
วิกฤตการณ์ความชอบธรรม: การถอดถอนฐานันดรเจ้าชายแอนดรูว์ สะท้อนยุทธศาสตร์ความอยู่รอดของราชวงศ์อังกฤษ
3 พฤศจิกายน 2568
ประชาไท
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
ขอเริ่มจากการแปลสาระสำคัญของแถลงการณ์ (The Official Statement Translation) แถลงการณ์จากสำนักพระราชวังบักกิงแฮม (Royal Communications) ได้รับการเผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม 2025 มีเนื้อหาสรุปดังนี้:
“วันนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีได้ทรงริเริ่มกระบวนการอย่างเป็นทางการ เพื่อถอดถอนฐานันดร, พระยศ, และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของเจ้าชายแอนดรูว์”
“เจ้าชายแอนดรูว์จะทรงเป็นที่รู้จักในนาม แอนดรูว์ เมานต์แบตเทน-วินด์เซอร์ (Andrew Mountbatten Windsor) นับจากนี้ สิทธิการเช่าที่ประทับ Royal Lodge ได้ให้ความคุ้มครองทางกฎหมายแก่พระองค์ในการพำนักอาศัยจนถึงปัจจุบัน ขณะนี้ได้มีการแจ้งอย่างเป็นทางการให้สละสิทธิการเช่าดังกล่าวแล้ว และพระองค์จะทรงย้ายไปประทับในที่พักส่วนตัวอื่น ๆ การถอดถอนเหล่านี้ถือเป็นสิ่งจำเป็น แม้ว่าพระองค์จะยังคงปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ก็ตาม”
“สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินี ทรงปรารถนาที่จะแสดงให้ชัดเจนว่า ความคิดและความเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้งของทั้งสองพระองค์ มีต่อเหยื่อและผู้รอดชีวิตจากการละเมิดในทุกรูปแบบ และจะยังคงมีอยู่ตลอดไป”
เบื้องหลังวิกฤตและความจำเป็นของการผ่าตัด (The Context and Crisis)
การดำเนินการดังกล่าวไม่ใช่เพียงการทำตามขั้นตอนทางพิธีการ แต่เป็นการตัดสินใจที่เฉียบขาดและมีนัยสำคัญที่สุดต่อการธำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์อังกฤษในยุคที่หลักนิติธรรมและความโปร่งใสอยู่เหนือฐานันดรศักดิ์ วิกฤตการณ์นี้มีรากฐานมาจากเรื่องอื้อฉาวที่กัดกินความชอบธรรมของราชวงศ์มานานนับทศวรรษ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายแอนดรูว์กับอาชญากรทางเพศ เจฟฟรีย์ เอปสตีน (Jeffrey Epstein) และข้อกล่าวหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศต่อ เวอร์จิเนีย จูฟฟรี (Virginia Giuffre) ขณะที่เธอยังเป็นผู้เยาว์ (อายุ 17 ปี)
แม้เจ้าชายแอนดรูว์จะทรงปฏิเสธข้อกล่าวหามาโดยตลอด รวมทั้งการให้สัมภาษณ์กับ BBC ในปี 2019 ที่มีข้อสงสัยว่ามีส่วนใดที่เป็นการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ (เช่น การปฏิเสธว่าไม่เคยพบจูฟฟรี แม้จะมีภาพถ่ายยืนยัน หรือการกล่าวว่าได้ตัดขาดจากเอปสตีนแล้ว ทั้งที่มีอีเมลรั่วไหลบ่งชี้ถึงการนัดหมายพบกันอีก) แต่การดันทุรังที่จะ ใช้สิทธิการเช่าที่ประทับ Royal Lodge ซึ่งเป็นบ้านพักอันหรูหราที่มีสัญลักษณ์ของราชวงศ์ติดอยู่ ได้กลายเป็น จุดอ่อน ที่ทำให้ราชบัลลังก์ถูกโจมตีจากสาธารณชนอย่างหนัก ความพยายามในการพำนักอาศัยในบ้านพักที่มาพร้อมกับสถานะเจ้าชายโดยไม่ยอมรับผิดชอบต่อความผิดพลาด ได้สร้างความโกรธแค้นให้กับสาธารณชนอังกฤษอย่างรุนแรง
"ความกล้าหาญเชิงสถาบัน" เพื่อความอยู่รอด (The Imperative for Institutional Courage)
การตัดสินใจของสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ในการ ถอดถอนยศและฐานันดรทั้งหมด พร้อมทั้ง การบังคับให้สละสิทธิการเช่าที่ประทับ จึงถือเป็น ความกล้าหาญเชิงสถาบัน (Institutional Courage) ที่จำเป็นต้องแสดงออกเพื่อ รักษาความอยู่รอดของราชบัลลังก์ไว้ในระยะยาว การกระทำนี้เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังสาธารณชนทั่วโลกว่า สถาบันกษัตริย์จะไม่สามารถให้การปกป้องแก่สมาชิกที่มีข้อกล่าวหาอันร้ายแรงทางอาชญากรรมทางเพศได้อีกต่อไป และได้เลือกที่จะยืนหยัดเคียงข้างหลักการทางจริยธรรมที่สังคมยอมรับ การดำเนินการนี้เปรียบเสมือนการ "ผ่าตัดเอาส่วนที่เป็นพิษออก" จากองค์กรเพื่อหยุดยั้งความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของราชวงศ์ในฐานะสถาบันที่สูงส่งทางศีลธรรม
นอกจากนี้ การที่แถลงการณ์ได้ปิดท้ายด้วยการแสดง ความเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้งต่อเหยื่อและผู้รอดชีวิตจากการละเมิดในทุกรูปแบบ นั้น เป็นการแสดงจุดยืนที่สำคัญยิ่งต่อแรงกดดันทางสังคม แสดงให้เห็นว่าราชวงศ์เข้าใจถึงบริบทของศตวรรษที่ 21 และพร้อมที่จะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับความถูกต้องทางจริยธรรม ซึ่งนี่คือราคาที่ราชบัลลังก์ต้องจ่ายเพื่อแลกกับการ ดำรงความชอบธรรม และการยอมรับจากสาธารณชนในอนาคต
บทสรุปเชิงวิพากษ์และเปรียบเทียบ
เจ้าชายแอนดรูว์ ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์โปรดของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ต้องสูญเสียทุกอย่าง ตั้งแต่ตำแหน่งทางทหาร, การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง, ตำแหน่ง Duke of York, และล่าสุดคือ สถานะความเป็นเจ้าชาย นี่คือการแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของกลไกการอยู่รอดของราชวงศ์อังกฤษ ที่ตระหนักว่า ความเชื่อมั่นของประชาชนคือรากฐานเดียวที่ยั่งยืนของสถาบัน
ในทางกลับกัน เมื่อมองย้อนกลับมายังสถาบันกษัตริย์ไทย ที่ยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการประท้วงในปี 2020) และมีการใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดต่อผู้ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์นั้น ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในยุทธศาสตร์การอยู่รอด ราชวงศ์อังกฤษเมื่อเผชิญกับการต่อต้านและการตั้งคำถามจากประชาชน ก็พร้อมที่จะปรับตัวและสละสมาชิกที่สร้างปัญหาเพื่อรักษาความเชื่อมั่นหลักของสถาบันไว้ ส่วนในบริบทของไทย การที่ความเห็นของประชาชนยังไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเท่าทัน และมีการใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อควบคุม และปิดกั้นคำวิพากษ์วิจารณ์ แทนที่จะเปิดรับและปรับปรุงนั้นย่อมทำให้เกิดคำถามที่สำคัญยิ่งเกี่ยวกับแนวทางการธำรงไว้ซึ่งความชอบธรรมและความผูกพันระหว่างสถาบันกับประชาชนในระยะยาว
เกี่ยวกับผู้เขียน: ศ ดร ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ เป็นนักวิชาการประจำ ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงได้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต
https://prachatai.com/journal/2025/11/115369