วันอังคาร, ตุลาคม 28, 2568

การเมืองแห่งความอาลัย: เมื่อรัฐบังคับความเศร้าเป็นวาระแห่งชาติ



การเมืองแห่งความอาลัย: เมื่อรัฐบังคับความเศร้าเป็นวาระแห่งชาติ

บทความนี้วิพากษ์วิธีที่รัฐไทยบังคับให้ประชาชนไว้ทุกข์เป็นเวลาหนึ่งปีหลังการสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ การใช้ “ความอาลัย” เป็นเครื่องมือทางการเมืองทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และเสรีภาพส่วนบุคคล รวมถึงสร้างปรากฏการณ์ “ล่าแม่มด” ออนไลน์ บทความเสนอว่าความเคารพต่อสถาบันฯ ควรเกิดจากความสมัครใจ ความเข้าใจ และการยอมรับความแตกต่าง ไม่ใช่จากการบังคับ

October 27, 2025
112 Watch

การสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568) คือจุดสิ้นสุดของยุคแห่งการสร้างภาพลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ภายใต้บริบทสงครามเย็น รัฐบาลประกาศไว้ทุกข์อย่างเป็นทางการ แต่สิ่งที่ควรถูกตั้งคำถามคือการตอบสนองที่เกินขอบเขตของ “พิธีกรรมแห่งความอาลัย” สู่การบังคับใช้ความเศร้าเป็นวาระแห่งชาติยาวนานถึงหนึ่งปี ทั้งการให้ข้าราชการไว้ทุกข์ตลอดปี และการสั่งงดกิจกรรมรื่นเริงทุกประเภทในสถานศึกษา ซึ่งสะท้อนการตีความ “ความจงรักภักดี” อย่างบิดเบือน และเป็นการใช้อำนาจรัฐแทรกแซงพื้นที่ส่วนตัวของประชาชนอย่างไม่สมเหตุสมผล

เมื่อเทียบกับกรณีการสวรรคตของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ของสหราชอาณาจักร ซึ่งมีช่วงเวลาไว้ทุกข์เพียงสิบวันและเน้นการจัดการด้านความปลอดภัย รัฐไทยกลับเลือก “แช่แข็ง” สังคมไว้ถึงหนึ่งปีเต็ม เป็นการใช้พิธีกรรมเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้างความชอบธรรมแก่รัฐบาล มากกว่าจะเป็นการแสดงความเคารพต่อสถาบันฯ ผลกระทบจึงรุนแรงและซับซ้อน ทั้งต่อเยาวชนที่ถูกตัดขาดจากกิจกรรมนอกหลักสูตรซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาทางสังคมและอารมณ์ และต่อผู้ประกอบการรายย่อยในภาคบันเทิง บริการ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่สูญเสียรายได้ตลอดปี ความอาลัยที่รัฐกำหนดจึงกลายเป็นปัจจัยสร้าง “ภาวะเศรษฐกิจหยุดนิ่ง” มากกว่าการเยียวยาจิตใจของประชาชน

ที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือการเกิด “กลไกการล่าแม่มด” ในโลกออนไลน์ หลังจากผู้นำกลุ่มอนุรักษนิยมบางรายประกาศจะตามล่าผู้ที่ถูกมองว่า “ไม่สำรวม” หรือ “แสวงหาผลประโยชน์” จากเหตุสวรรคต การล่าเช่นนี้มิได้สร้างเกียรติแก่สถาบันฯ หากแต่ตอกย้ำการใช้ “ความจงรักภักดี” เป็นเครื่องมือควบคุมความคิด พลเมืองที่เพียงไม่แต่งดำหรือยังดำเนินชีวิตตามปกติถูกประณาม คุกคาม และถูกตราหน้าในที่สาธารณะ “ความอาลัย” จึงถูกเปลี่ยนให้เป็น “บททดสอบความภักดี” (Loyalty Test) ที่บีบบังคับให้ผู้คนต้องแสดงอารมณ์ตามแบบที่รัฐและสังคมคาดหวัง


Royalist, Techa Tabthong, announced on his Facebook: “Event organizers, anyone who creates excessive drama, I’ll publicly call out. Keep it moderate—don’t be so greedy for money or benefits that you forget your duty as a subject.”

ยิ่งไปกว่านั้น ปรากฏการณ์ “ล่าแม่มด” ดังกล่าวยังมี การใช้มาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา เป็นเครื่องมือทางกฎหมายในการลงโทษผู้ที่ถูกมองว่า “ไม่แสดงความอาลัยอย่างเหมาะสม” หรือ “ไม่จงรักภักดี” ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตของกฎหมายให้กลายเป็นเครื่องมือควบคุมความรู้สึก มากกว่าจะเป็นการคุ้มครองสถาบันฯ ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เคยเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ในช่วงการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อปี พ.ศ. 2559 เมื่อประชาชนจำนวนหนึ่งถูกจับกุมหรือถูกคุกคามเพียงเพราะไม่ร่วมไว้ทุกข์หรือแสดงออกไม่ตรงกับค่านิยมหลักของรัฐและกลุ่มรอยัลลิสต์หัวรุนแรง ปรากฏการณ์เช่นนี้สะท้อนวัฒนธรรมการเมืองที่ยังไม่ยอมรับความแตกต่างทางอารมณ์และความคิด การไว้ทุกข์ซึ่งควรเป็นพื้นที่ส่วนตัวของความเศร้าและการรำลึก ถูกทำให้กลายเป็นสนามแห่งการพิสูจน์ศรัทธา การวิพากษ์ในเชิงเหตุผลกลับถูกตีความว่าเป็น “การลบหลู่” และการนิ่งเฉยก็ถูกมองว่า “ไม่จงรักภักดี” นี่คือสภาวะที่สังคมสูญเสียเสรีภาพทางจิตใจ และแทนที่ด้วยการเฝ้ามองและตรวจสอบกันเอง

การจะหลุดพ้นจากวงจร “ล่าแม่มด” เช่นนี้ได้ สังคมไทยจำเป็นต้องสร้างภูมิคุ้มกันทางวัฒนธรรมสามประการ ประการแรก คือการปลูกฝัง “วุฒิภาวะทางอารมณ์ของพลเมือง” ให้เข้าใจว่าความอาลัยสามารถแสดงออกได้หลายรูปแบบ และไม่มีรูปแบบใดเหนือกว่าอีกแบบหนึ่ง ประการที่สอง คือการเสริมสร้าง “วุฒิภาวะทางการเมืองของรัฐ” ให้ตระหนักว่า การเคารพสถาบันฯ ไม่อาจเกิดจากคำสั่งหรือการควบคุม แต่เกิดจากความสมัครใจและความศรัทธาที่เติบโตจากความเข้าใจ และประการสุดท้าย คือการสร้าง “วัฒนธรรมแห่งการเคารพความเห็นต่าง” (Culture of Dignified Disagreement) เพื่อให้การถกเถียงหรือการไม่ร่วมไว้อาลัยในรูปแบบเดียวกันไม่ถูกมองเป็นภัยต่อชาติ

รัฐและสังคมควรยอมรับว่า ความภักดีที่แท้จริงไม่อาจบังคับได้ และการอนุญาตให้ประชาชนมีเสรีภาพในการไว้ทุกข์ตามวิถีของตนเองต่างหาก ที่จะทำให้ความเคารพนั้นมีความหมาย การยุติการใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือคุกคามทางอุดมการณ์ และการส่งเสริมพื้นที่สนทนาอย่างมีสติ คือก้าวแรกในการฟื้นฟูสังคมที่อ่อนโยนและมีวุฒิภาวะมากขึ้น

มาตรการสุดโต่งของรัฐในการจำกัดกิจกรรมสังคมและเศรษฐกิจภายใต้วาระแห่งความอาลัย เผยให้เห็นถึงความล้มเหลวในการแยกแยะระหว่าง “พิธีกรรมทางราชการ” กับ “เสรีภาพส่วนบุคคล” การไว้ทุกข์ไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างในการชะลอการพัฒนาหรือจำกัดสิทธิพลเมือง แต่ควรเป็นพื้นที่แห่งการระลึกถึงอย่างมีศักดิ์ศรีโดยสมัครใจ รัฐบาลที่บังคับความรู้สึกของประชาชนย่อมบั่นทอนความน่าเชื่อถือของตนเอง และทำลายสายสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับสถาบันฯ ที่ควรตั้งอยู่บนความเคารพ ไม่ใช่ความหวาดกลัว

ในขณะที่ราชสำนักทั่วโลกจัดพิธีด้วยความสง่างามแต่กระชับ เช่น เนเธอร์แลนด์ สเปน หรือญี่ปุ่น ที่จำกัดการไว้ทุกข์เพียงไม่กี่วันถึงไม่กี่เดือน รัฐไทยกลับเลือกแนวทางตรงข้าม การงดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมยาวนานเช่นนี้ไม่เพียงขาดความรับผิดชอบทางเศรษฐศาสตร์ แต่ยังเปิดช่องให้เกิดการแบ่งแยกทางอุดมการณ์ในนามของ “ความเหมาะสม” ความจงรักภักดีที่แท้จริงไม่อาจเกิดจากการบังคับ หากเกิดจากการยอมรับโดยเสรี การใช้เวลาไว้ทุกข์เกินจำเป็นจึงมิใช่เกียรติแก่ผู้ล่วงลับ แต่คือการเผยให้เห็นถึงความไม่มั่นใจในเสถียรภาพของสถาบันและรัฐบาลเอง

การนำพาประเทศให้ก้าวข้ามภาวะ “คลั่งไคล้ทางพิธีการ” และคืนชีวิตให้สังคมภายใต้หลักสิทธิมนุษยชนและความสมเหตุสมผล คือหนทางเดียวที่จะทำให้ความเคารพต่อสถาบันฯ คงอยู่ได้อย่างสง่างาม และทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับความอาลัยอย่างมีศักดิ์ศรีและความสมัครใจ

https://112watch.org/th/the-politics-of-mourning/

บทความอังกฤษ
https://112watch.org/the-politics-of-mourning/

.....