“ส่วนตัวยอมรับว่ามีการคนไปเรียกทหารเข้ามารัฐประหารในปี
๒๕๕๗ จริงๆ แต่ตนก็ไม่ได้เห็นด้วย ทั้งพยายามเคยเตือนรัฐบาลแล้ว แต่รัฐบาลขณะนั้นเห็นว่ามีเสียงข้างมากไม่ยอมมาตกลงกันเพื่อหาทางออก”
อภิสิทธิ เวชชาชีวะ พูดอภิปรายในการสัมมนา
‘พลังโซเชียลเปลี่ยนการเมืองไทย...จริงหรือ’ เมื่อ ๑๗ มีนา
เป็นที่ฮือฮาต่อการที่เขาโต้กลับ ‘ใบตองแห้ง’ เมื่อถูกพาดพิง “ปิดทำเนียบฯ ปิดสนามบิน
ขัดขวางเลือกตั้ง ปิดสถานที่ราชการ ปิดเมือง จะยอมรับผิดป่ะ
เห็นออกมาพูดแต่ไม่มีใครยอมรับผิดสักคน”
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์โต้กลับทันที “อย่างน้อยก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไม่หนีไปอยู่ต่างประเทศนะครับ” จะว่า ‘เจ๋ง’ ก็ได้ที่ไม่หนีแล้วรอดทุกเปลาะ
คดีผู้ชุมนุมตายด้วยน้ำมือทหาร ๙๙ ศพนี่นะ
มิใยอธึกกิต แสวงสุข ตีกลับ “รากเหง้าของปัญหาคือความไม่เท่ากัน
กลุ่มหนึ่งเชื่อในหลักประชาธิปไตย อีกกลุ่มไม่เชื่อในหลักประชาธิปไตย
และความยุติธรรมสองมาตรฐาน” แต่ม้าร์คไม่ย่อ ย้อนกลับ
“ไม่ใช่เรื่องฝ่ายแพ้ไปปิดสนาม
แต่เป็นเรื่องการแสดงออกไม่ยอมรับนิรโทษกรรม ความเสื่อมศรัทธาเกิดขึ้น
ถ้าเลือกตั้งจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น ดังนั้นทุกฝ่ายมีส่วนผิดทั้งหมด...
ทุกคนมีส่วนจากกระบวนการที่สั่งสมมา
ถ้าไม่อยากให้เกิดอีกต้องถามแต่ละฝ่าย จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ถ้ามีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ไม่ใช้อำนาจเกินขอบเขต ปัญหาก็จะไม่มี”
นั่นละ ถามอภิสิทธิ์ก่อน
ถ้าไม่เห็นด้วยกับคนที่ไปเรียกทหารแล้วไปร่วมกับเขาเป่านกหวีด
สร้างสถานการณ์ให้ทหารเข้ามา หมายความว่าอย่างไร
และ “มีกรณีเดียวที่พรรคพลังประชาชนแพ้เสียงในสภาที่ให้ผมเป็นนายกฯ
แล้วมีม็อบทันที ออกจากสภาเอาน้ำกรด อิฐมาปา เพราะมวลชนไม่รู้สึกเป็นธรรม”
ก็เพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคข้างน้อยแต่แอบไปตั้งรัฐบาลกับทหารใน ราบ.๑๑
ไม่ใช่หรือ
ราบ ๑๑ นี่แหละที่เสรีพิศุทธ์บอกว่าถ้ามีอำนาจจะย้ายออกต่างจังหวัด
เปิดพื้นที่ให้เอกชนเช่า เอาเงินมาสร้างสวนสาธารณะ โรงเรียน โรงพยาบาล
อันเป็นข้อเสนอของพรรคการเมืองพรรคเดียวในเวลานี้ ที่ Thanapol
Eawsakul ชี้ว่าเป็น “ข้อเสนอปฏิรูปกองทัพ
ที่เป็นรูปธรรมที่สุด”
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส
อดีต ผบ.ตร. พูดถึง ราบ ๑๑ “มีตั้ง ๓ พันไร่ตรงบางเขน
อยู่กันอย่างเป็นเทวดา เกษียณแล้วยังไม่ยอมไป ผบ.ทบ.ทุกคนก็ไปอยู่แถวนั้น
อยู่บ้านหลวง น้ำหลวง ไฟหลวง ทหารรับใช้ มีครบมีเพียบ”
เป็นเหตุผลย่อยที่หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยเสนอให้ย้ายทหารออกนอกกรุงเทพฯ ทั้งหมด “ทหารบกไปอยู่ลพบุรี
ทหารเรือไปสัตหีบ ทหารอากาศไปนครสวรรค์ เอาพื้นที่คืนมาให้คนกรุงเทพฯ...
ใครบอกทหารมีความจำเป็นอยู่กรุงเทพฯ...อยู่ในกรุงเทพฯ
เกิดรบกันมันกดปุ่มมาจากไหน ตูมลงมาลงกบาลใคร ลงชาวบ้าน จริงเปล่า เดี๋ยวเผลอๆ
ลงบ้านคุณ แทนที่จะลงค่ายทหาร (สมมุติมีสงคราม) ดังนั้นเอาออกไปก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”
ไอเดียปฏิรูปกองทัพนี่เห็นจะมีแต่เสรีพิศุทธ์ที่กล้าเสนออย่างจริงจังครั้งแรก
สมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ เสนอปรับปรุงกองทัพให้ ‘จิ๋วแต่แจ๋ว’
ก็ไปไม่ถึงไหน คราวนี่เสรีฯ จัดเต็ม “อย่างมีกองบัญชาการทหารสูงสุดไว้ทำไม
จะไปรบกับใคร เพราะฉะนั้นมี ๓ เหล่าทัพพอแล้ว...
มีกองทัพ ๔ ภาคแล้ว มีทำไมกองทัพน้อยอีก
มี พล.ท. พล.ต. รองแม่ทัพน้อยอีก มีกองกำลังอีกมากมาย มีทำไม จะไปรบกับใคร
ในเมื่อบ้านเมืองไม่มีศึกสงครามก็ต้องยุบ”
ยิ่งที่ผ่านมาจะสี่ปี
ทหารเข้ามาครองเมืองเต็มๆ มีอะไรดีบ้าง ปรองดองไม่ได้เพราะมีการเข้าข้างเดียว
กระบวนยุติธรรมบิดเบี้ยว ปฏิรูปก็ไม่มี มีแต่คอรัปชั่นผุดทั่วทุกหัวระแหง
เจ้าหน้าที่ทหาร/ตำรวจเที่ยวก้าวร้าวประชาชนพลเมือง
อย่างล่าสุดอาจารย์ศิลปากร
วิทยาเขตสนามจันทร์ ต้องเขียนจดหมายร้องเรียน “ถุกเจ้าหน้าที่รัฐคุกคามการเรียนการสอน
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง
- คนส. เปิดเผยเนื้อหาของจดหมาย
ใจความว่า
คณะอักษรศาสตร์จัดโครงการสังคมสนทนา “คุยกับผู้ต้องหา คนธรรมดาที่อยากเลือกตั้ง” มีวิทยากรจากผู้ต้องหาคดีสติ๊กเกอร์โหวตโน
MBK39 และ RDN50 กว่าสิบคนร่วม
โดยเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าฟังได้แต่ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า
นอกจากก่อนงานหนึ่งวันมีเจ้าหน้าที่เกือบสิบคนไปขอคุยกับหัวหน้าภาควิชาเกี่ยวกับงานนี้
ก่อนเริ่มรายการสองชั่วโมงมีชายวัยกลางคนสองนายเข้าไปนั่งรอในห้องจัดงาน
อ้างว่าทำวิทยานิพนธ์และ “ขอนั่งตากแอร์” ก่อน พอเริ่มงานมีชายหัวเกรียนอีก ๕-๖ คนจะเข้างานโดยไม่ลงทะเบียน
เมื่อนักศึกษาไม่ยอมก็ให้ชื่อมียศพรึ่บกันหมด
ระหว่างรายการคนเหล่านั้นเดินถ่ายภาพและคลิปทั่วบริเวณ
บางตอนเข้าไปบอกกับผู้จัดว่าคำพูดของวิทยากร “ไม่เหมาะสม เข้าข่ายผิดคำสั่งหัวหน้า
คสช. ๓/๒๕๕๘...เขาแจ้งเพิ่มเติมว่าหากจะใช้วิธีการเก็บข้อมูลวิจัยด้วยวิธีการแบบนี้อีกอาจจะมีปัญหา”
เช่นนี้ ผศ.ดร.อัจฉรา รักยุติธรรม “เห็นว่าดิฉันกำลังถูกข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัว...ทั้ง
ๆ ที่กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนการสอน”
ฉะนั้น เลือกตั้งคราวนี้ ฝ่ายประชาธิปไตยน่าจะเปลี่ยนคอนเซ็ปท์การออกเสียงด้วยยุทธศาสตร์
โดยตั้งเป้าขจัดอำนาจอิทธิพลของทหารออกไปจากการเมืองไทยเป็นปฐม โดยเลือกพรรคใดก็ตามที่แสดงตนแน่ชัดว่าไม่เอาทหาร
และไม่มีแนวโน้มที่จะยอมรับ นายกฯ คนนอก
เป้าหมายต่อไปอยู่ที่การลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร
และผลงานที่คณะรัฐประหารไข่ทิ้งไว้กับรัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์
๒๐ ปี องค์กรไม่อิงประชาธิปไตย เช่น วุฒิสภา ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระทั้งหลาย
หลังจากปลดล็อคพรรคการเมืองแล้ว
ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งควรจะซักถามพรรคการเมืองต่างๆ
ว่าจะยินดีจำกัดอำนาจครอบคลุมการเมืองของทหารไหม ถ้ายินดีแล้วมีแนวทางที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้อย่างไรบ้าง
โดยเฉพาะกับพรรคใหญ่และเก่าแก่
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์บอกว่าถ้าได้เป็นรัฐบาลละก็
จะทำการแก้ไขยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปีที่ คสช. วางไว้
นายอภิสิทธิ์ควรจะต้องให้รายละเอียดลงลึกอีกครั้งให้ชัดเจนว่าจะทำอย่างไรแน่
ในเมื่อ รธน. และ พรป. ของ คสช.
วางกับดักไม่ให้พรรคใดได้คะแนนท่วมท้นจนตั้งรัฐบาลด้วยตนเองได้รูปการณ์บ่งชี้ว่า
ปชป. จะได้เป็นรัฐบาลเมื่อร่วมมือกับพรรคที่สนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
กลับมาเป็นนายกฯ คนนอกเท่านั้น
และพรรคเพื่อไทยก็ได้เตรียมตัวเป็นฝ่ายค้านอย่างเข้มแข็งไว้แล้ว
น่าคิดว่า ถ้าฝ่ายประชาธิปไตยระดมลงคะแนนให้แก่พรรคทางเลือกทั้งหลายเข้าไปร่วมกับพรรคใหญ่ไม่เอาทหาร
ได้อย่างเข้มแข็งจริงๆ แล้วอะไรจะเกิดขึ้น