อะไรมันจะ ‘สนธิ’ ไปเสียทุกตนเชียว พวกตัวเอกที่จองล้างจองผลาญฝ่ายประชาธิปไตย
เมื่อก่อนได้เจอ สนธิ ลิ้มทองกุล ที่จ๋ากว่า ‘เปลว สีเงิน’
เล็กน้อย ตามมาด้วย สนธิญาน ชื่นฤทัยฯ ตนนี้ทั้งสั่วและแสบ
ตอนนี้มีน้องใหม่ สนธิญา สวัสดี
เปิดสงครามตามล่าพรรคฟิวเจอร์ฟอร์เวิร์ดอย่างกระหายเลือด
ข่าวว่านายสนธิญาคนนี้เป็นประธานสมาพันธ์ประชาชนตรวจสอบรัฐไทย
ชื่อย่อเลียนแบบ ‘สปท.’ สภาปฏิรูปของ
คสช. ไม่รู้จัดตั้งมายังไง ไปยื่นคำร้องไว้กับกรรมการเลือกตั้ง หลังจากที่นายสมชัย
ศรีสุทธิยากร ถูกปลดกลางหาวด้วย ม.๔๔ หน่อยนึง
“ขอให้ทบทวนการจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่”
อ้างว่าหนึ่งในผู้ก่อตั้งของพรรคนั้น คือนายปิยบุตร แสงกนกกุล ได้พูดถึงกฎหมายอาญามาตรา
๑๑๒ หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกษัตริย์เอาไว้ ว่าจะพิจารณาเรื่องแก้ไข
ในความจริงนั่นเป็นความเห็นเดิมของ
อจ.ปิยบุตรเมื่อครั้งร่วมงานของคณะนิติราษฎร์ แต่เมื่อตอนเปิดตัวพรรคเขาบอกว่าเรื่องนี้ต้องให้สมาชิกพรรคเป็นผู้ร่วมกันพิจารณา
แต่สนธิญาเอามากัดเสียแล้ว อ้างกฎหมายพรรคการเมืองของ คสช.
ที่เพิ่งออกมาไม่นานนี่ละ
“มาตรา ๑๕(๓)
ที่บัญญัติว่า คำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคและนโยบายของพรรค
ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อบังคับพรรคด้วย” เลยเหมาว่าแนวคิดของปิยบุตร “ก็จะเข้าลักษณะต้องห้ามของข้อบังคับตามมาตรา
๑๔ ที่ระบุว่าต้องไม่มีลักษณะอาจก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างชนในชาติ”
ข้อกล่าวหาอย่างโคมลอยของนายสนธิญาหนักหน่วงด้วยระวางโทษอย่างสูง
ติดคุก ๑๕ ปี เป็นโจทก์ว่า “ก้าวล่วงต่อสถาบัน” และ “เขาจะละลาบละล้วงจาบจ้วงไปมากกว่านี้หรือเปล่า”
นี่เป็นวิธีป้ายสีด้วยการสันนิษฐาน
โกหกพกลมให้ร้ายผู้อื่นเพียงเพราะอ้างอยู่ข้าง ‘สถาบันฯ’ ซึ่งเข้าข่ายหมิ่นประมาทส่วนบุคคล
เช่นเดียวกับที่ เปลว สีเงิน หรือนายโรจน์ งามแม้น
เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์เขียนบทความก้าวร้าว หยามเหยียดตระกูล ‘จึงรุ่งเรืองกิจ’ ของนายธนาธร
ผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่อีกคนหนึ่ง
สำหรับวิญญูชนผู้พิจารณาสรรพสิ่งด้วยความรู้และสติปัญญา
อ่านข้อเขียนของนายโรจน์ชิ้นนี้แล้วย่อมมองเห็นว่า จงใจดูหมิ่นนายธนาธรและครอบครัวของเขาเป็นการส่วนตัวว่า
‘เนรคุณ’ ด้วยการอ้าง ‘พระบรมโพธิสัมภาร’ บ้าง ‘พระมหากษัตริย์’ บ้าง ว่าอยู่ข้างตน
ความประพฤติ ‘โหนเจ้า’ เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ตนเองเช่นนี้ ยังความเสื่อมเสียไปสู่พระบรมเดชานุภาพเสียเอง
ทำนองเดียวกับบรรดาอดีตข้าราชบริพารใกล้ชิดที่นำเอาเอาพระนามาภิไธยไปใช้ยกตนข่มผู้อื่น
ให้ได้มาซึ่งทรัพย์ศฤงคาร และต้องประสพชะตากรรมไปแล้วหลายคน
อีกรายจากพวกจองล้างฯ
เป็นชายวัยปลายนามเดิมว่า สุวิทย์ ทองประเสริฐ นุ่งสบง ห่มจีวร
ดั่งสาวกในพระพุทธศาสนา แต่วัตรปฏิบัติเป็นกิจกรรมทางการเมืองแบบ ‘ขวาพิฆาตซ้าย’ ครั้งหนึ่งเคยมีกลุ่มชายฉกรรจ์เป็นผู้คุ้มกันออกไล่ตีทำร้ายฝ่ายที่เห็นต่างทางการเมือง
บางครั้งยกขบวนไปห้อมล้อมกิจการห้องเช่าค้างแรม เรียกร้องค่าล่วงเวลาเป็นแสน
เขาออกมาหนุนกระบวนถล่มฝ่ายประชาธิปไตยในกลุ่มชนรุ่นใหม่
ให้ท้ายนางรวนของพรรคการเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งใช้วาทกรรมที่ว่า “ประเทศชาติไม่ใช่สถานที่ฝึกงาน”
ต่อต้านพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ แต่ผู้อ้างชื่อ ‘พุทธะอิสระ’
กลับไพล่ไปโจมตีอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงว่า “ทำให้ฐานะทางการเงินของชาติแทบล่มสลาย”
นั่นก็เช่นกัน เป็นการเขียนข้อความเท็จให้ร้ายเพื่อหยามหมิ่นบุคคล
ในเมื่อข้อเท็จจริงนั้นสถานะการคลังในสมัยของนายกฯ หญิงที่ถูกกล่าวหา มั่งคั่งกว่าในสมัยนี้ที่รัฐบาล
คสช. ปู้ยี่ปู้ยำมาเกือบสี่ปีเสียอีก
รวมแล้วสามประสาน สนธิญา เปลว และสมีฟรีด้อม ล้วนหนาวร้อนเมื่อกระแสหนุนพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่มาแรง
ช่วยกันเตะตัดขาตั้งแต่ก่อนออกสต๊าร์ท ให้ คสช.นั่งชมด้วยความกระหยิ่ม
ขณะที่พรรคจำแลงอ้างเป็น ‘ทางเลือกใหม่’ ได้ออกวิ่งก่อนใครเพื่อน
มีการจัดประชุมพรรคอย่างเต็มรูปแบบ มีสมาชิกเข้าร่วมเกิน ๖๐๐ คน
กำหนดระเบียบข้อบังคับของพรรค เลือกหัวหน้าพรรค ได้นายราเชน ตระกูลเวียง นั่งแป้น
ประกาศ ไม่ขัดข้อง ถ้าจะต้องช่วยดันให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกฯ
อีกครั้ง