วันเสาร์, มกราคม 29, 2565

ทูตนอกแถว : มีอะไรเบื้องหลังการเยือนซาอุดีอาระเบีย? ตอน2-3


ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador Returns
Yesterday at 1:26 AM ·

มีอะไรเบื้องหลังการเยือนซาอุดีอาระเบีย? (2)
-
ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะเขียนต่อ แต่โพสต์ก่อนหน้าได้รับ feedback เยอะมาก ทั้งบวกและลบ ตลอดจนข้อสังเกตและท้วงติงอื่นๆที่น่าสนใจซึ่งผมขอน้อมรับด้วยดี พอดีกับมีประเด็นอื่นๆที่นึกได้อีก เลยอยากนำมาคุยกันต่อนะครับ
-
ดังที่ได้เขียนไปแล้วก่อนหน้า และผมขอย้ำอีกครั้งว่า จะอย่างไรเรื่องการเปิดความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างซาอุดีอาระเบียและไทย ถือเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ และเป็นเรื่องน่ายินดี
-
ที่ผมเคยตั้งข้อสังเกตไปว่านายกรัฐมนตรีของไทยควรได้พบกษัตริย์ นายกรัฐมนตรีของซาอุดีอาระเบียด้วย (ซึ่งมีคนแย้งว่ามงกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีคือคนที่มีอำนาจทั้งหมด พบแค่นี้จึงเท่ากับให้เกียรติแล้ว) อันนี้ผมก็พูดตามธรรมเนียมหลักปฏิบัติสากลทางทูตตามปกตินะครับ ซึ่งการพบปะหารือกับมงกุฏราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีนั้นก็ถูกแล้ว แต่ปกติถ้าจะให้เกียรติตามธรรมเนียมปฏิบัติกันจริงๆก็ควรต้องพบผู้นำสูงสุดของเขาด้วย
-
ภาพที่อออกมา ซึ่งรวมทั้งพิธีการต้อนรับต่างๆที่ฝ่ายซาอุดีอาระเบียจัดให้ แลดูอยู่ในสเกล รูปแบบที่ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานการเยือนอย่างเป็นทางการทั่วไปมาก เช่นไม่มีการตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ พรมแดง ฯลฯ หลายๆคนรวมทั้งผมจึงอดมองไม่ได้ว่าเขาไม่ได้ให้เกียรติเราเท่าใดนัก
-
แต่เรื่องนี้มันก็มองได้อีกว่าเพราะความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ณ ขณะการเยือนยังไม่ได้ถือว่าอยู่ในขั้นปกติ พิธีการต่างๆจึงถูกลดทอนลงไปมาก ซึ่งก็ทำให้คิดได้อีกว่าถ้าเราส่งรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีต่างประเทศไป ซึ่งก็คือระดับเดียวกับฝ่ายของเขา จะเหมาะสมกว่าไหม เมื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ปกติระหว่างกันเรียบร้อยแล้วค่อยให้นายกรัฐมนตรีไปเยือนอย่างสมเกียรติ
-
แต่ก็เข้าใจล่ะว่าเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีต้องการไปเองเพื่อสร้างผลงาน และแม้จะดูไม่สมเกียรตินักแต่ถ้าไปแล้วมีส่วนช่วยให้การเดินหน้ารื้อฟื้นความสัมพันธ์เป็นไปได้ด้วยดี ก็เอาเถอะครับ และก็ถือได้ว่านี่เป็นผลงานหนึ่งของนายกรัฐมนตรี แม้ว่าคงไม่ใช่ของแกเพียงคนเดียวล้วนๆอย่างที่มีผู้พยายามบอก
-
ซึ่งในแถลงการณ์ร่วมผมก็เห็นข้อความที่ระบุว่าในข้อ 4.ว่า “ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากความพยายามในหลายระดับของทั้งสองฝ่ายที่มีมาอย่างยาวนานเพื่อฟื้นฟูความไว้เนื้อเชื่อใจและความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างกัน” ซึ่งผมทราบว่าได้มีความพยายามดำเนินการในเรื่องนี้มาหลายยุค ทั้งในระดับกระทรวงการต่างประเทศ และโดยหลายรัฐบาลที่ผ่านมา
-
เอาเป็นว่าส้มมาหล่นเอาในยุคนี้ ก็ไม่ว่ากันนะครับ เพราะจะอย่างไรก็ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
-
อีกเรื่องที่มีผู้ทักท้วงมา คือเรื่องนายกรัฐมนตรีไทยยกมือไหว้มงกุฎราชการ รองนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นการทักทายในยุคโควิด และตามมารยาทของไทย ซึ่งตรงนี้ผมก็เห็นว่ามีประเด็นอยู่ แต่เท่าที่ผมเคยเห็นที่เขาปฏิบัติในยุคโควิดถ้าไม่จับมือ บางทีก็เอาข้อศอกแตะกัน หรือบางทีผมเห็นหลายประเทศใช้มือขวาทาบอกซ้ายก็มี
-
และเท่าที่ได้ยินมาเหมือนว่ามงกุฏราชกุมารเขายื่นมือออกมาจะจับแล้ว ก็น่าจะจับมือกับเขาได้ แต่ฝ่ายเราเลือกยกมือไปไหว้แทน ซึ่งจะว่าไปในยุคโควิดนี้ก็โอเคและไม่ใช่สาระสำคัญนัก แต่เรื่องนี้ในการเตรียมการการเยือน ทางฝ่ายพิธีการน่าจะควรแจ้งและตกลงกันก่อนว่าจะใช้วิธีทักทายกันแบบไหนแน่ ก็จะช่วยให้ดูราบรื่นไม่เคอะเขินนัก
***(ขอแก้ไขเพิ่มเติมตามที่เพิ่งได้รับแจ้งมาว่าเรื่องไหว้ เราแจ้งฝ่ายซาอุฯ แล้วครับว่าจะให้ นรม. ไหว้ แต่ทางสำนักพระราชวังคงไม่ได้ไปบรีฟมกุฎฯ เอง
ส่วนกองทหารเกียรติยศ ตกลงกันทั้งสองฝ่ายจะเป็นตรวจแถวและเคารพเพลงชาติทั้งสองฝ่ายกัน)
-
ท้ายสุดเมื่อนั่งอ่านแถลงการณ์ และใช้เวลาตรองมากขึ้น ก็มาคิดได้ว่า ที่พยายามวิเคราะห์หาสาเหตุเบื้องหลังว่าทำไมจู่ๆมันจึงเกิดขึ้น และมันน่าจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นไหมนั้น เอาเข้าจริง มันก็อาจเป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ คือมันก็เป็นไปได้ว่าทุกอย่างมันมาอย่างพอเหมาะพอเจาะช่วงนี้พอดี ไม่ได้มีอะไรเบื้องหลังหรือลึกอะไรมากไปกว่าที่ฝ่ายซาอุดีอาระเบียซึ่งปัจจุบันเป็นอีกสายกับราชวงศ์เดิมและเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ได้ยึดติดกับอดีตนัก ต้องการขยายความร่วมมือใหม่ๆ รวมทั้งกับไทยด้วย
-
จึงกลายมาเป็นการเยือนครั้งนี้ และแม้ว่าในแง่ภาพลักษณ์ระหว่างประเทศที่ทั้งสองประเทศต่างมีปัญหาด้านสิทธิมนุษย์ชนอย่างมาก ซึ่งสิ่งนี้คงไม่ด้วยช่วยอะไรในแง่นี้ แต่การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ได้ย่อมมีผลดีทางเศรษฐกิจของไทยอย่างแน่นอน และแม้มันก็เหมือนส้มหล่น แต่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งผลงานของรัฐบาลปัจจุบันอยู่ดี
-
แต่ผมก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นในยุคที่รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้มีที่มาอย่างชอบธรรม มีความสง่างามเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง (ไม่ใช่บนกฎกติกาที่แสนจะเขย่ง มี ส.ว. 250 ที่แต่งตั้งเองมาโหวตให้ รวมทั้งการแจกกล้วยต่างๆ ที่ผมมองว่านี่ไม่ใช่ประชาธิปไตยหรือความชอบธรรมที่สง่างามแต่อย่างใด)
เชื่อว่าประชาชนชาวไทยทั่วไปคงจะดีใจกว่านี้อีกมาก


ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador Returns
16h ·

มีอะไรเบื้องหลังการเยือนซาอุดีอาระเบีย? (3)
-
มีต่ออีกจนได้ จากตอนที่แล้วก็ได้รับความสนใจจากสื่อสำนักหนึ่งไปพาดหัวว่าทูตนอกแถวโยนผ้า! ยอมรับแล้ว ผลงานรัฐบาลบิ๊กตู่' ฟื้นสัมพันธ์ไทย-ซาอุ’ ก็เลยทำให้มีตอนสามอีกสักนิดนะครับ
-
อะไรที่เป็นผลงาน ผมก็บอกว่าเป็นผลงาน ถูกก็ว่าถูก ผิดก็ว่าผิด ไม่ใช่ว่าต้องค้านกันตะบี้ตะบันอย่างเดียว อันที่จริงผมก็บอกแต่แรกแล้วว่ายินดีกับสิ่งนี้และถือว่าเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ
-
แต่ประเด็นหลักของผมคือแค่ว่าอย่ามาเหมาเคลมว่านี่คือฝีมือผลงานของคนๆเดียว หรือเพียงรัฐบาลเดียว เพราะมันทำกันมาต่อเนื่องหลายสมัยแล้ว
-
ที่มันมาสำเร็จเอาในตอนนี้ก็เพราะทางซาอุดีอาระเบียเขาเปลี่ยนขั้วอำนาจและมีนโยบายใหม่ด้วย คือมาส้มหล่นเอาตอนนี้ก็ไม่ว่ากัน ผมก็ยอมรับว่านี่ถือเป็นผลงานของรัฐบาลปัจจุบัน แต่ไม่ได้มองว่านี่เป็นฝีมือของรัฐบาลนี้ ผลงานก็ผลงาน ส่วนฝีมือก็อีกเรื่อง และมันมีผู้เกี่ยวข้องทำกันมานานแล้วอย่างที่บอก
-
ผมคิดว่าหากนายกรัฐมนตรีจะออกมาพูดเป็นทำนองขอขอบคุณในความพยายามของทุกๆคน ทั้งในระดับเจ้าหน้าที่และระดับนโยบาย ทั้งปัจจุบันและในอดีต ที่มีส่วนผลักดันให้เกิดความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้ และขอมอบสิ่งนี้ให้เป็นของขวัญแด่คนไทยทั้งปวง
ก็น่าจะทำให้ดูหล่อได้ใจเท่มาก และสอดคล้องกับความเป็นจริงด้วย
-
แต่ก็เข้าใจล่ะครับว่าคงหิวผลงานมาก เพราะไม่เคยมีมาก่อนเลย ส้มลูกใหญ่หล่นลงมาทั้งที จิตใจก็คงคิดได้เท่านี้ การนึกถึงผู้อื่นบ้างเยี่ยงคุณลักษณะของผู้นำที่ดี จึงไม่มีให้เห็น
-
แล้วก็เห็นภาพไปยืนคุยกับม้า แถมพูดเป็นภาษาอังกฤษ (ซึ่งไม่รู้ความหมายแปลว่าอะไรแน่) ก็ยังงงว่าม้าก็ม้าอาหรับ และม้ามันก็เป็นสัตว์ ถ้าไม่สันทัดภาษาอังกฤษ พูดภาษาไทยง่ายๆกับมันก็ได้ ไม่น่าต่างอะไรกันไหม
ซึ่งถ้าแค่นี้ยังคิดได้แบบนี้ จะให้เชื่อว่าทั้งหมดทั้งปวงที่เกิดขึ้นเป็นความสามารถฝีมือของลุงแต่เพียงผู้เดียว
ก็แล้วแต่ที่สบายใจกันนะครับ

ตอนที่ 1

ทูตนอกแถว The Alternative Ambassador Returns
January 25 at 8:56 PM ·

มีอะไรเบื้องหลังการเยือนซาอุดีอาระเบีย?
-
หลายคนอยากฟังเรื่องการไปเยือนซาอุดีอาระเบียของผู้นำไทยที่ผ่านมา ซึ่งก่อนอื่นผมขอแสดงความยินดีกับพัฒนาการนี้ การกลับมามีความสัมพันธ์ขั้นปกติและที่ดีกับซาอุดีอาระเบียจะอย่างไรถือเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและเป็นสิ่งที่น่ายินดีครับ
-
ส่วนที่คนดูแลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ออกมาให้ข่าวว่าเรื่องนี้เป็นผลงานล้วนๆของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน อันนั้นจะจริงเท็จแค่ไหนนั้น คงต้องว่ากันอีกที
-
การเยือนครั้งนี้มีขึ้นอย่างค่อนข้างกระทันหัน และทำให้หลายคนแปลกใจ รวมทั้งไม่ทราบสาเหตุแท้จริงที่แน่ชัด แต่ดูเหมือนจะมาจากการตัดสินใจของทางซาอุดีอาระเบียที่เป็นคนเชิญเอง และที่ขณะนี้อยู่ในสภาวะที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
-
ผู้ที่ติดตามสถานการณ์ในต่างประเทศย่อมรู้ว่าขณะนี้ซาอุดีอาระเบียเองมีปัญหาทั้งภายในและด้านการต่างประเทศอย่างมาก ไม่ว่าความขัดแย้งระหว่างพวกราชวงศ์ด้วยกันเอง ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษย์ชน การทำสงครามในเยเมน การทะเลาะและปิดล้อมกาตาร์ และปัญหาภาพลักษณ์จากการสังหารนายคาชอคกี นักข่าวนักวิจารณ์ชาวซาอุดีอาระเบียอย่างโหดเหี้ยม ทำให้กลายเป็นที่รังเกียจและหลายประเทศต้องรักษาระยะห่าง ไม่อยากคบค้า ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลถึงการทำธุรกิจ การลงทุนต่างๆที่กระทบถึงเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียอย่างมาก
-
และอย่างที่นักวิเคราะห์ทั่วไปรู้กัน คือผู้มีอำนาจในซาอุฯขณะนี้เป็นอีกสายหนึ่งกับทางเจ้าชายที่ถูกโจรกรรมเพชรมาไทย จึงอาจไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้นัก รวมทั้งเรื่องการสังหารนักธุรกิจพระญาติสนิทราชวงศ์คนก่อนในไทยด้วย
-
เมื่อประกอบรวมกัน ก็มีความเป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทางซาอุดีอาระเบียเชิญผู้นำไทยไป ไม่ว่าจะเพื่อแสดงบทบาทด้านการต่างประเทศ หรือการยกบทบาทให้กับมงกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบียก็ตาม
-
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ปัจจุบันทางซาอุดีอาระเบียอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องการโจรกรรมเพชรและการฆ่านักธุรกิจเชื้อพระวงศ์เช่นเดิมนัก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่น่าที่จะลืมเรื่องนี้โดยง่ายดาย และเท่าที่เห็นรัฐบาลไทยปัจจุบันก็ไม่สามารถคลี่คลายคดีทั้งสองที่เป็นเงื่อนไขสำคัญในการนำไปสู่การปรับความสัมพันธ์ระหว่างกันได้แต่อย่างใด จึงทำให้ยากจะมองได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะผลมาจากการดำเนินการแก้ไขปัญหาของฝ่ายไทยเป็นหลัก
-
เรียนตามตรงว่าผมเองยังรู้สึกเรื่องนี้อาจมีอะไรที่ซับซ้อนมากกว่านี้ที่ยังไม่รู้ เพราะดูมันปุบปับแบบแปลกๆ และจะว่าไปการพยายามแก้ไขเรื่องนี้ของฝ่ายไทยก็มีมาตลอด ที่บอกว่านี่คือผลงานล้วนๆของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนั้น ผมจึงไม่แน่ใจนัก โดยเฉพาะมาจากผู้ที่เคยพูดได้ถึงขนาดสหรัฐฯได้มาเตือนตนล่วงหน้าว่าจะโจมตีอิหร่าน จนเป็นที่อับอายขายขี้หน้าไปทั่วโลกมาแล้ว
-
นอกจากนี้ผมมีข้อสังเกตว่าไปเยือนคราวนี้ ฝ่ายไทยเป็นฝ่ายบินไปหาเขา แต่ไม่ได้ถูกจัดให้เข้าพบกษัตริย์-นายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบียแม้สักนิด ซึ่งแลดูไม่ค่อยสมศักดิ์ศรี หรือก็คือเขาก็ไม่ได้ให้เกียรติอะไรเรานัก ไม่ทราบว่าทำไมไม่สามารถเจรจาให้มีโอกาสเข้าพบกษัตริย์-นายกรัฐมนตรีของเขาเลย
-
แล้วก็เห็นภาพนายกรัฐมนตรีไทยไปยืนยกมือไหว้ฝ่ายเขาปลกๆทั้งที่เทียบระดับเขาต่ำกว่าก็อดขำขื่นๆไม่ได้
-
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยินดีด้วยนะครับในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองนี้