ดูสิ ขนาด รมว.กลาโหมยังพูดเหมือนทอดอาลัย “ไม่มีประเทศไหนที่ยืนข้างเราจริงๆ...เหมือนไปยืนฝั่งกัมพูชาแล้วพูดให้เป็นกลาง” แต่ก็ยัง “มองว่าเราเป็นประเทศใหญ่ที่ไปรุกราน” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ว่าถึงการวางทุ่นระเบิดของกัมพูชา
ซึ่ง “การวางทุ่นระเบิด เป็นการกระทำที่ละเมิดสนธิสัญญาออตตาวาก็จริง แต่ระดับของความรุนแรงเทียบกันไม่ได้เลยกับการใช้เครื่องบินรบโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนกัมพูชา เพื่อหวังทำลายขีดความสามารถทางทหาร” ดังที่ อจ.พวงทอง ภวัครพันธุ์ ชี้
แต่กระนั้นองค์การโลกไม่ได้เข้าข้างเขมรเสียทั้งหมด “ผลการประชุมสมาชิกสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ที่กัมพูชายื่นขอให้พิจารณา” อ้างว่าถูกไทยรุกราน กลับ “ไม่มีมติผูกมัดให้ไทย-กัมพูชาหยุดยิงในทันที”
เพจที่ใช้ชื่อ ซิริอุสฯ เล่าว่าเขาถือ “เป็นความขัดแย้งในภูมิภาค” ควรใช้เวทีอาเซียนเจรจาตกลงกัน โดยสภาความมั่นคงฯ จะ “ไม่ตั้งคณะทำงานอิสระ สืบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพลเรือนกัมพูชาที่ได้รับบาดเจ็บ และ โบราณสถานที่ได้รับความเสียหาย”
ข้อสำคัญ ทั้งสองประเทศควรเจรจาผ่านการประชุม GBC ที่เริ่มแล้วตั้งแต่เมื่อวาน (๒๔ ธันวา) ขณะที่ประเด็นด้านมนุษยธรรมต่อประชาชนเขมร และความเสียหายต่อโบราณสถาน ยังแขวนเติ่งอยู่ ผสมด้วยเสียงโวยวายของอินเดียที่บอกว่าก้าวร้าวต่อฮินดู
“ส่วนฝรั่งเศสออกอาการมากหน่อย...บอกว่าสนับสนุนให้ใช้เวทีอาเซียนฯ แต่ถ้า ไทย-กัมพูชา เจรจาตกลง (ยุติการปะทะ) กันที่การประชุม GBC ไม่ได้ เดือนมกราคมปีหน้า ฝรั่งเศสจะสนับสนุนให้ UNSC มีมติผูกมัด” ออกมาอย่างทางการ
ท่าทีของรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล นี้ก็ยังคงเดินตามปฏิบัติการในทางรุก (Offensive) ของฝ่ายทหาร ในเมื่อการตอบโต้มากกว่าสัดส่วนในการตั้งรับ (Defensive) ฉะนั้นพอเห็นได้ว่าการเจรจา GBC จะไปไม่ถึงไหน หรือมีแต่ข้อตกลง ไม่มีการปฏิบัติ
จึงมาถึงประเด็นที่ประชากรในภาคส่วนที่กำลังเติบโต เกิดความห่วงใย “ไทยกำลังเข้าสู่โหมด ‘Super Lost Decades’ นี่คือจุดจบของประเทศ (ไม่ยอม) พัฒนา” จากเพจ Beauty Investor ที่พูดถึงรายงานจาก Bloomberg Economics เมื่อ ๒๓ ธันวา
“ประเทศไทยติดกับดักนโยบายแบบ ‘Stop-gap measures’ หรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบขอไปที และเสพติดนโยบาย ‘Cash handouts’ หรือการแจกเงินสะบัด เพื่อซื้อความพึงพอใจระยะสั้น” แลกกับการสูญเสีย ‘Fiscal prudence’ หรือวินัยทางการคลัง”
รวมทั้งกรณีที่บลูมเบิร์กประเมินว่า “ในอีก
๓๐ ปีนับจากนี้ เศรษฐกิจไทยโดยเฉลี่ยจะโตไม่ถึง ๒.๐%
ต่อปี” ทั้งที่เมื่อ ๓๐ ปีที่ผ่านมาโตเฉลี่ย ๓.๓% เพจ บิวตี้ฯ มองว่า “มันคือภาวะซึมยาวที่...มันจะกัดกินโอกาสในการรวยขึ้นของพวกเราไปเรื่อยๆ”
ถามว่าสองเรื่องที่เอ่ยมามันเกี่ยวอะไรกัน ก็นั่นสิ รัฐบาลนี้กับฝ่ายทหาร ที่มีประชากรในส่วนที่ ‘หยุด’ อยู่กับที่กันแล้วหนุนหลัง คิดอ่านและดำเนินการแตกต่างไปคนละทางกับภาคส่วนที่มองไปข้างหน้า เพื่อการก้าวเดินอันยาวไกล ประเทศถึงได้เจริญอย่างเชื่องช้า
autyInvestor/posts/WUEw1PX, https://www.facebook.com/puangthong.r.pawakapan/posts/KeKcLQWPP และ https://www.facebook.com/SiriuS.is.A.Star/posts/UNWZdmhn)