วันเสาร์, เมษายน 08, 2566

ทำไมประเทศกูถึงมี "ลัทธิชังชาติ"



ที่มา ประชาไท

การเกิดขึ้นของลัทธิชังชาติ สะท้อนให้เห็นถึงนิยามความเป็นชาติที่แตกต่างกัน?

ในเมื่อชาติเป็นชุมชนในจินตกรรม ในพื้นที่รัฐชาติหนึ่งจึงมีจินตนการเกี่ยวกับชาติได้มากกว่าหนึ่งเสมอ ผมคิดว่าน้อยมากที่มันจะเป็นมีจินตนาการเกี่ยวกับชาติที่เป็นเอกพจน์ ดังนั้นการมีจินตนาการเกี่ยวกับชาติที่แตกต่างกันไปหลายแบบ ให้ความสำคัญต่อสถาบันที่เป็นแก่นสารของชาติหลายแบบมันจึงเป็นไปได้เสมอ และจริงๆ เกิดขึ้นในสภาวะปกติธรรมดาด้วย

แต่มันยุ่งตรงที่ว่า ฝั่งหนึ่งซึ่งให้คำนิยามชาติ ได้ขึ้นไปเถลิงอำนาจรัฐ และความจริงที่สำคัญคือ ชาติไม่เพียงแต่เป็นจินตนาการถึงอะไรที่มีร่วมกัน ชาติยังเป็นโปรเจกต์ที่เราจะต้องมีร่วมกันด้วย เพราะเมื่อเราจินตนาการถึงชาติร่วมกัน เราล้วนคิดถึงชาติที่วิ่งไปในอนาคตข้างหน้าเสมอ มันจะมีแผนงาน มีความพยายามผลักพาไปสู่การบรรลุโปรเจกต์บางอย่างเสมอ

ปัญหาเกิดตรงที่ รัฐ อำนาจรัฐคือ เพชรยอดมงกุฎ สำหรับการนำไปการบรรลุโปรเจกต์ชาติ โปรเจกต์ชาติมีได้มากกว่าหนึ่งเสมอ มักจะเป็นพหูพจน์ แต่ว่าเวลาคุณมีโปรเจกต์คุณก็อยากจะทำให้มันเป็นจริง เครื่องมือสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้มันเกิดขึ้นจริงอย่างที่จินตนาการไว้ได้คือ คุณต้องมีอำนาจรัฐ

อันนี้มันก็เป็นเรื่องที่ผมไม่รู้จะพูดยังไง แต่ว่า เท่าที่ผมเข้าใจ ตรรกะมันเป็นแบบนี้ ถ้าผมจินตนาการถึงชาติไว้แบบนึง ให้ความสำคัญกับสถาบันจำนวนหนึ่งว่านี่คือแก่นสารของความเป็นชาติ คุณจินตนาการไปอีกแบบ คุณให้แก่นสารของความเป็นชาติไว้อีกแบบ อดีตร่วมของคุณกับอดีตร่วมของผมก็ไม่เหมือนกัน แต่งนิทานกันคนละเรื่อง พื้นที่ร่วมคุณ พื้นที่ร่วมผมก็ไม่แน่ว่าจะเหมือนกันทั้งหมด แต่สมมติว่าร่วมกันก่อน สายสัมพันธ์คุณกับสายสัมพันธ์ผมก็ไม่เหมือนกัน ของคุณใช้เสื้อสีนี้ ของผมใช้เสื้อสีนั้น เพื่อบอกความเป็นพวกเดียวกัน ที่สุดแล้ว นี่คือพูดถึงโปรเจกต์สองโปรเจกต์ และโปรเจกต์ใหญ่ขนาดชาติ ไม่ใช่หมู่บ้าน โรงเรียน คณะ เครื่องสำคัญที่จะบรรลุมันได้คือ อำนาจรัฐ ดังนั้นมันจึงวิ่งมาสู้จุดที่ต้องปะทะกัน

คราวนี้พยายามจะกลับไปที่คำถาม คุณเริ่มตรงที่ว่า เพราะว่าคนเรามีจินตนาการถึงชาติไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะที่คุณว่าฝ่ายรัฐกับฝ่ายประชาชนมีจินตาการแตกต่างกัน ผมเห็นด้วยว่า มันได้มากกว่าหนึ่ง มันเป็นพหูพจน์ ที่ยากกว่านั้น ยุ่งกว่านั้นก็คือว่า เส้นแบ่งมันไม่ง่ายขนาดนั้นไง ฝ่ายรัฐกับฝ่ายประชาชน ฝ่ายประชาชนกันเองก็ไม่เหมือนกัน มันมีตั้งหลายจินตนาการ แล้วฝ่ายรัฐเองผมก็ไม่แน่ใจนะว่าเหมือนกันซะทีเดียว

ความแตกต่างหลากหลายอาจจะมีอยู่ได้ ถึงแม้ว่าฝ่ายรัฐจะพยายามจัดแถว ตบแถว ให้คิดแบบเดียวกันกับรัฐบาล ดังนั้นเรามักจะเห็นเส้นแบ่งของผู้มีอำนาจรัฐ ก็ด้วยเหตุที่เขาอยากได้อำนาจรัฐที่จะทำให้เขาบรรลุโปรเจกต์ชาติ กับฝ่ายที่ไม่มีอำนาจรัฐ แต่อย่าไปคิดว่าจะมีเอกภาพในแต่ละฝ่าย ชัดเจนซะทีเดียว มันอาจจะมีได้มากกว่าหนึ่ง ทั้งฝ่ายผู้ไม่มีอำนาจรัฐคือประชาชน กับฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐ

คราวนี้ขยับต่อคือ พูดให้ถึงที่สุด คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกลัทธิชังชาติ ในความเข้าใจของผม คือพวกเขาเป็นลัทธิรักชาตินี่ล่ะ และเขาอยากจะช่วยเหลือแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงชาติ เพราะเค้าเชื่อว่าชาติดีกว่านี้ได้ คนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นลัทธิชังชาติเนี่ยก็คือคนที่วิพากษ์วิจารณ์ความเป็นจริง อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ ในสภาพของชาติปัจจุบัน และเขาวิพากษ์วิจารณ์เพื่อเตรียมย้ายไปอยู่ประเทศอื่นหรือ เปล่า เขาวิพากษ์วิจารณ์ภาษาไทยในพื้นที่ประเทศไทย และทำไมเขาทำแบบนั้นทำไมเขาแบบไม่เก็บของแล้วอพยพไปอยู่ที่อื่น เพราะเขารักชาติ เขาอยากจะเปลี่ยนชาติ แก้ไขปัญหาที่เขาเห็นว่าเป็นจุดบกพร่อง เขารู้สึกว่ามันไม่ดี เขาอยากจะให้ประเทศกูไม่มีสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้



ทำไมเขาอุตส่าห์ลงทุนลงแรง ร้องเพลงแร็พ หรือนั่งลำดับว่ามันมีปัญหาอะไรบ้าง เพราะเขาเชื่อว่าชาติดีกว่านี้ได้ ในความหมายหนึ่งเขามีความหวัง เขาอยากจะเห็นชาติที่ดีกว่านี้ และเขาเชื่อว่าเป็นไปได้ คนที่ถูกตราหน้าว่าลัทธิชังชาติ ปัญหาของมันคือมันรักชาติมากเกินไป (หัวเราะ) คือถ้ามึงรักชาติน้อยกว่านี้หน่อยแล้วมึงหุบปาก มันก็ไม่มีปัญหา มึงเสือกรักชาติแล้วมึงพูดออกมา แล้วมึงเสียเวลาพูดออกมา มึงก็รู้ว่ามึงพูดออกมามึงก็โดนเขาด่า โดนเขากล่าวหาว่าชังชาติ มึงพูดมาทำไม เพราะมึงรักชาติเกินไป และมีความหวังว่าชาติจะดีกว่านี้ได้ น่าสงสารเนาะ

คือถ้าไม่รักชาติก็สบาย เสือกรักชาติ ในบทเรียนของผม ผู้ที่รักชาติมากๆ มักจะตายก่อนเพื่อน พอชาติประสบความเดือดร้อนมันจะวิ่งแอ่นอกไปก่อนเพื่อน ตายก่อนเพื่อน คือผมคิดว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่าลัทธิชังชาติ ข้างหลังคืออันนี้ คือเขารักชาติ เขาเลยวิจารณ์ชาติ ในภาษาอังกฤษท่าทีแบบนี้ เรียกว่า erotic irony คือเหมือนกับคุณประชดประเทียด คุณประชดประเทียดเพราะคุณรักมัน แล้วมึงรักมันทำไมมึงประชดประเทียด เพราะมึงคิดว่าสิ่งที่เป็นอยู่นี้มันเป็นปัญหา คุณประชดประเทียดมันเพราะคุณหวังว่ามันจะดีกว่านี้ได้ คือ พูดให้ถึงที่สุด ประเทศกูมี คนทั้งหลายที่ออกมาวิจารณ์ชาติเรื่องสิทธิมนุษยชน เรื่องสิทธิเสรีภาพ เรื่องเศรษฐกิจหรืออะไรก็แล้วแต่ เขาทำไปเพราะเขารักชาติ แต่พอคุณได้ยินคำวิจารณ์ คุณก็หาว่า ไอ้นี้ชังชาติ ไอ้นี่ทำร้ายชาติ อันนี้นี้ทำให้คุยไม่รู้เรื่อง

เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย ทำไมเราจึงเป็นสังคมที่ไม่อาจรับฟังความแตกต่างที่วางอยู่บนข้อเท็จจริงได้

เท่าที่ผมสามารถเข้าใจได้ผมคิดว่าสังคมไทยถูกออกแบบ และฝึกอบรมมา ให้เปราะบางยิ่งต่อความเห็นต่างบางอย่าง ไม่ใช่ทุกอย่าง เปราะบางถึงขนาดที่ว่า มันไม่สามารถ พูดออกมาได้ หรือยอมรับได้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนไทยจะคิดเห็นต่างกันในเรื่องนี้ มันบางมาก พอคนไทยด้วยกันคิดเห็นต่างกันในเรื่องนี้ปั๊บ มันแตกเพล้งเลย และทางเดียวที่มันจะรักษาไม่ให้แตกเพล้งได้ คือบอกว่า มึงไม่ใช่ ถีบแม่งออกไป ไม่รักชาติออกไปจากที่นี่ซะ

แปลกมากเลยนะ เหมือนกับชาติที่เขาจินตนาการออกแบบไว้ แล้วอบรมให้เชื่อกันมาว่าชาติเราเป็นแบบนี้ มันบางเสียจนกระทั่งมันยอมรับให้คนไทยด้วยกันหรือคนที่สังกัดหน่วยเดียวกัน ชุมชนเดียวกัน คิดต่างกันในเรื่องนี้ไม่ได้ การคิดต่างในเรื่องนี้ มันเหมือนกับสิ่งที่มึงสร้างมาทั้งหมดนี่แตกเพล้งเลย มันบ๊างบางว่ะ

นึกออกไหมฮะ บางประเทศที่เขาจะทำลายรัฐชาติกัน บางสังคมต้องมีสงครามกลางเมือง บางสังคมนี่ต้องมีคนที่นับถือศาสนาต่างกันลุกขึ้นมาฆ่าฟันกันชิบหายวายป่วงหมด ซีเรียเป็นประเทศหนึ่งที่แบบกำลังจะหมดความเป็นประเทศ ฆ่ากันด้วยเรื่องที่ใหญ่โตมโหฬารมาก ฆ่าฟันกันเป็นเรื่องเป็นราว คนตายเป็นหลายแสนคน

ส่วนประเทศไทยมันบาง มึงคิดไม่เหมือนกูเรื่องนี้เดี๋ยวชิบหายเลย คือกระทั่งความต่างทางความคิดเห็นบางอย่างก็มิอาจจะปล่อยให้มีอยู่ได้ ระบอบเปราะบางเกินกว่าที่จะยอมรับความต่างแค่เรื่องความคิดเห็น ยังไม่พูดถึงการปฏิบัติด้วยซ้ำ แค่คิดเห็นก็รับไม่ได้แล้ว เห้ย ทำไมมึงบางงี้วะ คือทำให้ผมมีความรู้สึกว่าแบบ อะไรที่มันรองรับจินตนาการถึงชาติ ชุมชนร่วมกันแบบนี้น่ะ มันบางงงงมากเลย ไอห่าคุณกับผมเชียร์ฟุตบอลต่างทีมกัน คุณกับผมชอบดาราต่างคนกัน คุณกับผมชอบอาหารคนละอย่าง นี่เป็นเรื่องธรรมดา แต่บางเรื่องต่างกันไม่ได้ ทันทีที่ต่างปั๊บ พังเลย พื้นแตกเลยอ่ะ แล้วคุณก็ต้องลุกขึ้นมาไล่ฆ่าฟัน หรือไล่เขาไม่ให้อยู่ประเทศเดียวกันกับคุณ มันสะท้อนว่าอะไรที่รองรับเนี่ย มันบางมาก



ความเปราะบางเกิดจากอะไร ทั้งที่มีความพยายามก่อร่างสร้างฐานกันมานาน ทำไมจึงเปราะบาง

เพราะมันถูกกำหนดสร้างจากคนกลุ่มเดียว จากเบื้องบน มันไม่ใช่พื้นฐานความร่วมกันที่มาจากคนส่วนใหญ่ ที่มีสิทธิ ลุกขึ้นมามีส่วนร่วมในการจะบอกว่า ความเป็นไทยคืออะไร เพราะสร้างชาติกันแบบนี้มานานไง ตรงไปตรงมาก็เพราะสร้างโดยชนชั้นนำจำนวนไม่มากที่มีอำนาจปกครอง บอกว่าอันนี้คือพื้นฐานจุดร่วมของความเป็นชาติของเรา ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้ามามีปากเสียง มีส่วนร่วมในการกำหนดว่า พื้นที่ร่วมของความเป็นชาติของเราว่ามันคืออะไรกันแน่ ได้แต่ถูกนิยามชุดหนึ่งวางกดทับไว้ตลอด

ขณะที่เวลาล่วงเลย และโลกที่หมุนเปลี่ยนไป ความหลากหลายมันเพิ่มขึ้น สังคมไทยมีเศรษฐกิจที่ต่างแบบกันมากขึ้น มีสังคมที่ต่าง เราเปิดรับความหลากหลายจากนานาชาติ จากนานาวัฒนธรรมมากขึ้น แล้วการหวังให้คนไทย ในประเทศที่เคยมีคน 10 ล้านคน 20 ล้านคน ทุกวันนี้ 70 กว่าล้านคน ให้มันมีความหลากหลายน้อยลง มันเป็นไปไม่ได้ มันมีแต่จะหลากหลายมากขึ้น และไอ้พื้นที่เคยที่เคยใช้ครอบพวกเขาไว้ รองรับพวกเขาไว้ทั้งหมดเนี่ย มันยังเป็นพื้นที่ที่ถูกกำหนดจากคนส่วนน้อยเบื้องบนอยู่ดี ซึ่งไม่สามารถรองรับความหลากหลายได้

ดังนั้นเมื่อมันเจอกับหลากหลายนอกเหนือไปจากที่เคยคาดคิดไว้ มันก็สั่น มันก็พร้อมจะแตก มันเปราะบางเกินไป แล้วมันจะไม่ลดความเปราะบางหรอกจนกว่าคุณจะเปิดโอกาสให้คนทั้งหลายมีส่วนเป็นเจ้าของชาติในความหมาย นิยามชาติ กำหนดชาติ บอกขึ้นมาว่าอะไรคือความเป็นไทย ถ้าคุณไม่มีสิทธิเสรีภาพ คุณไม่มีประชาธิปไตย เขาจะมีส่วนร่วมในการนิยามความเป็นไทยได้อย่างไร ไม่ใช่เป็นการนิยามจากบางคนบางกลุ่ม ทุกวันศุกร์ ตอนกลางคืน ความเป็นไทยคือแบบนี้ มี 12 ข้อแล้วให้ถ่องตามๆ กัน

อ่านต่อในบทความเต็ม
เกษียร เตชะพีระ: ทำไมประเทศกูถึงมี “ลัทธิชังชาติ”
2018-11-10
ประชาไท