
ท่านผู้นำฮาเฮ
·
สายวิทย์ดีกว่า ฉลาดกว่าพวกสายสังคม
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1430048495358086&set=a.473422701020675
.....
.jpg)
มติชนออนไลน์
หลังการยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ผมได้วิเคราะห์ฉากทัศน์ทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในปี 2569 ต่อสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 ไว้ว่า จะเป็นการแข่งขันที่มีทั้งพรรคที่ได้เปรียบ เสียเปรียบ ในการเลือกตั้งทั่วไป 2569 ที่จะถึงนี้
โดยจะมีพรรค 3 ขั้วหลักที่จะต่อสู้แข่งขันกันในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคที่มีระบบบ้านใหญ่ มีกระแส มีประวัติศาสตร์เป็นหลังพิง ใครชนะเป็นรัฐบาล แพ้ร่วมตั้งรัฐบาล แล้วผลักให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายค้าน นี่คือฉากเดิมๆ ที่จะเกิดขึ้น บนพื้นฐานของสภาพการเมืองที่เป็นอยู่ (ถ้ายังไม่เปลี่ยน) ส่วนพรรคอื่นๆ เป็นปัจจัยเสริมแกร่งของแต่ละขั้วที่ผมจะขอกล่าวถึงในโอกาสต่อไป
เริ่มแรกที่ พรรคภูมิใจไทย ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ด้วยทรัพยากรทางการเมืองและโอกาสที่พร้อมกว่าพรรคคู่แข่งขันอื่น ประกอบกับจังหวะทางการเมืองที่พรรคภูมิใจไทยตัดสินใจยุบสภาฯ ในช่วงจังหวะที่เริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การจัดการน้ำท่วม ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของสังคมได้ระดับหนึ่ง จากโหมดโกรธ ไม่พอใจ สู่ โหมดการเตรียความพร้อมเพื่อเซจซีโร่การบริหารสู่การส่งมอบให้กับรัฐบาลใหม่
การเดินหมากที่คล่องตัวและแข็งแรงของพรรคสีน้ำเงินก่อนที่ความไม่วางใจจะเกิดขึ้นและลุกลามบานปลายในวงกว้างมากกว่านี้ เชื่อได้ว่าจะผลดีต่อการเลือกตั้งในระบบส.ส.เขต ของพรรคภูมิใจไทยมากกว่าผลเสียที่มีในระบบบัญชีรายชื่อ ที่ยังต้องอาศัยกระแส ภาพลักษณ์ นโยบาย ที่ชัดเจนกว่าภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
กล่าวคือ การตบเท้าย้ายพรรคของส.ส. เข้าสู่พรรคภูมิใจไทย จนหัวกระไดไม่แห้งในแต่ละวัน แม้ดูแล้วจะดีในโอกาสการชนะการเลือกตั้งในระบบเขต แต่ก็มีผลต่อภาพลักษณ์พรรคในคะแนนรวมของพรรคได้เช่นเดียวกัน จากการสลัดภาพพรรคบ้านใหญ่ ไม่ออกจะทำให้คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อรวมถึงกรุงเทพมหานครที่โหวตเตอร์มีลักษณะการตัดสินใจที่แตกต่างกว่าเขตเลือกตั้งอื่น จะเข็นคะแนนขึ้นได้ยาก
และเทียบดูจากการเลือกตั้งปี 2562 ที่ผมถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเลือกตั้งในไทยจากระบบ 2 พรรคใหญ่ สู่ระบบหลายพรรคแย่งกันเป็นใหญ่ ซึ่งมีกลุ่มพรรคที่มีทั้งขายแนวคิดอุดมการณ์ ผ่านกระแสการเมืองใหม่ ผ่านแนวคิดทางเศรษฐกิจนิยม และการเมืองอำนาจเชิงอุปถัมภ์แบบเก่า ซึ่งภูมิใจไทยจัดเป็นกลุ่มการเมืองที่มีลักษณะแบบหลังและเป็นภาพจำมาตั้งแต่การก่อตั้งพรรคในปี 2551 และทอดยาวชัดเจนยิ่งขึ้นดังที่เห็นในปัจจุบัน
ดังจะเห็นได้จากแคมเปญของพรรคภูมิใจไทยทั้ง 3 ครั้ง ใช้มาแล้วทั้ง “ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน” แนวคิดมุ่งกระจายอำนาจออกจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น แต่ไม่เป็นผลเท่าแคมเปญเดียวกัน คือ กัญชาเสรี ที่ทำให้พรรคภูมิใจไทย อยู่ในกระแสข่าวตลอดการเลือกตั้งครั้งนั้น
จนการเลือกตั้งปี 2566 ใช้แคมเปญที่ต่อยอดจากนโยบายตัวเองในเรื่องนี้ ในนามของ “พูดแล้วทำ” กล่าวคือสื่อสารว่า เป็นพรรคที่รักษาสัญญา หาเสียงไว้อย่างไรก็ผลักดันและทำอย่างนั้น ซึ่งเรื่องนี้โดนใจชาวบ้านและสร้างเครือข่ายในต่างจังหวัดได้มากที่อยากเห็นพรรคการเมืองที่รักษาสัญญาและนำเรื่องของท้องถิ่นไปทำ มากกว่าพรรคการเมืองที่ใช้วาทกรรมและคำพูดแต่ทำไม่ได้เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา ขณะที่ครั้งนี้ ดูเหมือนจะใช้เคมเปญคนละครึ่งพลัส ประกอบกับ “พูดแล้วทำ” ออกมาเป็นพูดแล้วทำพลัส ก็ยังไม่ใช่ไม้เด็ดมากนักเมื่อเทียบกับการที่พรรคมุ่งโฟกัสไปที่แคนดิเดตนายกฯ เพื่อหวังเป็นกระแสมากกว่าออกมาเป็นนโยบายอื่นๆ
ขณะที่ พรรคส้ม (ประชาชน) จำใจต้องยอมกลืนเลือดและมีหน้าที่แก้ต่างให้โหวตเตอร์ได้เข้าใจว่า การสนับสนุนนายกฯ อนุทินขึ้นสู่ตำแหน่งนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้กับพรรคภูมิใจไทยและปิดโอกาสให้กับประเทศที่เสียหายจากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลปีละครั้ง และ2 เดือนครั้ง ของสภาฯ ชุดที่แล้วหรือไม่ ถือเป็นปัญหาที่ตอบให้กับสังคมให้ได้ หากไม่เคลียร์ปัญหานี้ให้ชัดเจนจะกลายเป็นความลังเล ให้กับโหวตเตอร์ในสนามการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งจากนิด้าโพลจะพบว่ามีกลุ่มเลือกตั้งที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคหรือใครเป็นนายกฯ จำนวนมาก
ขณะที่หากพิจารณาดูในระดับเขตจะพบว่าที่ผ่านมาคะแนนเขตของพรรคส้มนั้นสัมพันธ์อย่างมากกับคะแนนภาพรวมของพรรค กล่าวคือ หากพรรคมีกระแสนนิยมสูง โอกาสในการได้คะแนนจากส.ส. เขต จากผู้ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกใคร ก็มีจำนวนมาก หากมีกระแสนิยมต่ำก็จะกลับกัน หรือที่สมัยก่อนเราเรียกส.ส. เขต ประเภทนี้ว่าเป็น ส.ส นกแล คือเป็นส.ส. หน้าใหม่ทางการเมืองที่มีศักยภาพในการล้มช้างได้นั่นเอง
ฉะนั้นแล้วนอกจากจะต้องเคลียรให้ชัดเรื่องคำตอบทางการเมือง และการกรูมมิ่งผู้นำทั้งสามคนที่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้ดีมากกว่านี้แล้ว แคมเปญที่หยิบยกมาหาเสียงควรจะแปลกใหม่ สะดุดตา และชวนสังคมแก้ปัญหา อย่างในปี 2562 พรรคส้ม (อนาคตใหม่) ใช้แคมเปญโดยเล่นกับคำว่า ‘เปลี่ยน’ ไปพร้อมๆ กับ การดีเบตของผู้นำจิตวิญญาณของพรรค ‘ธนาธร-ปิยบุตร’ ที่เน้นไปที่การหยุดการสืบทอดอำนาจ ทลายทุนผูกขาด
ขณะที่ในปี 2566 เช่นเดียวกัน พรรคส้ม (ก้าวไกล) ใช้การหาเสียงแบบเดียวกัน มุ่งเป้าไปที่ตัวผู้นำระบบเก่า ทั้งสองคน ‘ประยุทธ์- ประวิตร’ เป็นหลักในการหาเสียง สอดคล้องกับแคมเปญกาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม และพาโรดี้แคมเปญของพลังประชารัฐ (พรรคของพล.อ.ประวิตร) จาก ‘มีลุงไม่มีแล้ง ไม่มีน้ำ ไม่มีจน’ เป็น ‘มีลุงไม่มีเรา’ กลบแคมเปญเต็มที่ จนสามารถกวาดที่นั่งในสภาได้เป็นอันดับหนึ่ง และในปีนี้เมื่อลุงไม่มีแล้ว แคมเปญการปลุกประแส ให้คนเบื่อการเมือง มามีส่วนร่วมในการเลือกตั้งของพรรคส้มจะเป็นอย่างไร จะสามารถดึงโหวตเตอร์ที่ยังไม่ตัดสินใจกลับมาได้หรือไม่ ถือเป็นประเด็นสำคัญยิ่งในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่น่าติดตาม
ถัดมาที่ พรรคเพื่อไทย ยังคงประสบโจทย์ใหญ่และคำถามในช่วง 2 ปีของการบริหารทีผ่านมา ตั้งการสลับขั้ว การบริหารงานที่ไม่สามาถทำได้อย่างต่อเนื่องด้วยปัจจัยทางการเมือง จนกระทบถึงผลสำเร็จของพรรค ประกอบกับโดนกระแสคลิปอังเคิล ทำให้ความนิยมถดถอยลง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับความไว้วางใจต่อพรรคในช่วงศึกความขัดแย้งชายแดนที่จะทอดยาวอยู่ ณ ตอนนี้ ขณะที่มองดูในระบบเขตเอง ตอนนี้ การย้ายพรรคของอดีต สส. บ้านใหญ่ที่เคยสังกัดพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็มีจำนวนมาก ไม่ต้องพูดถึงพื้นที่ชายแดน จังหวัด อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว ตราด ที่สถานการณ์จะหืดขึ้นคออย่างมาก
ตอนนี้จึงเพื่อไทยต้องใช้ทั้งบุ๋น และบู๊ พร้อมกัน รักษาเลือดเดิม เติมเลือดใหม่ และหยุดเลือดไหลให้ได้ ส่วนอีกหนึ่งเรื่องที่เพิ่งเปิดตั้วไปคือ สามแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย เป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย ของผู้นำของพรรคเหมือนกับอดีตที่ผ่านมา ทั้งภาพลักษณ์ และการเป็นนักบริหารมืออาชีพ การขายจุดแข็งของแคนดิเดต และปล่อยพื้นที่ให้ แคนดิเดตอย่าง ‘เชน-ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์’ ได้โชว์วิสัยทัศน์และทำความรู้จักในพื้นที่สาธารณะอย่างต่อเนื่องประกอบกับการสื่อสารของยศชนัน ช็อตเดียวแบบตรงไปตรงมา ซึ่งผมมองว่าชัดและไม่อ้อมค้อมในรายการเจาะลึกทั่วไทยที่ว่า ‘ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ผมเป็นนายกรัฐมนตรีครับ’
การเล่นเกมเร็ว ไม่อ้อมค้อมเช่นนี้เป็นผลบวกสำหรับแคนดิเดตของพรรค แต่จะฝ่ากระสุนบ้านใหญ่และปลุกพื้นที่คนเพื่อไทยให้กลับมามีชีวิตชีวาได้หรือไม่คงต้องรอทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ทำงานพร้อมและสอดประสานกัน ทีผ่านมาจากการเลือกตั้งทั้งสองครั้งเราเห็นการทำงานของทีมยุทธศาสตร์พรรคในพื้นที่เขตกับทีมนโยบายที่ทำงานไม่เข้าขากันเท่าไหร่นัก จนมองว่าเป็นกลุ่มนักรบห้องแอร์บ้าง หอคอยงาช้างบ้าง เรื่องนี้เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้หลายส.ส. ตัดสินใจย้ายออกอยู่เหมือนกัน
ส่วนแคมเปญเลือกตั้งปี 2562 พูดถึงเศรษฐกิจแย่ คนแก้ต้องเพื่อไทย พูดถึงหยุดวิกฤตเศรษฐกิจ หยุดสร้างหนี้ ขายภาพคุณหญิงหน่อย ประกอบอาจารย์ชัชชาติ ณ ตอนนั้น ในปี 2566 พูดถึงแคมเปญเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ที่เป็นกระแสดีอย่างมาก แต่กลับมาพลิกความคาดหมายด้วยความไม่ชัดเจน เรื่องการจับมือลุง ทำให้กลายเป็นพรรคอันดับ 2 ผมจึงมองว่า แคมเปญของพรรคเพื่อไทยหลังจากนี้ จะขายเรื่องอะไร ความหวัง เศรษฐกิจ เหมือนเดิมหรือไม่ เพราะถ้ายกมาขาย ก็ต้องมีคำตอบที่จะปิดแผลจากความผิดพลาดในครั้งที่ผ่านมาเช่นกัน
การเลือกตั้งสองครั้งที่ผ่านมา กระแสและแคมเปญมีส่วนสำคัญในการนำและดึงความรู้สึกของคนให้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง พรรคส้มประสบความสำเร็จมาแล้วในการดึงอารมณ์ของสังคมให้ออกมาใช้สิทธิ เปลี่ยนแปลงประเทศ ขณะที่รายละเอียดทางนโยบายในการเลือกตั้งเป็นปัจจัยรองที่จะมาเกื้อหนุนกระแสให้ยกสูงขึ้น ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ก็เช่นกัน ปัญหาชายแดน ปัญหาสแกมเมอร์ ปัญหาทุนเทา ภัยพิบัติ จะหยิบยกออกมาเป็นกระแสชวนคนออกมาเปลี่ยนแปลง ได้หรือจะแพ้อำนาจบ้านใหญ่ คงอยู่ทีการตัดสินใจของประชาชนในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.นี้
ที่สำคัญพรรคไหนชนะทางความรู้สึกและประชาชนวางใจได้ พรรคนั้นจัดตั้งรัฐบาล!!
https://www.matichon.co.th/article/news_5513450