วันพุธ, กุมภาพันธ์ 26, 2568

ทบทวนประวัติศาสตร์การเมืองไทย นโยบายแข็งกร้าวในยุคสมัยของรัฐบาลธานินทร์ ผ่านบทบาท ‘ธานินทร์ กรัยวิเชียร’


ส่วนหนึ่งจากบทความ
ทบทวนประวัติศาสตร์การเมืองไทย ผ่านบทบาท ‘ธานินทร์ กรัยวิเชียร’
ที่มาประชาไท

ตอนหนึ่งในหนังสือ ‘สายธารประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทย’ โดยสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ (บริษัทพี.เพรส, 2551)

ในนามานุกรมท้ายหนังสือชื่อ ‘กว่าจะครองอำนาจนำ การคลี่คลายขยายตัวของเครือข่ายในหลวง ภายใต้ปฏิสัมพันธ์ชนชั้นนำไทย ทศวรรษ 2490-2530’ โดยอาสา คำภา (สนพ.ฟ้าเดียวกัน, 2564) อธิบายชื่อของธานินทร์ กรัยวิเชียร ว่า

“อดีตข้าราชการตุลาการ ‘สายวัง’ ผู้มีความใกล้ชิดกับราชสำนักตั้งแต่ช่วงที่ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดเชียงใหม่ และผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ช่วงต้นทศวรรษ 2510 เขาเป็นหนึ่งในพระสหายร่วมเล่นกีฬาแบดมินตันกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นกรรมการมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และเป็นสมาชิก สนช.กลุ่มดุสิต 99 ธานินทร์มีความเชี่ยวชาญเรื่องกฎหมายการกระทำอันเป็นคอมนิวนิสต์ ช่วงปี 2518-2519 เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้นในฐานะวิทยากร “นักต่อต้านคอมมิวนิสต์” หลังรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 เขาได้รับโปรดเกล้าฯ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี.....”

อย่างไรก็ดี รัฐบาลธานินทร์ มีอายุได้เพียง 1 ปี 12 วันก็ถูกรัฐประหารยึดอำนาจ นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ซึ่งเป็นผู้นำเขาขึ้นสู่ตำแหน่งและนำเขาลงจากตำแหน่ง ในหนังสือของอาสา คำภา วิเคราะห์สาเหตุความอายุสั้นของรัฐบาลว่า นั่นเป็นเพราะบุคลิกความซื่อสัตย์ เถรตรง เป็นตัวของตัวเองสูงของธานินทร์ และแนวทางการดำเนินนโยบายแบบขวาจัดที่ทำให้ขัดแย้งกับพันธมิตรในเครือข่ายชนชั้นนำ ทั้งข้าราชการ นายทุนธุรกิจ รวมทั้งกับฝ่ายทหารเอง ทำให้ ‘แปลกแยก’ จากเครือข่ายชนชั้นนำอื่นๆ อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกับพล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ (ที่ต่อมาหลังการยึดอำนาจ ได้เป็นนายกฯ ต่อจากธานินทร์) แต่แม้เขาจะไม่ฟังคณะปฏิรูปฯ เช่น การแต่งตั้งรัฐมนตรีตามใจตนเองเพราะเชื่อว่าจะดีที่สุด ในอีกด้านหนึ่งก็พยายามกระชับความสัมพันธ์กับกองทัพด้วยการสนับสนุนแผนการปรับปรุงแสนยานุภาพของกองทัพตามที่คณะปฏิรูปฯ เสนอ ด้วยการออก พ.ร.บ.กู้เงินเพื่อป้องกันประเทศเป็นจำนวนถึง 20,000 ล้านบาท เมื่อ 29 พ.ย.2520 จากธนาคารโลกและซาอุดิอาระเบีย กำหนดผ่อนชำระ 20 ปี และเพิ่มงบประมาณป้องกันประเทศจากปีก่อนหน้าราว 3,000 ล้าน

ตัวอย่างลักษณะนโยบายแข็งกร้าวในยุคสมัยของรัฐบาลธานินทร์ อาทิ
  • ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ มีอำนาจกักตัวบุคคลเป็นเวลา 7 วันหากสงสัยว่าเป็นภัยความมั่นคง
  • ปรับประกาศคำสั่งคณะปฏิรูปทำให้เจ้าพนักงานจับ ค้น ควบคุมตัวผู้เข้าข่ายต้องสงสัยเป็นภัยความมั่นคงโดยไม่ต้องใช้หมายจับหรือหมายค้น
  • กำหนดลักษณะบุคคล ‘ภัยสังคม’ เพื่อกำราบการชุมนุมประท้วงและนัดหยุดงานซึ่งมีจำนวนมากในเวลานั้น ผู้ต้องสงสัยจะถูกคุมตัวได้ 30 วัน ตลอด 1 ปีเศษ มีผู้ต้องหาประมาณ 8,000 คนที่ถูกจับกุมข้อหาภัยสังคม
  • มาตรา 21 ของธรรมนูญชั่วคราว คล้ายกับมาตรา 17 ของรัฐธรรมนูญ 2502 ยุคสฤษดิ์ ที่ให้อำนาจเด็ดขาดแก่นายกฯ แต่เพียงผู้เดียว ในการตัดสินโทษผู้กระทำความผิดบางประเภท คล้ายกับยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์
  • มีการควบคุมสื่ออย่างหนักหน่วง ปิดหนังสือพิมพ์ไปถึง 22 ครั้ง โดยถูกหยุดใช้ใบอนุญาต 3 วันบ้าง 5 วันบ้าง ไปจนถึง 15 - 30 วัน
  • มีการประกาศรายชื่อหนังสือต้องห้ามและเผาหนังสือต้องห้าม
  • ฟื้นฟูการยืนตรงเคารพธงชาติในเวลา 8.00 น.และ 18.00 น.
  • ข้าราชการต้องเข้าอบรมโดยวิทยากรจาก กอ.รมน.เพื่อผูกฝังความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ กรมกองละ 2 สัปดาห์ต่อวัน ซึ่งมีการจัดอยู่เสมอ
  • ในทางการต่างประเทศเลือกใช้นโยบายไม่คบค้ากับประเทศสังคมนิยมใด มีการออก พ.ร.บ.ห้ามคณะผู้แทนรัฐบาลเดินทางไปติดต่อเป็นทางการกับประเทศคอมมิวนิสต์เป็นต้น
ลักษณะการดำเนินนโยบายเช่นนี้ส่งผลให้ยิ่งเร่งปฏิกิริยาให้นักศึกษาเข้าร่วมต่อสู้กับ พคท.มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็ไม่ได้รับการยอมรับจากเครือข่ายชนชั้นนำอื่นๆ อีกต่อไป

หนังสือดังกล่าววิเคราะห์ว่าธานินทร์เชื่อว่า “ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองต้องมาก่อน และสิ่งอื่นจะตามมาทีหลัง” ดังที่เคยให้ความเห็นในรายการสนทนาประชาธิปไตยว่า “หากเราลองชั่งน้ำหนักระหว่างสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งเราต้องเคารพนี้ กับอ้ายความมั่นคงของรัฐ กับภัยคอมมิวนิสต์นี่ ก็ต้องกลับมาปัญหาอย่างแรกที่ผมได้เรียนไว้ว่ามันคุ้มกันไหม ผมถึงเห็นว่า ความมั่นคงของประเทศต้องมาก่อน”

ในทางรัฐธรรมนูญ ในสมัยรัฐบาลธานินทร์นี้เอง ที่ปรากฏคำว่า ‘ระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” เป็นครั้งแรก อยู่ในคำปรารภของรัฐธรรมนูญฉบับ 2519 นอกจากนี้ในยุคนี้ยังเพิ่มโทษกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากจำคุกสูงสุดไม่เกิน 7 ปี ให้เป็นจำคุกสูงสุดไม่เกิน 15 ปี

ประชาธิปไตยไทยเคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ อย่างพิศดารตลอดเส้นทางราว 93 ปีของมัน และช่วง 1 ปีเศษในยุครัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร ซึ่งบริบทสถานการณ์โลกแหลมคมหนัก ก็นับเป็นช่วงเวลาที่มีความน่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองไทย

อ่านบทความเดิมเต็ม
https://prachatai.com/journal/2025/02/112228
.....






ฟ้าเดียวกัน
February 23
·
สิ้น "นายกฯพระราชทาน"
ธานินทร์ กรัยวิเชียร (2470-2568)
_____
❝สมัยธานินทร์นับเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญที่ปรากฏคำว่า “ระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” อยู่ใน “คำปรารภ” ของรัฐธรรมนูญฉบับ 2519 คำประพันธสรรพนาม “ซึ่ง” คือตัวเชื่อมร้อยและสร้างความหมายของคำ 2 คำ (ระบอบประชาธิปไตย - มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน การมัดรวมดังกล่าวก่อให้เกิดคำว่า “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ที่เป็นแบบแผนอุดมการณ์ราชการในเวลาต่อมา ในยุคนี้มีการเพิ่มโทษกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพให้รุนแรงขึ้น จากเดิมก่อน 6 ตุลาคม 2519 ที่โทษหมิ่นพระบรมเดชานุภาพคือจำคุกสูงสุดไม่เกิน 7 ปี และส่วนมากเป็นแต่เพียงรอลงอาญาหรือจำคุกเพียงไม่กี่เดือน ธานินทร์แก้ไขให้โทษขั้นต่ำคือจำคุก 3 ปี และสูงสุดไม่เกิน 15 ปี หลังจากนั้นกฎหมายนี้ก็ไม่เคยถูกยกเลิกจนถึงปัจจุบัน❞
_____
กว่าจะครองอำนาจนำ
การคลี่คลายขยายตัวของเครือข่ายในหลวง
ภายใต้ปฏิสัมพันธ์ชนชั้นนำไทย ทศวรรษ 2490-2530
โดย อาสา คำภา
หนังสือชุดสยามพากษ์ ลำดับที่ 6
สั่งซื้อหนังสือได้ที่
https://sameskybooks.net/index.php/product/9786167667966/

https://www.facebook.com/sameskybook/posts/1054057630099698