสารภาพว่าผมรู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกจับกุม" ดร.พอล อดีตนักวิชาการประจำสถานประชาคมอาเซียนศึกษา ม.นเรศวร กล่าวกับบีบีซีไทยถึงเหตุการณ์ที่เขาไปเข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตามหมายจับในคดี ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ก่อนเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมส่งต่อพนักงานสืบสวน ซึ่งนำไปสู่การฝากขังเขาในวันที่ 8 เม.ย. ในที่สุด

ทั้งนี้ คดีที่นักวิชาการชาวอเมริกันผู้นี้เผชิญ มีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จังหวัดพิษณุโลก (กอ.รมน. ภาค 3) เป็นผู้แจ้งความ

ข้อกล่าวหาดังกล่าวเริ่มจากข้อความในแผ่นประชาสัมพันธ์สัมมนาออนไลน์ของสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS-Yusof Ishak) ประเทศสิงคโปร์ แม้ ดร.พอล จะต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นผู้เขียนหรือไม่ได้ผลิตซ้ำเนื้อหาดังกล่าวผ่านช่องทางส่วนตัว แต่ผู้แจ้งความร้องทุกข์เชื่อว่าเป็นถ้อยคำที่เข้าข่ายตามความผิดหมิ่นสถาบันฯ ต่อมาสำนักงานอัยการสูงสุด อธิบดีอัยการภาค 6 มีคำสั่งไม่ฟ้องทั้งสองข้อหา เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2568

พอลนึกย้อนกลับไป และบอกว่า "เป็นข้ออ้างการใช้มาตรา 112 ที่เบาบางและไร้น้ำหนักอย่างยิ่ง"

กระนั้นแล้ว ในระหว่างที่เขาถูกตั้งข้อหา มีการดำเนินการหลายอย่างเกิดขึ้น เขาถูกนำตัวฝากขังที่เรือนจำจังหวัดพิษณุโลก สถานะทางกฎหมายเข้าเมืองของเขายังตกอยู่ในสภาวะคลุมเครือ หลังสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดพิษณุโลกมีคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ทว่าหนังสือหนังสือเดินทางของเขาถูกยึดไว้ด้วย ทำให้ไม่สามารถเดินทางออกจากประเทศได้ในเวลานั้น

ถูก "ทอดทิ้ง" จากมหาวิทยาลัย

"ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ยากจะให้อภัยได้ที่รองอธิการบดีมีคำสั่งเลิกจ้างผมโดยไม่ได้เปิดโอกาสให้ผมได้ชี้แจงหรือรับฟังข้อกล่าวหาใด ๆ เลย"

ย้อนไปเมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2568 ระหว่างที่มีการอุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ผศ.ดร.ภาณุ พุทธวงศ์ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ปฏิบัติราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ลงนามในคำสั่งยกเลิกการจ้างงาน ดร.พอล แชมเบอร์ส ผู้มีความรู้ความสามารถพิเศษเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. 2568 อันเป็นวันที่ ดร.พอล ถูกแจ้งคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรจาก ตม.

แม้เขาจะตกใจจากข้อกล่าวหาทางกฎหมาย แต่ ดร.พอล เผยว่าสิ่งที่สร้างความ "หดหู่" ต่อเขาคือปฏิกิริยาจากมหาวิทยาลัยนเรศวร

"ผมคิดว่าการที่ผมถูกทอดทิ้งเช่นนั้นเป็นเรื่องที่รับไม่ได้" เขากล่าวกับบีบีซีไทย

ขณะนี้ ดร.พอล อยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งดังกล่าว โดยคำโต้แย้งระบุว่าว่ารองอธิการบดีปฏิบัติราชการแทนอธิการบดีไม่ได้มีอำนาจในการเลิกจ้างบุคลากร พร้อมชี้ว่าเหตุถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ไม่ได้เป็นเหตุสิ้นสุดสัญญาการจ้างงาน เขาบอกกับบีบีซีไทยด้วยว่า การไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ทำให้เขาไม่มีโอกาสชี้แจ้งข้อมูลจากฝั่งของตัวเอง

"ผมไม่ได้ผ่านขั้นตอนการไต่สวนด้วยซ้ำ โดนไล่ออกเสียอย่างนั้นเลย" เขากล่าว

ทั้งนี้ นอกเหนือจากคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าว มหาวิทยาลัยนเรศวรยังไม่เคยให้ความเห็นในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการแต่อย่างใด

เพื่อนร่วมงานมีทั้งให้กำลังใจและเฉยชา

"มีทั้งอาจารย์จากมหาวิทยาลัยนเรศวร รวมถึงจากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศที่แสดงความห่วงใยและให้กำลังใจ" ดร.พอล กล่าวถึงนักวิชาการหลายคนที่ติดต่อแสดงความห่วงใยเขา เช่น รศ.ดร.ไทเรล ฮาเบอร์คอร์น จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิล แมดิสัน และ ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ระหว่างถูกดำเนินคดี ดร.พอล เล่าว่าเขาได้รับแรงสนับสนุนจากเพื่อนร่วมวิชาชีพบางส่วน อาทิ คัตสึยูกิ ทากาฮาชิ อาจารย์ชาวญี่ปุ่นประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งแสดงออกเชิงสัญลักษณ์หลายครั้งในมหาวิทยาลัย ทั้งการชูสามนิ้วและถือป้ายกระดาษ "Free Dr.Paul" เพื่อเรียกร้องสิทธิให้เพื่อนร่วมงานได้รับอิสรภาพ รวมถึงให้ได้รับหนังสือเดินทางคืน

"แต่สำหรับบางคนที่ผมคิดว่าเป็นเพื่อนแล้วจู่ ๆ เขาหายไป ตอนนั้นผมก็รู้เลยว่า เราไม่เคยเป็นเพื่อนกันตั้งแต่แรก" ดร.พอล ระบุ และกล่าวกับบีบีซีไทยต่อว่า "กระนั้น นักวิชาการบางคนก็ไม่ต้องการแสดงความสนับสนุนผมเพราะกลัว กรณีนั้นผมเข้าใจ นั่นทำให้ผมหดหู่เหมือนกัน"


คัตสึยูกิ ทากาฮาชิ อาจารย์ชาวญี่ปุ่นประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร แสดงออกเชิงสัญลักษณ์เรียกร้องให้มีการปล่อยตัว ดร.พอล แชมเบอร์ส

ความช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา

"ผมยินดีมากที่ท่านทูตสหรัฐฯ [ประจำประเทศไทย] ช่วย" เขากล่าวกับบีบีซีไทย พร้อมระบุว่า "ก็ต้องบอกว่ารัฐบาลทรัมป์ช่วยผมออกมา"

หลัง ดร.พอล ถูกนำตัวไปฝากขัง แทมมี่ บรูซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกแถลงการณ์ต่อรัฐบาลไทยทันทีในวันที่ 8 เม.ย. ชี้ว่ากรณีของ ดร.พอล ตอกย้ำถึงความกังวลที่สหรัฐฯ มีต่อกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาอย่างยาวนาน และจะติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิดและสนับสนุนการปฏิบัติที่เป็นธรรมต่อ ดร.พอล

ขณะที่ต่อมา สมาคมรัฐศาสตร์อเมริกัน (American Political Science Association - APSA) ได้ส่งหนังสือไปยังอัยการสูงสุดของไทย ให้เพิกถอนการฟ้องร้อง และส่งหนังสือไปยังนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เพื่อร้องขอให้ดำเนินการช่วยเหลือ

ประเด็นเกี่ยวกับ ดร.พอล แชมเบอร์ส ยังได้เข้าไปพัวพันกับประเด็นทางการทูตระหว่างไทย-สหรัฐฯ หลังประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยและประเทศอื่น ๆ โดยในช่วงปลายเดือน เม.ย. อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า เขาเชื่อว่าหากมีการเจรจาต่อรองเรื่องภาษีนำเข้าเกิดขึ้น กรณีของ ดร.พอล ย่อมเป็นส่วนหนึ่งในปัจจัยที่จะถูกพูดถึงในการเจรจา

ในการสัมภาษณ์กับสำนักข่าวนิเคอิเอเชีย ดร.พอล เปิดเผยว่า เขาตัดสินใจออกจากประเทศไทยตามคำแนะนำของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ หลังจากกลุ่ม "ฝ่ายขวา" พยายามรื้อฟื้นคดีหรือกล่าวหาเขาด้วยข้อหาอื่น

พอลบอกกับนิเคอิเอเชียว่า มีนักการทูตอเมริกันเตือนเขาว่า "คุณต้องรีบออกจากที่นี่โดยด่วน" ขณะที่นิเคอิเอเชียบรรยายต่อว่า ระหว่างนั้นกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ "กดดันทางการไทยให้หาทางแก้ไขให้คดีของแชมเบิร์ส หากต้องการต่อแถวเจรจาเรื่องการขึ้นกำแพงภาษี"

ดร.พอล ชี้ในบทสัมภาษณ์กับนิเคอิเอเชียด้วยว่า ตนต้องออกจากประเทศไทยในวันที่ 29 พ.ค. 2568 เพราะวันที่ 30 พ.ค. 2568 จะมี "การประชุม [ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ] อีกครั้งหนึ่งว่าจะเอาอย่างไรดีกับสถานะคนเข้าเมืองของเขา"

ดร.พอล ยืนยันกับบีบีซีไทยว่า เขาได้หนังสือเดินทางคืนและเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิโดยมีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองประกบ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสถานทูตสหรัฐฯ ก่อนออกจากประเทศไทยในวันที่ 29 พ.ค. 2568

โดนเพ่งเล็งจากกองทัพ

"เมื่อพิจารณาในภาพกว้าง สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัว" ดร.พอล ซึ่งตีพิมพ์งานวิชาการหลายชิ้นเกี่ยวกับกองทัพไทย ชี้ว่า "มันเป็นอาการหนึ่งของปฏิกิริยาจากพลังอนุรักษนิยม โดยเฉพาะของกองทัพต่อกระแสความเคลื่อนไหวของฝ่ายก้าวหน้าหลังปี พ.ศ. 2566"

"ผมมองว่ากองทัพไม่ชอบผมแต่เดิมอยู่แล้วจากงานวิจัยที่ทำ ดังนั้นจึงมองหาทางใดก็ได้ที่ทำให้ผมถูกดำเนินคดีเพื่อนำผมเข้าสู่เรือนจำหรือผลักดันออกนอกประเทศ" ดร.พอล กล่าวกับบีบีซีไทย "แต่โดยสัตย์จริง ผมแค่ต้องการให้มีการปฏิรูปกองทัพ กระนั้นแล้วเมื่อชื่อของผมเข้าไปเกี่ยวข้องในทางนั้น ในที่สุดก็ทำให้มีศัตรูในสถาบันกองทัพตลอดหลายปีที่ผ่านมา"

สามทศวรรษที่ผ่านมา ดร.พอล มีผลงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับกองทัพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขาเป็นที่รู้จักจากการบัญญัติคำว่า "กองทัพภายใต้ราชาธิปไตย" (Monarchised military) เขาเป็นผู้เขียนหนังสือ ราชอาณาจักรเสนาธิปไตยแห่งสยาม (Praetorian Kingdom) และยังร่วมเป็นบรรณาธิการหนังสือ Khaki Capital: The Political Economy of the Military in Southeast Asia (อาจแปลเป็นไทยได้ว่า ทุนสีกากี: เศรษศาสตร์การเมืองของกองทัพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้)

ปัจจุบัน ดร.พอล ดำรงตำแหน่งนักวิชาการรับเชิญที่สถาบันเอเชียศึกษา ยูซุฟ อิซฮัค ประเทศสิงคโปร์

เขาบอกกับบีบีซีไทยด้วยว่า เขาเชื่อว่าช่วงเวลาที่เขาถูกดำเนินคดีมีความเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งผู้นำคนใหม่ของกองทัพ

"เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2567 มีการแต่งตั้งผู้นำกองทัพคนใหม่ หลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่ง ผมก็โดนข้อกล่าวหา สิ่งนี้ทำให้ผมเห็นว่ากองทัพไทยกำลังมุ่งหน้าไปสู่ความเป็นอนุรักษนิยมมากยิ่งขึ้นภายใต้ผู้นำคนใหม่นี้"

"กองทัพต้องการส่งสารไปยังทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติว่า นักวิชาการหรือสื่อมวลชนใด ๆ ล้วนสามารถตกเป็นเป้าหมายของการดำเนินคดีทางกฎหมายของกองทัพซึ่งมีเป้าหมายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง" ดร.พอล สะท้อนความคิดเห็น

"แม้ท้ายที่สุดศาลจะไม่รับฟัง แต่เหตุการณ์นี้ก็ส่งสัญญาณทั้งต่อชาวไทยและชาวต่างชาติว่า อย่าได้แตะต้องกองทัพหรือสถาบันดั้งเดิม (traditional institutions) ของประเทศนี้เป็นอันขาด" เขาอธิบายกับบีบีซีไทยต่อด้วยว่า "สถาบันดั้งเดิม" ที่เขากล่าวถึงนี้ ไม่ได้หมายความถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่หมายถึงโครงข่ายอันแน่นหนาของสถาบันกองทัพไทย

"กองทัพถือว่าตนเป็นผู้แทนของสถาบันดั้งเดิมทั้งในด้านการธำรงไว้ซึ่งภาพลักษณ์อันสูงส่ง และการธำรงผลประโยชน์ขององค์กร กองทัพจึงมีแนวโน้มที่จะมองหาผู้ที่เห็นต่าง และดำเนินการตอบโต้ต่อบุคคลเหล่านั้นในนามของการปกป้องสิ่งที่ตนเชื่อว่าเป็นรากฐานของชาติ" เขาวิเคราะห์ให้บีบีซีไทยฟัง



เสรีภาพทางวิชาการไทยอยู่ในสภาวะเสี่ยง

"การที่พรรคการเมืองที่มีจุดยืนก้าวหน้าชนะการเลือกตั้งทำให้นักวิชาการกล้าที่จะสะท้อนความเห็นทางการเมือง" เขาอธิบายถึงการที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนโหวตสูงสุดในการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2566 "ผมคิดว่าเสรีภาพทางวิชาการลดลงไปส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เพื่อไทยตัดสินใจตกลงปลงใจกับพรรคฝ่ายอนุรักษนิยม ขณะเดียวกันอำนาจของทหารก็แข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 เป็นต้นมา"

"หากใช้มหาวิทยาลัยของผมเป็นภาพสะท้อนของมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั่วประเทศไทยแล้ว ก็ต้องถือว่าเสรีภาพทางวิชาการของไทยกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต" นักวิชาการชาวอเมริกันกล่าวกับบีบีซีไทย พร้อมเสริมว่า ผู้บริหารมหาวิทยาลัยในไทย "ยังขาดความกล้าหาญเพียงพอที่จะปกป้องคณาจารย์ของตนจากการถูกปราบปรามโดยเจ้าหน้าที่ความมั่นคง"

ดร.พอล ชี้ว่าภัยคุกคามต่อเสรีภาพทางวิชาการไม่จำเป็นต้องมาในรูปแบบของคดีความมั่นคงเท่านั้น เพราะ "กองทัพสามารถยื่นฟ้องคดีหมิ่นประมาททางอาญาได้อย่างง่ายดาย อาจกล่าวได้ว่า เฮ้ งานเขียนของคุณทำให้ภาพลักษณ์ของเราดูแย่" เขายกตัวอย่าง

"และยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริหารมหาวิทยาลัยก็ไม่กล้าหาญพอที่จะปกป้องนักวิชาการจากการโจมตีที่กดขี่เหล่านี้ นั่นหมายความว่าอนาคตของเสรีภาพทางวิชาการในประเทศไทยนั้นมืดมน... เว้นแต่จะเกิดความตระหนักรู้และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจากพลังของภาคประชาสังคมเพิ่มขึ้น ผมหมายรวมถึงนักการเมือง นักวิชาการ และสื่อมวลชน"

ทั้งนี้ ดร.พอล ยังคง "มีความหวัง" ต่อประชาคมนักวิชาการในไทย โดยกล่าวว่า "ผมคิดว่านักวิชาการส่วนใหญ่สนับสนุนเสรีภาพทางวิชาการ และคิดว่าคลื่นของประวัติศาสตร์จะพัดเพไปทางนั้นมากขึ้น"


ดร.พอล แชมเบอร์ส อดีตอาจารย์ประจำสถานประชาคมอาเซียนศึกษา คณะสังคมศาสตร์ ม.นเรศวร

"อยากกลับไทย"

ปัจจุบัน ดร.พอล ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านของครอบครัวในมลรัฐโอกลาโฮมา ประเทศสหรัฐอเมริกา และยังคงทำงานวิชาการในฐานะนักวิชาการรับเชิญของสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค ประเทศสิงคโปร์ แต่เขาย้ำว่า "ผมอยากกลับไปเมืองไทยมาก ผมรักประเทศไทยอย่างสุดหัวใจ ผมแต่งงานกับคนไทย และมีเพื่อนมากมายที่นั่น"

อย่างไรก็ตาม เขาตระหนักถึงความเสี่ยงในการกลับมาอยู่ประเทศไทย "มันไม่ปลอดภัย อาจมีข้อกล่าวหาใหม่จากกองทัพได้ทุกเมื่อ ผมจำเป็นต้องรออีกสักพักจนกว่าจะมั่นใจได้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะผมไม่อยากกลับไปติดคุกอีก"

"โชคดีมากที่ผมมีคนยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือมากมาย ซึ่งไม่ยุติธรรมเลยต่อคนไทยมากมายที่อยู่ในเรือนจำจากข้อหาเดียวกัน" เขาทิ้งท้ายโดยชี้ว่า นักวิชาการไทยก็ถูกเพ่งเล็งคล้าย ๆ กัน แม้จะยังไม่ถูกตั้งข้อหา

"ผมหวังว่าความสนใจของผู้คนจะเผื่อแผ่ไปถึงพวกเขาด้วยเช่นเดียวกัน"

https://www.bbc.com/thai/articles/c4gde88xemjo



ศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน ออกหนังสือเวียนถึงสมาชิกพรรค “เน้นย้ำจุดยืนข้อเสนอพรรค” : เดินหน้าใช้กลไกรัฐสภาในการแก้ไขปัญหาประเทศ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุบสภา คืนอำนาจตัดสินใจให้ประชาชนกำหนดทิศทางประเทศ


พรรคประชาชน - People's Party
17 hours ago
·
[ ศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน ออกหนังสือเวียนถึงสมาชิกพรรคทุกท่าน ]
.
สืบเนื่องจากสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา และสถานการณ์ทางการเมืองและการชุมนุมที่เกี่ยวเนื่องกัน จึงขอสื่อสารเน้นย้ำไปยังสมาชิกพรรคทุกท่าน เพื่อกำชับให้ทราบและปฏิบัติตนสอดคล้องกับจุดยืนทางอุดมการณ์และแนวนโยบายพรรค โดยแบ่งเป็น 3 หัวข้อหลัก ดังนี้
.
“ปกป้องสิทธิเสรีภาพตามครรลอง” : สมาชิกพรรคจะต้องปกป้องและยืนยันสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนตามครรลองประชาธิปไตย ได้แก่
.
1.ยืนยันสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล กองทัพ พรรคการเมือง ผู้แทนราษฎร ฯลฯ นั้นสามารถกระทำได้
2.ข้อเสนอให้นายกรัฐมนตรีลาออกหรือยุบสภา ถือเป็นข้อเสนอที่อยู่ในครรลองประชาธิปไตย
3.การชุมนุมของประชาชนถือเป็นสิทธิเสรีภาพพื้นฐานในการแสดงออก
.
“ต้องห้ามข้ามเส้น” : สมาชิกพรรคต้องไม่สื่อสาร หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นการสนับสนุนสิ่งที่ขัดต่อจุดยืนทางอุดมการณ์และแนวนโยบายพรรค ได้แก่
.
1.ต้องไม่สื่อสาร หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดการยึดอำนาจ รัฐประหาร ซึ่งขัดหลักการประชาธิปไตย ผิดกฎหมาย และขัดรัฐธรรมนูญ
2.ต้องไม่สื่อสารกระทบต่อหลักการรัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือกองทัพ อันถือเป็นหลักการรากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
.
“เน้นย้ำจุดยืนข้อเสนอพรรค” : เดินหน้าใช้กลไกรัฐสภาในการแก้ไขปัญหาประเทศ พร้อมกันนั้นก็เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุบสภา คืนอำนาจตัดสินใจให้ประชาชนกำหนดทิศทางประเทศ
.
หวังว่าสมาชิกพรรคทุกท่านจะเป็นส่วนสำคัญในการธำรงและส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศไทยให้เจริญงอกงามต่อไป
.
ศรายุทธิ์ ใจหลัก
เลขาธิการพรรคประชาชน

https://www.facebook.com/photo/?fbid=122159412650480817&set=a.122093096804480817



Joshua Kurlantzick นักวิชาการด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนักข่าวอาวุโส ให้สัมภาษณ์ CNA เขาเชื่อว่า #แพทองธาร น่าจะหลุดจากตำแหน่ง เขายังบอกต่อไปว่า สภาพการณ์ในตอนนี้ของไทย ไม่ต่างจากสภาพก่อนที่จะเกิดการรัฐประหาร ทั้งในปี 2549 และ 2557


Pipob Udomittipong
10 hours ago
·
Joshua Kurlantzick นักวิชาการด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนักข่าวอาวุโส ซึ่งทำงานกับ Council on Foreign Relations ให้สัมภาษณ์ CNA น่าสนใจมาก

เขาเชื่อว่า #แพทองธาร น่าจะหลุดจากตำแหน่ง หลังคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ที่มักถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดผู้นำ ซึ่งไม่เป็นที่พึงปรารถนาทั้งของกองทัพและสถาบัน หรือไม่อย่างนั้นก็น่าจะแพ้การโหวตไม่ไว้วางใจ

ส่วน #คดี112 ต่อ #ทักษิณ เขามองว่า มันเป็นผลพวงมาจาก Power game การต่อรองอำนาจระหว่างทักษิณกับกองทัพและอำนาจที่เหนือกว่า แต่ในตอนนี้กองทัพไม่พอใจกับบทบาทที่เพิ่มขึ้นของทักษิณ การทำตัวเป็น Top Dog ของเขา การเข้าไปแทรกแซงในกิจการที่กองทัพไม่ต้องการ

เขาเชื่อว่าในคราวนี้ กองทัพและอำนาจที่เหนือกว่านั้น ต้องการยุติบทบาทของครอบครัวชินวัตรอย่างสิ้นเชิง “They’ve had enough of them”. มันจบแล้วนาย

และจากความผิดพลาดของนรม. เรื่องคลิปหลุดและเรื่อง ๆ อื่น ทำให้กองทัพกระชับอำนาจของตัวเองในหลายด้านอีกครั้ง

ส่วนเรื่องความเป็นไปได้ที่เกิดการ #รัฐประหาร โจชัวเขียนบทความก่อนหน้านี้ทำนายไว้แล้วว่า ไม่น่าจะเกิดการรัฐประหารภายในสัปดาห์นี้ แต่อาจเกิดขึ้นภายในหนึ่งหรือสองเดือน หากรบ.พลเรือนเริ่มไม่มั่นคงมากขึ้น

เขามองว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กองทัพสามารถกระชับอำนาจตัวเองได้มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ความรู้สึกชาตินิยมเพิ่มขึ้นสูงมาก เนื่องจากปัญหาชายแดน ในเวลาเดียวกับที่ไทยมีรัฐบาลพลเรือนที่อ่อนแอมาก และมีนายกฯ ที่อ่อนแอมากเช่นกัน

หลายเดือนที่ผ่านมา กองทัพได้พยายามกระทำการที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจของตัวเอง อย่างการฟ้อง #คดี112 กับ Paul Chambers นักวิชาการของไทยที่มีชื่อเสียงมากสุดคนหนึ่งในโลก สอนหนังสือ ทำงาน มีครอบครัวในไทย อยู่เมืองไทยมากว่า 20 ปี

ปรกติรบ.ไทยจะไม่เนรเทศนักวิชาการออกนอกประเทศ และเป็นการฟ้องคดีต่อข้อเขียนที่เขาเขียนมานานหลายปีแล้ว เขามองว่า การฟ้องคดีต่ออ.พอลเป็นเรื่อง “pretty stupid” โดยเฉพาะในช่วงระหว่างการเจรจาภาษีกับรบ.สหรัฐฯ เพราะจะยิ่งทำให้รบ.อเมริกันโกรธมากขึ้น ไม่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยเลย

ถ้าไปอ่านในบทความที่ Joshua Kurlantzick เขียนให้กับ CFR ไม่กี่วันก่อน เขาเริ่มด้วยการบอกว่า

“ประเทศไทยเป็นประเทศรายได้ปานกลาง หรือรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง เพียงประเทศเดียวในโลก ที่ยังคงมีการทำรัฐประหารอยู่เป็นประจำ (ในบราซิล มีการพยายามทำรัฐประหารในปี 2565 แต่ไม่สำเร็จ และมีรัฐประหารครั้งสุดท้ายเมื่อ 40 ปีที่แล้ว)

“โดยประเทศไทยมีความพยายามทำรัฐประหารมาแล้ว 22 ครั้ง นับแต่การล่มสลายของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในทศวรรษ 1930 โดยประสบความสำเร็จ 13 ครั้ง”

เขายังบอกในบทความด้วยว่า “กองทัพได้ทำการรัฐประหารมาแล้วหลายครั้ง จนทำให้เกิดสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเรียกว่า “วัฒนธรรมการรัฐประหาร” (coup culture) ซึ่งยิ่งเกิดการรัฐประหารขึ้นมากเท่าไร กองทัพก็ยิ่งสร้างแนวคิดที่ยอมรับการรัฐประหารได้มากขึ้นเท่านั้น”

เขายังบอกต่อไปว่า สภาพการณ์ในตอนนี้ของไทย ไม่ต่างจากสภาพก่อนที่จะเกิดการรัฐประหาร ทั้งในปี 2549 และ 2557 เป็นสภาพที่ ”กองทัพและกลุ่มชนชั้นนำอนุรักษ์นิยม สร้างภาพว่ารัฐบาลประชาธิปไตย...เป็นภัยคุกคามต่อความสามัคคี และอำนาจอธิปไตยของชาติ”

โดยกองทัพใช้ประเด็นกัมพูชา เป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังเพื่อสื่อให้เห็นถึงความไม่จงรักภักดี และเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงการเมือง

https://www.cfr.org/article/coup-coming-soon-thailand
https://youtu.be/-6WSLovWdq0

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162702652756649&set=a.10150096728651649


คณะรวมพลังแผ่นดินผู้จัดชุมนุม28 มิถุนายน ส่วนใหญ่ไม่เอาประชาธิปไตย แต่ไม่รู้เอาระบอบใด จะชูระบอบคนดี กษัตริย์ภูมิพล ก็ไม่อยู่แล้ว ในหมู่พวกเขา หาคนดีแทบไม่มี จะชูระบอบเผด็จการทหาร ก็เหนียมอาย - อนิจจา ตอนนี้มันยังงงกันอยู่ว่าจะสู้เพื่อใครเพื่ออะไร


Jaran Ditapichai
11 hours ago
·
คณะรวมพลังแผ่นดินผู้จัดชุมนุม28 มิถุนายน ส่วนใหญ่ไม่เอาประชาธิปไตย แต่ไม่รู้เอาระบอบใด จะชูระบอบคนดี กษัตริย์ภูมิพล ก็ไม่อยู่แล้ว ในหมู่พวกเขา หาคนดีแทบไม่มี จะชูระบอบเผด็จการทหาร ก็เหนียมอาย นี้
เป็นความอับจนทางการเมืองของคณะนี้

เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak
June 28
·
การชุมนุมเป็นสิทธิ แต่การเลือกสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนการชุมนุมไหนก็เป็นสิทธิเหมือนกัน ผมไม่ขอสนับสนุนการชุมนุมที่นำโดยกลุ่มคนที่เป็นอาชญากรเรียกทหารมาล้มประชาธิปไตยครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นสารตั้งต้นความถดถอยของประเทศชาติ อีกทั้งครั้งนี้ก็ยังมีท่าทีส่อจะมุ่งหมายให้มีการรัฐประหารอีก ราวกับไม่เคยเรียนรู้อะไรเลยว่าการรัฐประหารทำลายประเทศชาติมาขนาดไหน ขอให้มิตรสหายและพ่อแม่พี่น้องใช้วิจารณญาณ อย่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

https://www.facebook.com/photo?fbid=9873477642761083&set=a.287476558027954
https://www.facebook.com/paritchiwarakofficial/posts/1337090094445239






มาแล้ว พยากรณ์กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2568 - เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์


เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak
11 hours ago
·

เพลงยาวพยากรณ์กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2568

จะกล่าวถึงกรุงรัตนโกสินทร์
ประเทศทวยเทพไท้ธานินทร์
ได้ยินเลื่องชื่อระบือไกล

กิติศัพท์ทราบทั้งปฐพี
เมืองหลวงโสเภณีศรีสมัย
ล้ำเลิศยิ่งแคว้นในแดนไตร
เป็นใหญ่กว่าล้านนาปัตตานี

อีกพระศาสนาก็รุ่งเรือง
ทั้งเมืองกราบไหว้กันแต่ผี
สมณะตาเถรเณรชี
ต่างจ้ำจี้จุดเทียนกันเวียนวน

วาณิชนายทุนกระฎุมพี
ไม่มีคำว่าขัดสน
กินรวบบันเทิงเริงกมล
มณฑลไท่กั๋วนี้เซ็งลี้

ขุนศึกเสนาอำมาตย์
เวียนครองอำนาจกันสุขี
รัฐประหารชั่วนาตาปี
เต็มทีสิบสามครั้งยังไม่พอ

ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ก็เป็นสุข
จ่ายส่วยกันสนุกทุกห้องหอ
ยิ้มแย้มเริงร่าจนหน้างอ
สอพลอทุกหมู่เพราะอยู่เป็น

ฝ่ายกษัตริย์ครองขันธสีมา
เวียงวังคลังนาปลอดทุกข์เข็ญ
ปวงประชาสุขสมร่มเย็น
ใครไม่เห็นว่าสุขถูกตัดคอ

ด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
คอยกดปราบพวกไพร่ไม่ระย่อ
องคาพยพเสือหิวลิ่วล้อ
จึงโขกสับสืบต่อตลอดมา

จนขุนหลวงริมสระขณะนี้
บังเกิดมีแปลกประหลาดเป็นหนักหนา
พินิจดูก็พ้องต้องตำรา
นับแต่ปีสองห้าหกสามนั้น

คราเมื่อเยาวชนคนทั้งหลาย
เขามุ่งหมายก่อม็อบเป็นแม่นมั่น
ด้วยทรงยศไม่ทรงทศธรรม์
จึงเกิดเข็ญเป็นอัศจรรย์สิบหกประการ

คือฤดูดินฟ้าจะอาเพศ
ทั้งประเทศน้ำท่วมทุกทิศานต์
พีเอ็มจะเผาเป็นเพลิงกาฬ
รัฐบาลจะข้ามขั้วกันอลวน

พระคงคาจะเหม็นตลบอบอวน
การเมืองจะชวนสับสน
จีนเทาจะเข้ามาปะปน
ท้องถนนจะมีแต่ลูกรัง

พระเสื้อเมืองจะเหนื่อยใจลี้ภัยหนี
คนจะบูชาขี้เป็นของขลัง
ผีขนุนจะกรูกันอยู่วัง
เด็กน้อยหอยสังข์จะตั้งท้อง

ตามตำราว่าไว้ไม่มีผิด
วัดวาจะวิปริตกลายเป็นซ่อง
นักบวชจะร่ำรวยด้วยเงินทอง
สมภารจะอยู่ห้องกับสีกา

ตำรวจจะกลายเป็นผู้ร้าย
กฎหมายจะกลายเป็นกฎหมา
ศาลจะเตี้ยต่ำไม่นำพา
ขุนโจรจะใหญ่กว่านายก ฯ

ข้าราชการทั่วหน้าจะพาโล
พวกเจ้าใหญ่นายโตจะโกหก
การศึกษาจะพาคนเข้ารก
จะดื่นดกแต่ของมัวเมา

บรรดาข่าวสารบ้านเมือง
จะเปล่าเปลืองเป็นละครน้ำเน่า
ผู้รู้จะถูกดูเบา
ผู้ใหญ่จะเขลากว่าผู้น้อย

นักปราชญ์จะขายตัวขายหัวใจ
มหาวิทยาลัยจะถดถอย
รถถังจะเฟื่องฟูลอย
เรือดำน้ำลำน้อยจะถอยจม

บางพรรคบางตระกูลจะสูญเผ่า
เพราะพาหนูกับงูเห่าเข้าเสพสม
บางคนจะเสียหมาเสียอารมณ์
เพราะคบค้าสมาคมเผด็จการ

ผู้ทรงศีลจะปีนขึ้นเสาไฟ
คนบ่มีไก๊จะอวดหาญ
เศรษฐีจะซื้อทั้งจักรวาล
ขอทานจะต้องขายไตกิน

ผู้กล้าจะพากันอยู่กรง
คนตรงจะต้องคดหมดสิ้น
หลักการทั้งหลายในแผ่นดิน
จะพังพินทุ์แล้วพลันอันตรธาน

คนดีจะไม่มีที่อาศัย
คนจัญไรจะกำเริบเสิบสาน
ผู้ดีมีศักดิ์จะดักดาน
อันธพาลจะเป็นรัฐมนตรี

สุนัขจะได้เป็นนายพล
คนฉ้อฉลจะเติบใหญ่ในหน้าที่
แพศยาจะขึ้นเป็นราชินี
เทวีจะถูกถอดจากศักดา

ดวงเมืองจะประหลาดคลาดเคลื่อน
เงินจะเฟ้อฟั่นเฟือนลบเลือนค่า
จะล่มจมทั่วไปทุกไร่นา
พืชผลราคาจะไม่มี

มาม่าจะยากหมากจะแพง
หุ้นจะติดตัวแดงกันถ้วนถี่
จะเตะฝุ่นคละคลุ้งทั้งกรุงบุรี
จีดีพีจะอ่อนด้อยถอยลด

คนทำมาหากินทั้งเวียงชัย
จะเดือดเนื้อร้อนใจกันไปหมด
กษัตริย์จะเสื่อมเสียเกียรติยศ
จะขายหน้าปรากฏถึงเยอรมัน

ทหารจะลักวิ่งเข้าชิงชาติ
จะเกิดยึดอำนาจเป็นแม่นมั่น
จะปั่นป่วนถ้วนหน้าสารพัน
ทั้งขอบขันธสีมาจะจลาจล

เมื่อยามแผ่นดินจะลงแดง
จะตีรันฟันแทงทุกแห่งหน
จะเลือดเย็นเป็นบ้าสาละวน
จะจี้ปล้นแย่งชิงทั้งหญิงชาย

ทั่วโลกหล้าสหประชาชาติ
จะรบราอาละวาดกันฉิบหาย
จะนิวเคลียร์หัวขวิดยิงมิสไซล์
จะล้มตายเป็นเบือไม่เหลือดี

หัวเมืองใหญ่น้อยจะย่อยยับ
กรุงเทพจะกลายกลับเป็นเมืองผี
จะจมปลักดักดานเป็นล้านปี
พวกอัปปรีย์ถ่วงรั้งธรณิน

อนิจจากรุงเทพมหานคร
ฟ้าอมรรัตนโกสินทร์
จะเหลือแต่ธุลีขี้ดิน
จะสูญสิ้นเสื่อมยศทั้งหมดมี

รัตนโกสินทร์จะสิ้นแล้ว
พระแก้วมรกตจะหมดรัศมี
เพราะอ้ายพวกเหี้*ห่าครองธานี
เราจะซี้แหงแก๋เป็นแน่เอย

คำพยากรณ์ของหลวงพ่อฤๅษีลิงแดง เรียบเรียงโดย ขุนศรีกวีราษฎร์

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1338022854351963&set=a.238573097630283