วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 25, 2568

เตรียมตัวให้พร้อม 20 วิธี เอาตัวรอดปีหน้า (2569) ฉบับชนชั้นกลาง



Aun Theeraphat
December 21
·
สรุปตัวเลขเศรษฐกิจไทย 2569 ....นี่คือสิ่งที่เราทุกคนหนีมันไม่พ้น

GDP ไทย: โตเพียง 1.2–1.7% (ต่ำกว่าศักยภาพประเทศ 3 - 3.5%)
รายได้แรงงาน: โตเฉลี่ย 1 - 2% ต่อปี
ค่าครองชีพรวม: โตเฉลี่ย 2 - 3% ต่อปี
รายได้จริง (Real income): ติดลบ -1% ต่อปี
เงินเฟ้อทั่วไป: 0.0 - 1.0% (ต่ำผิดปกติ)
Core inflation: ต่ำกว่า 1% ต่อเนื่อง (แรงกดดันเงินฝืด)
การส่งออก: โต 0% ถึง -2%
OT ภาคอุตสาหกรรม: แนวโน้มหาย/ไม่สม่ำเสมอ
Policy rate ดอกเบี้ย : ประมาณ 1.00 - 1.25%
สินเชื่อธนาคาร: เข้ม แม้ดอกเบี้ยต่ำ
ยอดขายบ้าน รถ: ฟื้นช้า กู้ยาก
หนี้ครัวเรือน: 88–92% ของ GDP (ระดับเสี่ยง)
สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ครัวเรือน: สูงกว่า 35 - 40% ในหลายบ้าน
เงินเดือนขึ้น: ต่ำกว่า productivity
โบนัส: ทรงตัวหรือไม่ขึ้น
งานใหม่: เพิ่มช้า ตำแหน่งสูงเปิดน้อย
เงินสด: ปลอดภัยระยะสั้น แต่ผลตอบแทนจริงต่ำเตึ้ย แพ้เงินเฟ้อ
ค่าเรียน/ค่ารักษาพยาบาล : โตเร็วกว่ารายได้เฉลี่ย
ความมั่นคงชีวิต: ขึ้นกับ “เงินสำรอง” มากกว่าตำแหน่งงาน

=====

20 วิธีเอาตัวรอดของชนชั้นกลางไทย 2569

1) เงินสำรอง 12 เดือน
ภาพจริง: คุณโดนเลย์ออฟ ใช้เวลาหางานใหม่ 6-8 เดือน ระหว่างนั้นค่าผ่อนบ้าน ค่าเทอมลูก ค่ากินอยู่ ยังวิ่งเท่าเดิม มันไม่ได้หยุดไปด้วยนะ

ถ้ามีสำรอง 12 เดือน อย่างน้อยคุณมีเวลาเลือกงานที่ใช่ มีเวลาหายใจ ไม่ใช่รับงานแรกที่มาเพราะกลัวเงินหมด
ถ้ามีแค่ 3 เดือน เดือนที่ 2 คุณเริ่มนอนไม่หลับ เดือนที่ 3 คุณรับงานเงินเดือนต่ำกว่าเดิม 30% เพราะไม่มีทางเลือก

ถ้าจะเอาสุดโต่งแบบผมเลย ...ต้องมีเงินสำรอง 24 เดือน
ลองนึกถึงวิกฤติตอนปี 2019 ก็ได้ ใครมีเงินสำรอง 1 ปี คุณคือผู้อยู่รอด
ตอนวิกฤติรอบสองมา จำได้ไหมหนักกว่าเดิม ใครมีเงินสำรอง สายป่านยาว 2 ปี คุณคือผู้อยูรอด

====

2) หนี้ไม่เกิน 30 - 35% ของรายได้

ภาพจริง: เงินเดือน 50,000 คุณสามารถผ่อนได้ไม่เกิน 15,000-17,500/เดือน
คนส่วนใหญ่เป็นยังไง: ผ่อนบ้าน 18,000 + ผ่อนรถ 12,000 + บัตรเครดิต 5,000 = 35,000 (70% ของรายได้)
เหลือกินอยู่ 15,000 --> ไม่มีเงินเก็บ --> กู้เพิ่ม --> วนลูป

ถ้าหนี้ไม่เกิน 35% ดียังไง ? เหลือ 65% สำหรับใช้จ่าย + เก็บ + ลงทุน = ชีวิตหายใจได้ เหมือนลอยคอเหนือน้ำตอนน้ำมา

=====

3) รายได้ต้องไม่พึ่งแหล่งเดียว
ภาพจริง: เงินเดือน 60,000 + สำรอง 15,000 + ขายของออนไลน์ (หลายคนมีความสามารถนะ) 10,000 = 85,000
ถ้าโดนลดเงินเดือน หรือลด OT 20%: เหลือ 48,000 + 15,000 + 10,000 = 73,000 (ลดแค่ 14%)

ถ้ามีรายได้ทางเดียวล่ะ จาก 60,000 เหลือ 48,000 (ลด 20%) กระทบหนัก

การมีอาชีพเดียว ไม่ว่าจะเป็นงานประจำ หรือลาออกมาทำอะไรอยู่บ้าน เป็นความเสี่ยงสูงสุด
การไม่พัฒนาความสามารถด้านอื่น ๆ เลย เป็นการตัดโอกาสที่สุด

====

4) อย่ากู้เพราะดอกเบี้ยถูก
ภาพจริง: "ดอกเบี้ย 3% ถูกมาก กู้เลย!"
กู้ 1 ล้าน ผ่อน 30 ปี = จ่ายดอกเบี้ยรวม 5-6 แสน

กับดักดอกเบี้ยถูก แต่คุณผ่อน 30 ปี ระหว่างนั้นอาจตกงาน เจ็บป่วย หรือรายได้ลด แต่หนี้ยังอยู่เท่าเดิม รายได้มันไม่เคยหยุดให้
คำถามที่ถูกต้องไม่ใช่แค่ถามว่า "ดอกถูกไหม" แต่คือ "ถ้ารายได้หาย 6 เดือน ยังผ่อนไหวไหม"

=====

5) บ้าน "ผ่อนไม่อึดอัด" ไม่ใช่ "ผ่อนได้พอดี"

เช่น ธนาคารอนุมัติ 5 ล้าน ผ่อน 25,000/เดือน = "ไหว" ตามเอกสาร

ความจริง: ผ่อน 25,000 + ค่าส่วนกลาง 3,000 + ค่าน้ำไฟ 3,000 + ซ่อมแซม 2,000 = 33,000 แค่นี้ก็"แทบไม่เหลือ"

ทางรอด เช่น ซื้อบ้าน 3.5 ล้าน ผ่อน 17,000 --> เหลือเงินหายใจ --> ไม่เครียด --> ไม่ทะเลาะกับครอบครัวเรื่องเงิน

ผมย้ำเสมอ บ้านมี Timing ของมัน แต่ละคนไม่เท่ากัน ซื้อเร็วไปก็ไม่ดี ซื้อช้าไปซื้อไม่ได้อีก ไปดูเรื่องเวลา และความเหมาะสมกันเอง

====

6) รถคือภาระอย่างหนัก ไม่ใช่ทรัพย์สิน....ถ้าไมไ่ด้ใช้มันในการทำมาหากิน

เช่น ซื้อรถ 1 ล้าน ผ่อน 15,000/เดือน × 60 เดือน = 900,000
ดอกเบี้ย ~150,000
ประกัน 25,000/ปี × 5 = 125,000
น้ำมัน 5,000/เดือน × 60 = 300,000
ซ่อมบำรุง ~100,000
รวม 5 ปี: 1.6 ล้าน
ขายต่อได้: 400,000
หายไป: 1.2 ล้าน

ชีวิตจริง ของมันต้องมี EV Car มันต้องมา ถ้าจำเป็นก็ไม่ว่ากัน
แต่บางคนรถคันเดิมมีอยู่แล้ว อยากประหยัดเพิ่ม เติมมันไปอีกคัน
ลองไปคำนวณกันดี ๆ นะครับ ค่าโน่นค่านี่ คุ้มไหม และจำเป็นไหมที่จะซื้อปีหน้า

=====

7) เงินสดต้องมี แต่ห้ามเยอะเกิน

มีเงินเก็บ 1 ล้าน ฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ย 0.5%/ปี = ได้ 5,000/ปี

เงินเฟ้อ 2%: เงิน 1 ล้าน มูลค่าจริงลดเหลือ 980,000
20 - 30 ปี เงินก้อนนี้ซื้ออะไรได้บ้าง อำนาจการซื้อลดลง

ทางรอด คือเก็บสดอย่างมากที่สุดไม่เกิน 24 เดือนพอ (แนวคิดส่วนตัวผมนะ)
ที่เหลือกระจายลงทุน แต่ต้องมีสภาพคล่องนะ พร้อมเอาเงินออกมาได้ตลอด เช่น หุ้นปันผล ทองคำ กองทุนปันผล ฯลฯ

ส่วนหุ้นกู้ ผมก็แบ่งกระจายความเสี่ยง แต่สภาพคล่องน้อย เงินจม 2-3 ปีโดยส่วนใหญ่ แต่ต้องลงกรณีแรกให้เต็มก่อน
ซื้อที่เงินจม อสังหาที่ไม่มีคนเช่าเงินจม

=====

8.) ต้องมีสินทรัพย์ที่ให้ Cash Flow

เช่น บางคนมี
คอนโดปล่อยเช่า 15,000/เดือน = 180,000/ปี
หุ้นปันผล 500,000 บาท yield 4% = 20,000/ปี
ลงทุนมาก น้อย ขึ้นกับเงินแต่ละคน

ทำไมสำคัญ เพราะเงินเดือนหยุด แต่ Cash Flow ยังวิ่ง ยังมีเวลาตั้งหลัก

=====

9) การศึกษาลูกต้อง "ไม่ทำให้พ่อแม่ล้ม"
ภาพที่เราเห็นกันทุกวันนี้ รายได้ครอบครัว 120,000/เดือน ส่งลูกโรงเรียนแพง ๆ เกินตัว + ค่าใช้จ่ายอื่น ๆค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเดินทาง ค่าเรียนเสริม ฯลฯ 80,000/เดือน (67% ของรายได้)

ผลลัพธ์คือ
ไม่มีเงินเก็บ เงินตึงมือ ไม่มี Buffer
พ่อแม่เครียด ทะเลาะกัน
ถ้าตกงาน = ต้องย้ายลูกออกกลางปี ลูกเจ็บหนักกว่าเดิม

ทางรอด:
โรงเรียนดีที่ค่าเรียน (รวมค่าอื่น ๆ X2) ได้เท่าไหร่ต้อง ไม่เกิน 20% ของรายได้ (สุทธิ) = ลูกได้คุณภาพ พ่อแม่ไม่พัง

=====

10) ทักษะต้องขายได้นอกองค์กร
หลายคนทำงานบริษัทเดียว 15 ปี เก่งระบบภายใน รู้ทุกกระบวนการ
วันที่โดนเลย์ออฟ: ทักษะที่มี = ใช้ได้เฉพาะบริษัทเดิม เวลาหางานใหม่ก็หางานยาก เพราะตลาดไม่ต้องการ "ผู้เชี่ยวชาญระบบเวอร์ชันเก่า"

ทางรอด: ทุก 1-2 ปี ถามตัวเองว่า "ถ้าลาออกพรุ่งนี้ มีบริษัทไหนอยากจ้างไหม เพราะทักษะอะไร"
ก่อนหน้านี้ผมก็เป็น ผมเลยใช้หลัก "สะกดจิตตัวเอง" ว่า ถ้าเราโดนไล่ออกจากที่นี่เดือนหน้า เราจะหางานที่ไหน หางานอะไร มีความสามารถเสริมอะไร มีเงินสำรองไหม มีปันผลดอกเบี้ยรองรับไหม ???? ตั้งคำถามตัวเองบ่อย ๆ

=====

11) อย่าพึ่ง OT เป็นรายได้หลัก
เช่น เงินเดือน 35,000 + OT 15,000 = 50,000 แต่เราวางแผนชีวิตที่ 50,000
เศรษฐกิจชะลอ บริษัทตัด OT ก่อนเลย เหลือ 35,000 แต่ผ่อนบ้าน+รถตั้งไว้ที่ 50,000
ทางรอด: วางแผนชีวิตที่เงินเดือนจริง OT คือโบนัส ไม่ใช่รายได้ประจำ

อาชีพหมอก็เช่นกัน ผมเคยโดนเหตุการณ์แบบนี้มา 3 รอบแล้ว
ตัด OT หรือตัดค่าธรรมเนียมแพทย์ รายได้หายไป 30-50% ในโรงพยาบาลนั้น ๆ หรือมีหมอคนอื่นมาแทน มานั่งห้องข้าง ๆ
ส่วนตัวเลยไม่ได้คิดรายได้ตรงนี้ เพราะมันไม่มั่นคง
และที่สำคัญ กระจายความเสี่ยงไปหลาย ๆ ที่ เกิดโดนแบบนี้ที่หนึ่ง ยังมีที่อื่นรองรับ

=====

12) ลด Fixed Cost ก่อนคิดเพิ่มรายได้

ลด fixed cost อะไรที่ไม่จำเป็น เช่น ยกเลิก subscription 3,000/เดือน = เห็นผลทันที 36,000/ปี
จากนั้นหางานเสริม ใช้เวลา 3-6 เดือนกว่าจะได้เงิน

Fixed cost ที่คนมองข้าม: ค่าประกันที่ซ้ำซ้อน ค่ามือถือแพ็กเกจเกินใช้ ค่า fitness ที่ไม่ได้ไป ค่าจอด ค่าสมาชิกต่างๆ ค่ารายปีบัตรเครดิต ฯลฯ

=====

13) อย่าผ่อนของที่ไม่สร้างมูลค่า

เช่น ผ่อน iPhone 50,000 บาท 10 เดือน × 5,000
จ่ายครบ = มือถือมูลค่าเหลือ 30,000
3 ปีผ่านไป = มูลค่าเหลือ 10,000

เอา 50,000 ซื้อกองทุน 3 ปีผลตอบแทน 5%/ปี = 58,000 บาท
ความต่าง: ผ่อนของ (ไม่จำเป็น) = เงินหาย
ถ้าเอาไปลงทุน (แบบถูกวิธี) = เงินโตขึ้น

=====

14) วางแผนชีวิตแบบ "รายได้ไม่โต"

ลองสังเกตชีวิตจริง ๆ ของเรา เงินเดือนขึ้นปีละ 3-5% มา 10 ปี
เราก็ชะล่าใจคิดว่ามันจะขึ้นต่อไปเรื่อยๆ

ความจริง 2568-2569: หลายบริษัท freeze เงินเดือน บางที่ลดคน
ดังนั้นวางแผนการเงิน 5 ปีข้างหน้าโดยสมมติว่าเงินเดือนเท่าเดิม อย่างน้อยนะถ้าได้ขึ้นจริง = ก็ถือว่าเป็นโบนัส
ถ้าไม่ขึ้น = ชีวิตครอบครัวก็ไม่พัง

=====

15) สุขภาพคือทรัพย์สินอันดับหนึ่ง

20 ปีที่ผ่านมาค่าอะไรเฟ้อที่สุด ตอบ "ค่ารักษาพยาบาล"
ผ่าตัดหัวใจ: 500,000 - 2,000,000 บาท
รักษามะเร็ง: 1 - 5 ล้าน
นอน ICU วันละ 30,000 - 50,000 บาท

ถ้าไม่มีประกัน ไม่มีสวัสดิการ ไม่มีเงินเก็บ ก็ต้องยอมรักษาโรงพยาบาลรัฐ ฯ
บางคนต้องไปกู้หนี้ยืมสินมา ชีวิตครอบครัวพังได้เลย

ลองมาดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย กินดี นอนพอ ตรวจสุขภาพ = ลดความเสี่ยงก่อนเกิดปัญหา
เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่อง "สำคัญ แต่ไม่ด่วน" คนมักจะมองข้ามความสำคัญไป

====

16) ซื้อประกันที่คุ้มจริง ๆ ...แต่ยังไงก็จำเป็น และต้องซื้อให้เหมาะสมกับความต้องการ

เช่น ซื้อประกันสะสมทรัพย์ปีละ 100,000 --> คุ้มครองชีวิต 500,000 --> ผลตอบแทน 2%
เทียบกับประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ปีละ 15,000 แต่คุ้มครอง 2,000,000 + ประกันสุขภาพ 20,000/ปี เหลือเงิน 65,000 ไปลงทุนเอง

ก็ลองไปเทียบดู มีหลายแบบ สำคัญว่าเราทำประกันเพราะอะไร

ผมซื้อประกันสะสมทรัพย์ไว้ลดภาษี
ผมซื้อประกัน Unit Link ไว้เผื่อหมดลมหายใจ 100,000 ต่อปี เป็นอะไรไปได้ 10 ล้าน (ไม่ได้หวังคุ้มค่า)
ผมซื้อประกันเจอ จ่าย จบ เอาไว้ รักษานอกโรงพยาบาล คนเฝ้า คนดูแล
ผมซื้อประกันสุขภาพเอาไว้ เพื่อรักษาพยาบาลดี ๆ
ประกันแต่ละอย่างม มันมีเหตุผลและความจำเป็นที่ต่างกัน

รายได้ 10% แบ่งมาซื้อประกันพวกนี้ ไม่ควรเกินนี้

=====

17) เลิกวัดชีวิตจาก Social Media
เพื่อนโพสต์รถใหม่ คุณอยากได้ คุณไปกู้ซื้อ ผ่อน 5 ปี
ความจริงคุณไม่รู้หลังม่าน บางคนดูรวยแต่หนี้ท่วม
บางคนดูธรรมดาแต่มีเงินเก็บหลักล้าน
ดังนั้นแข่งกับตัวเองเมื่อวาน มีไม้บรรทัดของตัวเอง ไม่ใช่ให้ใครมาวัด รู้ขีดจำกัดตัวเอง ไม่ต้องไปตามใคร มีความสุขในแบบฉบับของตัวเอง รักและศรัทธาในตัวเอง

=====

18) ลงทุนที่เข้าใจง่าย คุมความเสี่ยงได้

หลักการ 5 ข้อที่ผมใช้เวลาจะกระจายความเสี่ยงลงทุน
Savings
Diversification
มีกำไร (มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ฝีมือ) ได้แค่ปีละ 10-15% ถือว่าเก่งมาก ๆ แล้ว
ปลอดภัย
มีความสุข

จะลงทุนในไหนต้องมีความรู้จริง ๆ จะซื้อหุ้นตัวไหนต้องมีความรู้จริง ๆ
หลักการถ้าอธิบายให้เมียฟังไม่ได้ว่าลงทุนอะไร เพราะอะไร อย่าไปลง

=====

19) รู้ว่าอะไรตัดได้ทันที ถ้ารายได้หาย

เช่น ตกงานวันนี้ พรุ่งนี้ต้องรู้ทันทีว่า
Netflix, สมาชิกช่อง Premium ยกเลิกได้เลย
กินข้าวนอกบ้านหรู ๆ ทำกินเองก็ได้มั้ง
เสื้อผ้าใหม่ ไม่ซื้อ 6 เดือนได้ไหม ...ทุกวันนี้ส่วนตัวซื้อปีละครั้ง แล้วก็ไม่แพงด้วย
ท่องเที่ยว แพงเกินไปหรือเปล่า บ่อยเกินไปหรือเปล่า ตรงไหนตัดได้

ถ้าตัดค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้นะ เหลือเงินเก็บต่อปีอีกเพียบ

=====

20) เป้าหมายปี 2569

เศรษฐกิจยังไม่วิกฤติ และยังไม่พังหรอก ยังไม่ต้องไปกลัวจนเกินไป วิกฤติจริง ๆ ยังไม่มา
GDP โลกมันยังดี GDP อเมริกายังไม่แย่ GDP จีนถูกปรับขึ้น ฯลฯ
ประเทศเรายังไม่พังหรอก ถ้าโลกไม่พัง....แต่มันโตช้า

คนรวยยังรวย คนจนยังจน คนกลางบางคนหลุดวงโคจรลงไป

คนที่หลุด คือ ใช้เงินเกินตัว หนี้เกิน รายได้ทางเดียว ไม่มีสำรอง ซื้อของผ่อนเพราะอยากได้
คนที่อยู่รอด ใช้น้อยกว่าหาได้ หนี้น้อย รายได้หลายทาง มีสำรอง ซื้อของเพราะจำเป็น

20 ข้อนี้ไม่ใช่สูตรรวย แต่คือ "สูตรไม่พัง"
ในปีที่เศรษฐกิจโตช้า คนที่รอดไม่ใช่คนที่วิ่งเร็วที่สุด แต่คือคนที่ไม่สะดุดล้มระหว่างทาง

เอาไว้ให้ดูเพื่อเป็น "แนวทาง" แต่ไม่จำเป็นต้องทำตามทุกข้อ
อะไรดีเอาไปปรับใช้ได้ครับ อะไรไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องเอาไป


https://www.facebook.com/photo/?fbid=1230857095602570&set=a.101772728511018