วันจันทร์, ธันวาคม 08, 2568

พอน้ำท่วมสร่างซาก็กลับมารบชายแดนเขมรต่อ เสธ.ทบ.ประกาศลั่น “จะทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพขีดความสามารถทางการทหารไปอีกยาวนาน”

ช่วงต่อกันพอดีเลยนะนี่ พอน้ำท่วมสร่างซาก็กลับมารบชายแดนเขมรต่อ ทว่าเที่ยวนี้นายกฯ อนุทินปล่อยให้กองทัพจัดการเองเต็มที่ “บอกงานนี้ไม่มีแตะเบรค ไฟเขียวกองทัพลุยให้จบ เอาดินแดนที่เสียไปคืนมา” วาสนา นาน่วม ยืนยัน

เพจกองทัพเองก็ใช่ย่อย “ฝ่ายไทยได้ส่งเครื่องบิน F-16 เสิร์ฟไข่ จุดฐานปฏิบัติการทหารของกัมพูชาเพื่อตอบโต้” สืบเนื่องจาก “มีการยิงจรวด BM-21 เข้ามาโจมตี” ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ ๗ ธันวา “เปิดฉากยิงด้วยกระสุนปืนเล็กใส่ชุดรักษาความปลอดภัย”

ตอนนั้นมีทหารไทยบาดเจ็บสองราย แต่มาถึงตอนนี้ มีเสียชีวิตแล้ว ๑ ราย บาดเจ็บอีกสี่ จากการยิงระเบิดใส่ไทยที่ช่องบก อุบลฯ ทัพภาค ๒ ตั้งกำลังเตรียมรบเต็มพิกัด ตรงแนวบริเวณที่เคยปะทะกันมาก่อน ๑๑ จุด แต่ว่าที่มียิงจริงๆ ก็ ๔ จุด

ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่าฝ่ายตรงข้ามเริ่มยิงก่อน สื่อแต่ละประเทศไม่สามารถยืนยันด้วยตาตนเองได้ว่าจริงๆแล้ว ฝ่ายไหนเปิดยิงก่อน” Pravit Rojanaphruk บก.ข่าวสดอิงลิชเขียนย้ำเตือนว่า “สงครามมิใช่เกมส์คอมพิวเตอร์

ทุกความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายคือคนที่เคยมีชีวิต มีครอบครัว” สื่ออย่าทำให้สงครามเป็นเรื่องสนุก เล่นตามกองทัพ เช่นกันกับ Atukkit Sawangsuk ที่โพสต์ว่า “แหม่ สงครามเกิดได้ว่องไวสมใจนึก” ในเมื่อข่าวจากภายนอกบอกว่าไทยโจมตีด้วยอาวุธหนักก่อน

เข้าทางพอดีกับที่ฮุนเซนโพสต์ว่า “ผู้รุกรานต้องการล้มเลิกข้อตกลงสันติภาพ” ที่ทำไว้ต่อกัน ทั่นประธานวุฒิสภาเขมรยังทำแสบ “ทิ้งบอมบ์ อนุทินด้วยการลงคลิปสั้นๆ ๑๖ วินาฑี ชี้ว่านายกฯ ไทยเคยสนิทสนมกับนางบาน สเรยมัม ผู้ว่าราชการจังหวัดไพลิน มาก่อน

“ไม่น่าเชื่อว่า อนุทิน นายกฯไทย เพื่อเป้าหมายคะแนนเสียงในอนาคต จะกล้านำชีวิตทหารและประชาชนมาเสี่ยง ด้วยการประกาศทำสงครามกับกัมพูชา ทั้งที่กองทัพกัมพูชาไม่ได้ตอบโต้เลย ตอนยังไม่เป็นนายกฯ ยังเป็นเพื่อนกัน แต่พอเป็นนายกฯ กลับลืมมิตรภาพ

มิหนำซ้ำ เสธ.ทบ. พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ ออกมาประกาศศักดาทัพบกไทย ว่าเป้าหมายของการศึกครั้งนี้ “จะทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพขีดความสามารถทางการทหารไปอีกยาวนาน เพื่อความปลอดภัยของลูกหลานของเรา”

มิใยที่ อจ.Puangthong Pawakapan จะชี้ปัญหาว่าอยู่ที่ ความขัดแย้งมาถึงจุดที่ ไม่สามารถแก้ปัญหากันเองได้แล้ว การเจรจาทวิภาคีล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า” ฝ่ายไทยประกาศระงับข้อตกลงสันติภาพตั้งแต่ ๑๐ พ.ย.เป็นต้นมา ไม่มีใครเป็นตัวกลางอีกแล้ว

รวมแล้วพอเห็นเค้าลางๆ ว่า มันมีการเมืองภายในเป็นแรงผลักดัน จากการที่พรรคประชาชนเปิดโปงเรื่องสแกมเมอร์อย่างถึงแก่น สร้างความปั่นป่วนให้แก่รัฐบาลอนุทินอย่างมาก จนถึงขั้นฝ่ายทหารไม่ต้องการให้มีเลือกตั้งในเร็วๆ นี้

ถ่วงเวลาสถานะเดิมของรัฐบาลที่มีน้ำอดน้ำทนกับเสียงด่าได้อย่างสุดๆ ขณะที่ทหาร ตำรวจเป็นผู้กำอำนาจแท้จริงอยู่ข้างๆ และเบื้องหลัง ยืดการปกครองแบบ คนละครึ่งพลัส ออกไปสักปีสองปีเป็นอย่างน้อย แต่ไม่ใช่ ๓ เดือน ๖ เดือน

(https://www.dailynews.co.th/news/5380784/Q005PQw, https://www.facebook.com/puangthong.r.pawakapan/posts/RjptNVQoU และ https://www.facebook.com/khaosod/posts/Fya54SDCTCEd)