คาดผิดเสียที่ไหน สว.สีน้ำเงินออกฤทธิ์ระหว่างยุบสภา ฉกฉวยช่องโหว่ความไม่เที่ยงตรงของรัฐธรรมนูญ ๖๐ ที่เปิดให้ สว.เปิดประชุมพิจารณาญัตติกันได้ ในภาวะจำเป็น ‘กรณีพิเศษ’ แต่นี่การนัดพิจารณา ๒ เรื่องในวันที่ ๒๔ ธันวา ไม่ได้จำเป็นอะไรเลย
สว.อิสระ เสียงข้างน้อย เทวฤทธิ์ มณีฉาย ยื่นญัตติด่วนต่อประธานวุฒิสภา ขอให้ชะลอกระบวนการจัดตั้งกรรมาธิการวิสามัญ ตรวจสอบประวัติและความประพฤติ บุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อดำรงตำแหน่ง กกต. ๒ คน เอาไว้ก่อน
เช่นกันกับการ “ให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ” ว่าทั้งสองกรณีเข้าข่าย “เสี่ยงต่อการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และกระทบต่อหลักความเป็นธรรม” อันจะทำให้เกิดวิกฤตศรัทธา
ทั้งนี้เนื่องจาก สว.เสียงข้างมากกว่า ๑๓๐ คนเหล่านี้มีคดีทุจริตในกระบวนการ ‘ฮั้ว’ เลือกกันเองเข้ามาสู่ตำแหน่งติดตัวอยู่ที่สำนักงาน กกต. ฉะนั้นการจะอนุมัติเห็นชอบกรรมการเลือกตั้งใหม่อีก ๒ คนเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ ย่อมเป็นการส่งคนของตนเข้าไปตัดสินตนเอง
ทั้งที่ สว.ชุดเดียวกันนี้เอง ได้ส่งคนที่พวกตนคัดสรรเข้าไปเป็นกรรมการเลือกตั้งแล้ว ๓ คน หากเพิ่มอีก ๒ คน ก็เท่ากับเป็น กกต.สีน้ำเงิน ๕ ใน ๗ คน ดังนั้น สว.บัสจึงยืนขึ้นทักท้วง เขาอธิบายว่า แม้แต่การพิจารณาแล้วไม่ชอบก็ไม่เป็นธรรมกับผู้ที่ผ่านการสรรหาเหล่านั้น
“การชะลอไม่ได้ทำให้อำนาจของ สว.เสียไป หากแต่ยังมีอำนาจเต็มที่จะกลับมาพิจารณาเมื่อคดีที่ สว.จำนวนมากตกเป็นผู้ร้องและถูกร้องในคดีมีความชัดเจนหรือมีคำวินิจฉัยแล้วเสร็จ” อีกทั้งข้อกังวลว่าการแต่งตั้งล่าช้าจะก่อผลกระทบการทำงาน
เทวฤทธิ์บอกว่า “หากไม่สามารถตั้งคนเข้ามาแทนได้ กฎหมายก็ยังอนุญาตให้ผู้ที่พ้นวาระแต่ยังไม่ครบ ๗๐ ปี สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีกรรมการใหม่แทน” จึงไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ซึ่งแสดงว่าการนัดพิจารณาในวันที่ ๒๔ นี้ ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน
ในแง่กฎหมาย “เรื่องการชะลอจะเป็นการละเว้นปฏิบัติหน้าที่นั้น...ประเด็นนี้ต้องมี ‘เจตนาพิเศษ’ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดด้วย” ซึ่งไม่เข้าข่ายดังกล่าว การชะลอกระบวนการทั้งสองออกไปก่อน จึงมีความเหมาะสมที่สุด
(https://x.com/Bus_Te/status/2002611774219227496 และ https://www.facebook.com/ThePoliticsByMatichon/posts/1afcUoVnVy)