
9 มิถุนายน 2568
มติชนสุดสัปดาห์
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่ ห้อง ศศ.201 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ เนื่องด้วยสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา และ โครงการ ‘ศิลป์เสวนา’ คณะศิลปศาสตร์ จัดเสวนาวิเคราะห์สถานการณ์ เรื่อง ‘ช่องบก–ตาเมือน: ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา บนกระดานการเมืองและเวทีศาลโลก’
โดยมีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ รด.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช สาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ Center for Southeast Asian Studies, Kyoto University ดำเนินรายการโดย นายพงศธัช สุขพงษ์ ผู้ดำเนินรายการทันโลก กับ Thai PBS พิธีกรตลอดงาน โดย นายสฏฐภูมิ บุญมา อาจารย์พิเศษสาขาวิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในตอนหนึ่ง ศ.ดร.ปวิน กล่าวว่า ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เกิดขึ้นมามากกว่า 20 ปีแล้ว ที่ยังไม่เคยหายไปจากความทรงจำ อย่างไรก็ตามเราหนีกัมพูชาไม่พ้น ไม่ได้บอกว่าไม่ชอบ ตนเองก็ทำปริญญาเอกเรื่องพม่า แต่เมื่อกลับไปทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศแล้ว แล้วโต๊ะพม่าเต็ม ก็เลยให้ตนไปทำงานที่โต๊ะกัมพูชา
ปี คศ.1994 ตอนนั้นกระทรวงการต่างประเทศมีโปรเจคหนึ่งที่อยากให้จะให้ข้าราชการศึกษาประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยเหตุผลต่างๆ ผมเลือกเรียนภาษากัมพูชา ทำอยู่ได้ไม่นานก็เกิดเรื่อง
“ปีที่ผมถูกส่งไป กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เพื่อไปร่วมคณะกับกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเรากำลังทำ MOU ไทย-กัมพูชา ในเรื่องการค้า ณ ขณะนั้น ซึ่งผมไปก่อนคณะกระทรวงพาณิชย์จะมา เราเริ่มเห็นอะไรแปลกๆ ผู้ชุมนุมคนกัมพูชาเริ่มออกมาประท้วง ตอนนั้นเริ่มมีเรื่องเกี่ยวกับนครวัดว่า เป็นของไทยมาก่อนและกลายเป็นประเด็นใหญ่มากในกัมพูชาตอนนั้น
เมื่อเราอยู่ไปเรื่อยๆ เริ่มมีคนออกมาประท้วงคนไทยมากขึ้น กลุ่มคนคลั่งชาติกัมพูชาก็ขับมอเตอร์ไซค์รอบเมือง จนมีการเผาสถานทูตเกิดขึ้น แต่ผู้ชุมนุมไม่ใช่แค่ทลายอาคารก่อสร้างที่เป็นอธิปไตยของไทย ผู้ชุมนุมยังทำลายธุรกิจอื่นๆ ในกรุงพนมเปญของคนไทยด้วย เราอพยพกันออกมาจากพนมเปญกันเช้ามืด มีรถบัส มีรถถังมานำขบวนไปที่ค่ายทหารแล้วก็นั่งเครื่องบินกลับมาไทย
เหตุการณ์วันนั้นมันสอนเราเยอะมาก เรื่องไฟของชาตินิยม ผมคิดว่าทั้ง 2 ประเทศพอกัน ในการใช้ปัจจัยทางด้านชาตินิยมมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองภายใน จริงๆ แล้วความขัดแย้งที่เกิดขึ้นหลายครั้ง ข้อพิพาทต่างๆ มักเกี่ยวกับการเมืองภายในเป็นหลัก การใช้ปัจจัยระหว่างประเทศเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจต่อความล้มเหลวของการบริหารการเมืองภายในประเทศเป็นหลัก และผมเชื่อว่า ความขัดแย้ง ‘ช่องบก’ ไทย-กัมพูชา ครั้งล่าสุด ก็หนีไม่พ้นเรื่องปัจจัยการเบี่ยงเบนความสนใจจากการเมืองภายในประเทศของกัมพูชา และประเทศไทยก็ตอบรับ” ศ.ดร.ปวิน กล่าว
ศ.ดร.ปวิน กล่าวต่อไปว่า เราอาจจะพูดได้ว่า ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นในยุคพีคของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ในแง่บวกก็ตรงที่ว่า ผู้นำทั้ง 2 ประเทศเป็นมิตรกัน และไม่ใช่เป็นมิตรในแง่ที่เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน แต่เป็นในแง่ของตัวบุคคล ไม่ใช่ความผูกพันแบบเงียบๆ ซึ่งยังทำให้สาธารณชนเห็นว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย และสมเด็จฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ไปไกลกว่านั้นมาก
“เราประหลาดใจว่า เมื่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากทั้ง 2 ฝ่ายที่ไม่มองหน้ากัน เช่น ในปี ค.ศ. 2008 ประเด็นเขาพระวิหารมันกลับมาในช่วงเวลานั้น รัฐบาลไม่มองหน้ากัน เมื่อกลุ่ม PAD (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) ต้องการใช้ประเด็นเขาพระวิหาร ล้มล้างรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช วันนั้นก็ยังไม่ใช่จุดพีคของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา แต่ ณ วันนี้มันก็ยังไม่ใช่ วันนี้ความสัมพันธ์ของผู้นำทั้งคู่ ก็ยังไม่ช่วยอะไร ทำไมถึงเลยเถิดจนถึงความขัดแย้งได้ หรือไปจนถึงทำให้สถานการณ์แย่ลง”ศ.ดร.ปวิน กล่าว

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า อิทธิพลของจีนในกัมพูชามีผลมากน้อยแค่ไหน
ศ.ดร.ปวิน กล่าวว่า ผลที่มีแน่ๆ คือการสร้างความมั่นใจในเวทีระหว่างประเทศต่อจุดยืนของกัมพูชาเอง อิทธิพลของจีนในกัมพูชามีมาสักระยะยาวๆ แล้ว ถ้าใครจำได้ว่า การประชุมสุดยอดอาเซียน หรือ ASEAN Summit ปี ค.ศ. 2012 ที่กัมพูชาเป็นเจ้าภาพ นั่นเป็นครั้งแรกที่ไม่สามารถออกบทสรุปของการประชุมได้ว่ามีอะไรบ้าง เพราะกัมพูชาไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ ซึ่งทั้งที่ตนเองเป็นประธานอาเซียน ตัวเองต้องปกป้องผลประโยชน์ของอาเซียน
แต่ในการประชุมครั้งนี้ มีข้อพิพาทใหญ่สุดอันหนึ่งเกี่ยวกับ เสรีภาพความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ ซึ่งเราทราบกันว่า จีนกำลังมีความขัดแย้งเกี่ยวกับทะเลจีนใต้ 4 ประเทศ ในอาเซียน ฉะนั้นในมุมมองของอาเซียนซี่งมีมุมมองเสมอว่า จีนมาบูลลี่ตนเอง จึงอยากใช้กลไกของอาเซียนในการแก้ไขปัญหา เพราะว่า รู้ว่าเมื่อเกิดปัญหาเหล่านี้ในระดับทวิภาคี ไม่สามารถมีประเทศไหนสู้จีนได้ พูดง่ายๆ ว่า การประชุมสุดยอดอาเซียน ที่กัมพูชาครั้งนั้นค่อนข้างล้ม
“ผมไม่อยากวิเคราะห์ว่า หากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชามันบานปลายไปกว่านี้ แล้วจีนจะยืนอยู่ตรงไหน เราอาจจะมาชั่งน้ำหนักตัวเองว่า ในแง่ของ ‘ภูมิรัฐศาสตร์’ ระหว่างไทย-กัมพูชาประเทศไหนมีความสำคัญมากกว่ากัน เราอาจจะคิดว่าประเทศไทยมากกว่า ทั้งทางเรื่องที่ไทยมีเศรษฐกิจมากกว่า ประเทศใหญ่กว่า แต่อย่าลืมว่า จีนอาจจะคอนโทรลกัมพูชาได้ดีมากกว่าไทย เพราะไทยยังมีผู้เล่นอื่นๆ ที่เอนหลังไปได้ เช่น สหรัฐ เป็นต้น” ศ.ดร.ปวิน กล่าว
เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า ข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา มีนัยยะอะไรมากกว่านั้นหรือไม่
ศ.ดร.ปวิน กล่าวว่า เป็นแซนวิชในแง่ที่ว่า หากประเทศไทยเคยถูกแซนวิชด้วยอังกฤษและฝรั่งเศสในยุคอาณานิคม แต่กัมพูชาถูกแซนวิชตลอดชีวิต ที่ใหญ่ทั้ง 2 ประเทศ ทั้งไทยและเวียดนาม อย่างไรก็ตามมันจะเป็นคำสาปทางประวัติศาสตร์หรือไม่ ซึ่งนักวิชาการก็ไม่ควรพูดแบบนี้ คือในประวัติศาสตร์มันก็มีอะไรบางสิ่งที่มันอธิบายไม่ได้ เช่น คำว่า โชคดี หรือ โชคร้าย
“ที่บอกว่าเป็นคำสาป ความหมายคือ หากกัมพูชาต้องเลือกประเทศใดประเทศหนึ่งในการต่อสู้ กัมพูชามักเลือกไทย ไม่ใช่เวียดนาม เป็นคำสาปที่มาจากประวัติศาสตร์ที่มีบาดแผลระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งมันลึกกว่ามากเวียดนาม และชนชั้นนำของกัมพูชามีความสนิทสนมกับชนชั้นนำเวียดนามมากกว่ามาก การที่เราคิดว่า นายทักษิณไปลงทุนในกัมพูชาไว้เยอะ อาจจะไม่ได้ในแง่เศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ยังมีในแง่ของการเมืองและอำนาจอีกด้วย”ศ.ดร.ปวิน กล่าว
ศ.ดร.ปวิน กล่าวต่อว่า เราอาจมองข้ามอิทธิพลของ ‘อีลิททางด้านการเมืองของเวียดนามที่มีต่อการเมืองกัมพูชา’ หนึ่งในข้อกล่าวหาต่อรัฐบาลสมเด็จฮุนเซน เมื่อปี ค.ศ. 2003 ที่ทำให้ สมเด็จฮุนเซน นำไปสู่การจุดไฟชาตินิยมขึ้นมา เพราะนำไปสู่ข้อกล่าวหา ที่รัฐบาลสมเด็จฮุนเซน ยินยอมให้คนมีสัญชาติเวียดนามเข้ามารันการเลือกตั้งได้ ถือว่าเป็นการแทรกแซงโดยตรง ก็พิสูจน์กันว่าจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงกว่าการคอร์รัปชั่น เพราะฉะนั้น สมเด็จฮุนเซน ก็เลือกที่จะประกาศสงครามกับไทย เพื่อกลบข้อกล่าวหาเหล่านี้ เมื่อกัมพูชาต้องการพลิกเพื่อสู้ ไทยเองก็มักจะเป็นเหยื่อ แต่เราก็เป็นประเทศที่ใหญ่กว่า แต่มันก็ออกมาเป็นเช่นนั้นจริงๆ

“หลายคนคิดว่า ความสัมพันธ์นายทักษิณ กับรัฐบาลสมเด็จฮุนเซน ในท้ายที่สุดมันจะดีขึ้น แต่มันก็อาจจะเป็นไปอีกด้านหนึ่งก็ได้ ถ้าหากว่า ฝ่ายเวียดนามไฮไลต์ตรงนี้ขึ้นมาว่า รัฐบาลปัจจุบันของกัมพูชามีนอกมีในกับรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร มันยิ่งทำให้เกิดความน่าสงสัยให้กับรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งจะยิ่งทำให้เวียดนามแทรกแซงได้ดีกว่านั้น ทำให้ความขัดแย้งยุติลงยากขึ้นกว่าเดิม ขอสรุปได้ว่า ความสัมพันธ์นายทักษิณ-สมเด็จฮุนเซน ที่ว่าดี อาจจะกลายเป็น ดาบสองคม” ศ.ดร.ปวิน กล่าว
เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า แรงจูงใจใดที่กัมพูชาถึงอยากจะข้ามไปศาลโลก
ศ.ดร.ปวิน กล่าวว่า อย่างแรกสะท้อนเรื่องความมั่นใจต่อองค์กรอาเซียน เรื่องการเผาสถานทูต เป็นครั้งแรกของโลกที่สมาชิกระหว่างประเทศที่องค์กรเดียวกันทำลายสิ่งปลูกสร้างทางการทูตต่อกัน
ประการต่อมา องค์กรอาเซียนมีการพูดถึงทางออก หากมีข้อพิพาทเกิดขึ้น แน่นอนว่ากัมพูชาไม่อยากใช้องค์กรของอาเซียนในการแก้ไขปัญหา หากต้องมีการโหวตกันคงอาจแพ้ได้
เศสล่าสุดที่ไปศาลโลก คือความขัดแย้งระหว่าง มาเลเซียและสิงคโปร์ ข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยเหนือเกาะ Pedra Branca/Pulau Batu Puteh, Middle Rocks และ South Ledge ศาลโลกก็ตัดสินแบ่งคนละครึ่ง
ศ.ดร.ปวิน กล่าวถึงประเด็นกองทัพไทยว่า ถ้ากองทัพคิดว่า มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความขัดแย้ง ความมั่นคง ข้อพิพาททางพรมแดน ตนคิดว่ากองทัพไทยที่เขาพูดหรือทำมันจะมีน้ำหนักอยู่มาก วิธีการแก้ไขปัญหา คือ ต้องสร้างการบูรณาการนโยบายต่างประเทศ ไม่ควรแบ่งออกเป็นของกองทัพ หรือของรัฐบาล
“ผมคิดว่าครั้งนี้หากไม่ได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงจริงๆ แล้วเป็นเรื่องผลกระทบมาจากทางอื่น มันอาจจะลงตัวกันได้ก็ได้ แล้วกองทัพก็อาจมีความเข้าใจในจุดนี้ เพราะตนคิดว่าถ้าจะไปต่อ ก็ไม่รู้จะไปอย่างไร แล้วถ้ากองทัพไทยยังจะไปต่อ แล้วในที่สุด Joint Boundary Commission (JBC) ล้มเหลว ไม่แน่ใจว่าจะเป็นผลดีของกองทัพหรือไม่
สิ่งสะท้อนความสัมพันธ์ของ นายทักษิณและสมเด็จฮุนเซน มีมาถึงจุดที่ สมเด็จฮุนเซนมีสิทธิเรียกร้องอะไรบางอย่างจากนายทักษิณได้ เพราะว่า ในหลายๆ ครั้ง ฝ่ายนายทักษิณเรียกร้องขอความชอบธรรมมากว่าฝ่ายรัฐบาลสมเด็จฮุนเซนที่มีการเรียกร้องต่อนายทักษิณ ตรงนี้เรามีตัวแปลที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เช่น การลี้ภัยของนายทักษิณก็ได้ความชอบธรรมจากรัฐบาลกัมพูชา ก็คือการให้ความชอบธรรมต่อนายทักษิณ รวมไปถึงเรื่องการยอมรับกลุ่มคนเสื้อแดง
แต่ในขณะเดียวกันสมเด็จฮุนเซน ก็ไม่ได้ต้องการความชอบธรรมจากนายทักษิณในการสร้างความเข้มแข็งในรัฐบาลตนเองของกัมพูชา ผมคิดว่าจุดที่กัมพูชาน่าสนใจในหมากเกมนี้ที่มีความมั่นใจว่า เรื่องจะจบโดยที่กัมพูชาได้แต้มต่อมากกว่าไทย” ศ.ดร.ปวิน ปิดท้าย
https://www.matichon.co.th/politics/news_5222441