วันพุธ, ตุลาคม 01, 2568

⭕จดหมายจาก “เก็ท” โสภณ: ผ่าน 2 ปี ในเรือนจำ ขอบคุณเหล่าผู้ร่วมทาง-ตั้งคำถามมาตรฐานความรักชาติของชนชั้นนำ


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
10 hours ago
·
จดหมายจาก “เก็ท” โสภณ: ผ่าน 2 ปี ในเรือนจำ ขอบคุณเหล่าผู้ร่วมทาง-ตั้งคำถามมาตรฐานความรักชาติของชนชั้นนำ

วันที่ 26 ก.ย. 2568 ทนายความเข้าเยี่ยม “เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง นักกิจกรรมกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ วัย 26 ปี และผู้ต้องขังในคดีมาตรา 112 ที่ถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาเป็นเวลา 769 วัน หรือ 2 ปี กับ 1 เดือน 8 วันแล้ว
.
ในโอกาสครบ 2 ปีกว่า ๆ ที่อยู่ในเรือนจำ เก็ทเขียนจดหมาย 2 ฉบับส่งออกมาถึงคนข้างนอก ฉบับแรกเก็ทพูดถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การเรียนรู้คุณค่าของการใช้ชีวิตอย่างใจเย็น พูดคุยอภิปรายกัน และที่สำคัญคือการขอบคุณทุกคนที่อยู่เคียงข้างมาตลอด ทั้งครอบครัว คนรัก เพื่อนพ้อง ทีมทนาย และประชาชนที่จับมือเดินต่อสู้ไปด้วยกัน
.
ส่วนฉบับที่ 2 เก็ทพาย้อนกลับไปมองประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของคนไทย ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงยุคปัจจุบัน ผ่านกรณีศึกษาของบุคคลต่าง ๆ ที่แสดงความห่วงใยต่อบ้านเมือง แต่กลับถูกลงโทษ ทำให้เขาตั้งคำถามว่า “เหตุใดชนชั้นนำถึงผูกขาดมาตรฐานความดี คุณธรรม มาตรฐานความรักชาติไว้ที่ตนผู้เดียว”
ในภาพรวมจดหมายทั้งสองฉบับ เก็ทสะท้อนถึงการยังคงยึดมั่นในหลักการและเหตุผล พร้อมทั้งเชื่อมโยงการต่อสู้ในปัจจุบันเข้ากับประวัติศาสตร์อันยาวนานของสังคมไทย เพื่อย้ำเตือนว่าการเรียกร้องความยุติธรรมและประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสำนึกที่มีมาแต่โบราณ
__________________________________________

จดหมายฉบับที่ 1
.
มีเรื่องราวมากมายที่ไม่เคยเล่าให้ฟัง และอยากเล่าให้ฟังเพราะอยู่ในนี้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ได้พบเสน่ห์ของการค่อย ๆ ใช้ชีวิตนั่งอย่างใจเย็นพูดคุยอภิปรายกัน ผมหวังว่าในอนาคตอันใกล้เราจะได้ใจเย็นและนั่งคุยกัน ผมว่าคนข้างนอกก็มีเรื่องราวมากมายจะเล่าให้ผมฟังนั่นแหละ วันนี้แม้สังคมไทยจะยังไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ แต่ความตื่นรู้ก็แพร่กระจายกันมาก ทุกวันผู้คนพูดคุยกันด้วยเหตุผลมากกว่าการใช้ศรัทธาและความเชื่อ เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าผู้คนที่เริ่มนับหนึ่งต่อสู้กรุยทางมาให้คนรุ่นหลัง ในห้วงขณะที่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยกำลังดำเนินไป ผมยังคงระลึกถึงบรรพชนที่สู้มาก่อนอยู่เสมอ
.
ในรอบสองปีนี้ที่ผมอยู่ในเรือนจำ ผมอยากจะเล่าสู่กันฟังถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น นับวันผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโชคดี โชคดีที่ในการต่อสู้และการใช้ชีวิตหลายอย่างมันเอื้ออำนวย ทั้งจังหวะเวลาและปัจจัยรอบข้าง จดหมายฉบับนี้จึงอยากเขียนมาขอบคุณ ขอบคุณมาก ๆ ขอบคุณทุกทุกคนที่อยู่เคียงข้างกันมา ขอบคุณผู้คนที่ต่อสู้กันมา ขอบคุณผู้คนที่ต่อสู้ก่อนหน้า แม้เผชิญต่ออุปสรรค ผมก็ยังมีคนรักคอยซัพพอร์ตคอยสนับสนุนคอยให้คำปรึกษา
.
ในด้านครอบครัวถ้าหากเกิดเหตุฉุกเฉินก็ต้องพึ่งแม่ แม่จะรีบมาหาทันที ถ้าต้องติดต่อเรื่องที่มีรายละเอียดก็ต้องพึ่งพ่อ ด้านคนรักและเพื่อนพ้องก็มีคนที่คอยฝากผีฝากไข้ไว้ได้เสมอ ด้านการต่อสู้คดีที่มีศูนย์ทนายฯ ซึ่งทีมทนายก็แอคทีฟมาก มีพี่ทนายบางคนถึงจะชอบเรียกตัวเองว่าทนายปลอม แต่จริง ๆ เป็นทนายสายวิ่งเลย วิ่งรถมาหาลูกความ
.
การต่อสู้เพื่อสังคมก็ต้องประกอบร่างรวมด้วยมวลชนจำนวนมาก ซึ่งผมก็รู้สึกโชคดีในจุดนี้อีก ที่มีเพื่อนพ้องและประชาชนจับมือเดินก้าวไปด้วยกัน หลายครั้งที่ไปศาลก็มีบ้างที่หน้าที่กันไม่ให้เราพบเจอพูดคุยกัน แต่ก็มีมิตรสหายลุงป้าน้าอา มาหากันเพียงเพื่อพบกันไม่กี่นาที เพื่อเติมเต็มกำลังใจให้กัน จดหมายที่คนข้างนอกส่งมาให้ แม้ส่งมาถึงผมยากเย็นเหลือเกิน แต่พอได้อ่านก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาทุกครั้ง ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ
.
ในอีกด้านหนึ่งถึงผมจะรู้สึกโชคดี แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองยังดีไม่พอ ทุกวันนี้ก็ยังหมั่นศึกษาพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้ได้ใช้ความสามารถไปเคลื่อนไหวต่อได้อย่างแหลมคม อยากย้ำกับเพื่อนเพื่อนว่าสิ่งที่เราต่อสู้กันมานั้น มันอยู่บนหลักการของเหตุผล ไม่มีความจำเป็นต้องกลัวอะไร ขอให้ยึดมั่นในอุดมการณ์และสิ่งที่เราสู้ร่วมกันมา ลุยต่อไปด้วยกันนะครับ
.
โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง
เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

—--------------------------------------

.
จดหมายฉบับที่ 2

“แม้เจตนาเดียวกัน แต่ถ้านายทำ นายจะเป็นคนดี เป็นชาวบ้านทำชาวบ้าน จะกลายเป็นพวกขบถ”
.
ความรักเพื่อนร่วมสังคม รักบ้านเกิด เกลียดการถูกเอารัดเอาเปรียบ ต้องการความยุติธรรม เป็นสำนึกที่มีในผู้คนมาแต่โบราณโดยไม่แบ่งชนชั้น วรรณะ เจ้านายก็มี สามัญชนก็มี โดยมีกรณีศึกษามาแต่อดีต
.
ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการปฏิรูปบ้านเมืองในหลายด้าน เจ้านายและข้าราชการกลุ่มนึงกราบบังคมทูล “ความเห็นการเปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดิน รศ.103” ให้การปกครองแบบ constitution monarchy ซึ่งขณะที่กราบบังคมทูลก็ไม่ถูกลงโทษแต่อย่างใด
.
ผิดกับกรณี นายทิม สุขยางค์ ที่ถูกโบย 50 ที จำคุก 8 เดือน เหตุจากการเขียนนิราศหนองคาย ซึ่งนิราศดังกล่าวก็ถูกสั่งเผาและห้ามจำหน่ายปรากฏใน “ประกาศเรื่องอ้ายทิมเขียนนิราศ” ซึ่งเขียนโดยปลายพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 5 เอง นิราศหนองคายเล่าถึงเรื่องการเดินทางไปปราบฮ้อว่า การที่เป็นทหารชั้นผู้น้อยนั้นเหนื่อยล้า อยากกลับบ้าน แต่เพราะเป็นผู้น้อยก็ต้องทำตามคำสั่งนาย ระหว่างทางก็อยากเห็นข้าราชการฉ้อราษฎร์บังหลวง บางคนไม่อยากไปรบก็จ้างคนไปรบแทน พอไปถึงที่หมาย นายสั่งให้ไปปราบฮ้อ ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าฮ้อที่ไปปราบนั้นคือใคร
.
ในสมัยรัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงนำแนวคิดค่านิยมมาจากตะวันตกเข้ามา ทหารจำนวนหนึ่งที่รักชาติไม่เห็นด้วยกับขนบที่ไร้อารยะอย่างการเฆี่ยนตี ประจาน รับไม่ได้กับพวกเจ้านายใช้อำนาจอย่างประมาณ เอาเปรียบชาวบ้าน นายทหารเหล่านั้นจึงรวมกันในนามของคณะ รศ.103 เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองให้เป็นระบอบประชาธิปไตย แต่กลับถูกจำคุก คำพิพากษาศาลมีโทษจำคุก 20 ปี 20 คน และจำคุกหัวหน้าคณะ 3 คนตลอดชีวิต
.
ในสมัยรัชกาลที่ 6 เช่นกัน มหาอำมาตย์เอกพระยาสุริยานุวัฒน์ (เกิด บุนนาค) ได้เขียนตำราสรรพศาสตร์ ซึ่งเป็นตำราเศรษฐศาสตร์ขึ้น โดยหวังให้ประเทศชาติพัฒนาทางเศรษฐกิจ ผู้เขียนนำแนวคิดมาจากตะวันตกมานำเสนอและปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย แต่ในหลวงรัชกาลที่ 6 กลับทรงเขียนวิจารณ์ลงในวรสารสมุทรสาร ของราชนาวีสมาคม ใจความว่า พระองค์เกรงว่าสรรพศาสตร์ จะทำให้คนไทยแตกแยกแบ่งชนชั้น คนที่ตามมาคือ หนังสือสรรพศาสตร์ก็ถูกห้ามเผยแพร่
.
ต่อมาในรัชกาลที่ 7 รัฐบาลได้ออกกฏหมายห้ามสอนลัทธิเศรษฐกิจโดยถือเป็นความผิดอาญา อย่างไรก็ตามในหลวงรัชกาลที่ 9 คงมีพระราชดำริที่ต่างออกไป และนำเสนอแนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” แปลกนักที่หากสำนึกที่ดีต่อบ้านเมืองนี้ ถูกแสดงออกมาผ่านผู้ครองอำนาจนำ
.
ทุกวันนี้ก็ยังมีความคล้ายคลึงกับอดีต ยังดีที่สิทธิเสรีภาพและสำนึกตื่นรู้ของผู้คนเกิดขึ้นมากขึ้น เหตุใดชนชั้นนำถึงผูกขาดมาตรฐานความดี คุณธรรม มาตรฐานความรักชาติไว้ที่ตนผู้เดียว?
.
โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง
เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

อ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์https://tlhr2014.com/archives/78880


https://www.facebook.com/photo/?fbid=1206075641362904&set=a.656922399611567