วันอังคาร, ตุลาคม 28, 2568

เรื่อง Tariff เราให้สหรัฐฯ มากไปไหม? 4 ประเด็นน่าพิจารณา เทียบชัดๆ Joint Statement ไทย–เวียดนาม–มาเลเซีย


วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร - Veerayooth Kanchoochat
7 hours ago
·
[ เราให้สหรัฐฯ มากไปไหม? เทียบชัดๆ Joint Statement ไทย–เวียดนาม–มาเลเซีย ]

- - - -

การเจรจาภาษีตอบโต้กับสหรัฐอเมริกาเป็นเรื่องของการต่อรองล้วนๆ เพราะสหรัฐฯ ไม่ได้ใช้หลักการอะไรนอกจากต้องการลดตัวเลขขาดดุลการค้าของตัวเองลง

สิ่งที่จะเอาไปแลก มูลค่าที่สัญญาว่าจะซื้อขาย รวมถึงการเลือกใช้ถ้อยคำเพื่อสรุปผลการเจรจา ทั้งหมดนี้ต้องใช้ดุลยพินิจเป็นหลัก

แต่ในเมื่อทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการต่อรอง เราก็ต้องคอยเหลือบมองเพื่อนบ้านเราด้วยว่าแต่ละคนลงไพ่อะไรไปบ้าง เพื่อใช้ประเมินว่าสิ่งที่เราเปิดให้สหรัฐฯ นั้นมันน้อยไปหรือเยอะไปอย่างไร

เมื่อสหรัฐฯ ประกาศ Joint Statement หรือ “แถลงการณ์ร่วม” ออกมาในวันที่ 26 ตุลาคม 2568 จึงน่าสนใจว่า หากเทียบกับเพื่อนบ้านอาเซียนและคู่แข่งในตลาดส่งออกของเราอย่างเวียดนามและมาเลเซียแล้ว เค้าลงไพ่เหมือนหรือต่าง-หนักหรือเบากว่าเราแค่ไหน

- - - -

ผมมี 4 ประเด็นชวนพิจารณาครับ

.

เวียดนามใส่ “ความเป็นธรรม” กับ “สมดุลการค้า” ในแถลงการณ์

ถึงแม้สิ่งที่สหรัฐฯ ประกาศจะขึ้นต้นว่า Joint Statement เหมือนกัน แต่ชื่อที่เหลือของทั้ง 3 ประเทศกลับไม่เหมือนกันเลย

ในแง่ของสถานะทางกฎหมาย ของไทยกับเวียดนามยังเป็นแค่การวาง “กรอบ” หรือ Framework เท่านั้น ยังต้องไปลงรายละเอียดกันต่อ แต่ของมาเลเซียนับเป็น “ข้อตกลง” (Agreement) แล้ว เป็นหมุดหมายอีกขึ้นหนึ่ง

ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ในตัวแถลงการณ์ เวียดนามใช้คำว่า “Reciprocal, Fair, and Balanced Trade” ระบุไว้ในกรอบข้อตกลงเลย สะท้อนว่านี่จะไม่ใช่แค่การค้าต่างตอบแทน แต่ต้องมี “ความเป็นธรรม” กับ “ความสมดุล” อยู่ด้วย

ในขณะที่ของไทยใช้คำว่า “Reciprocal Trade” หรือการค้าต่างตอบแทนเท่านั้น ไม่ได้เติมมิติอื่น

แน่นอนว่าสุดท้ายเวียดนามจะได้ข้อตกลงที่เป็นธรรมและสมดุลจริงไหมคงต้องดูกันอีกที แต่ก็เป็นความแตกต่างที่เวียดนามตั้งใจให้ใส่ไว้ตั้งแต่ในชื่อดีล และสะท้อนออกมาในความคลุมเครือของเนื้อความ

- - - -

ไทยซื้อเครื่องบินเยอะสุด แต่มาเลเซียผูกมัดมูลค่าสูงสุด

สิ่งที่มีตัวเลขย่อมชัดเจนที่สุด ในแง่นี้ สหรัฐฯ บีบให้ทั้ง 3 ประเทศต้องซื้อเครื่องบินเหมือนกัน แต่จำนวนที่ระบุไว้กลับต่างกัน

โดยไทยเราเสนอซื้อเครื่องบินเยอะสุด จำนวน 80 ลำ รวมมูลค่า 18,800 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 600,000 ล้านบาท

ส่วนเวียดนามตกลงไว้เพียง 50 ลำ ด้วยตัวเลข 8,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ของมาเลเซียน้อยสุด คือเพียง 30 ลำ แต่ก็มีแปะไว้ว่า “อาจจะ” มีเพิ่มอีกเท่าตัวได้

อย่างไรก็ดี ถ้ารวมตัวเลขที่เสนอให้สหรัฐฯ ไว้ ของมาเลเซียจะสูงสุด เพราะบอกไว้ว่าจะซื้อ (1) เซมิคอนดักเตอร์ (2) ส่วนประกอบอากาศยาน และ (3) อุปกรณ์สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งหมดรวมกันถึง 150,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4.9 ล้านล้านบาท

แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นกลุ่มอุปกรณ์ไฮเทค ที่เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ Silicon Valley of the East ของมาเลเซีย

ส่วนของไทย นอกจากเครื่องบินแล้ว ก็ระบุว่าจะซื้อพลังงานอีก 5,400 ล้านดอลลาร์ต่อปี และกลุ่มข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กับกากถั่วเหลืองอีก 2,600 ล้านดอลลาร์ต่อปี

ในขณะที่เวียดนาม นอกจากข้อความในแถลงการณ์จะคลุมเครือที่สุดแล้ว ก็ยังใส่ตัวเลขผูกมัดต่ำสุด เพิ่มจากเครื่องบิน 50 ลำ ก็บอกแค่ว่าจะซื้อ “สินค้าเกษตร” แบบกว้างๆ ไว้ ไม่ลงรายละเอียดอีกรวม 2,900 ล้านดอลลาร์

- - - -

ไทยต้องยกเลิกรางวัลนำจับศุลกากร ส่วนมาเลเซียโดนบีบ Rare Earth

จุดแตกต่างอีกประการคือ ไทยระบุเรื่องการทลายกำแพงภาษีไว้ชัดเจน ว่าจะยกให้สหรัฐฯ 99% ของรายการทั้งหมด ครอบคลุมทั้งสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร


ในขณะที่เวียดนามกับมาเลเซียเขียนแบบกว้างๆ ไว้ว่า จะยอมเปิดสิทธิพิเศษในการเข้าถึงตลาด หรือ“preferential market access” ให้กับสหรัฐฯ โดยไม่ระบุตัวเลขสัดส่วน

นอกจากนี้ แต่ละประเทศก็มีจุดโฟกัสที่สหรัฐฯ เพ่งเล็งไม่เหมือนกัน

ตอนนี้สหรัฐฯ มียุทธศาสตร์ด้าน Rare earth หรือแร่หายาก จึงใส่ไว้ในแถลงการณ์กับมาเลเซีย ย้ำให้เปิดเสรีการซื้อและการผลิตให้สหรัฐฯ

ส่วนของไทยไม่มีเรื่องนี้ใน Joint Statement แต่กลับไปเกิดในช่องทาง MOU ฉบับเฉพาะกิจเรื่องแร่หายากที่นายกรัฐมนตรีเราเพิ่งลงนามไปที่กรุงกัวลาลัมเปอร์

ที่ต่างจากประเทศอื่นอีกข้อคือ แถลงการณ์ร่วมเขียนไว้ชัดเจนว่าให้ไทยยกเลิกระบบ “การจ่ายเงินสินบนและรางวัลนำจับ” ของกรมศุลกากรที่ทำมายาวนาน เรื่องนี้ต้องติดตามต่อ และต้องเตรียมประเมินผลทั้งทางบวกทางลบต่อประเทศและกลไกราชการไว้ล่วงหน้า

- - - -

Digital Data เรื่องเล็กน้อยที่จะสำคัญในอนาคต

ธุรกิจดิจิทัลเป็นอีกเรื่องที่ทั้งไทย เวียดนาม และมาเลเซีย โดนบีบให้ละเว้น ไม่เก็บภาษีหรือดำเนินมาตรการต่อบริการด้านดิจิทัลของสหรัฐฯ เหมือนกัน

แต่ที่สะดุดตาคือเรื่องการ “ถ่ายโอนข้อมูลข้ามพรมแดน” ซึ่งในแถลงการณ์ของไทย เราใช้ประโยคว่า “ensure the free transfer of data across trusted borders for the conduct of business”

แปลว่า ไทยต้องเปิดให้มีการถ่ายโอนข้อมูล “โดยเสรี” เพื่อประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ (ของสหรัฐฯ) full stop.

แต่เรื่องเดียวกันนี้ในแถลงการณ์ของมาเลเซียกลับตัดคำว่า “free” หรือ “โดยเสรี” ออก และเติมสร้อยเพิ่มเข้ามาเป็น “ensure the transfer of data across trusted borders, with appropriate protections, for the conduct of business”

ภาษาแบบนี้อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในทางกฎหมายจะมีความสำคัญมากๆ เมื่อถึงเวลาต้องกำกับดูแลกันในยุคข้อมูลข่าวสาร การมีสร้อย “with appropriate protections” หรือ “โดยมีการคุ้มครองที่เหมาะสม” จึงแสดงถึงรายละเอียดที่มาเลเซียตั้งใจใส่ไว้ เพื่อให้มีอำนาจและดุลยพินิจจัดการการถ่ายโอนข้อมูลดิจิทัลในอนาคต

ส่วนของเวียดนามเน้นความคลุมเครือเช่นเดิม บอกแค่ว่าจะไปหาข้อสรุปต่อ ยังไม่ผูกมัดอะไรทั้งสิ้น จนทำให้แถลงการณ์ของเวียดนามนั้นมีขนาดสั้นที่สุดใน 3 ประเทศ

- - - -

นอกจากข้อสังเกต 4 ข้อข้างต้นแล้ว อีกหลายประเด็นในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย–สหรัฐฯ ก็สะท้อนความพยายามของทีมไทยแลนด์ที่ต้องการเร่งรัดปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยซึ่งเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎระเบียบด้านสิทธิแรงงานและสิ่งแวดล้อมให้ได้มาตรฐานสากล ตลอดจนการเพิ่มความคล่องตัวของกระบวนการทางศุลกากรและระบบใบอนุญาต

หากเกิดขึ้นจริงก็จะเป็นจุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยที่สำคัญ

แต่ถึงที่สุดแล้ว ประกาศที่ออกมานี้ยังมีสถานะเป็นเพียง “แถลงการณ์ร่วม” ที่ไม่มีข้อผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ

สิ่งที่ผมอยากชวนรัฐบาลและทีมไทยแลนด์พิจารณาต่อคือ เมื่อต้องเดินหน้าต่อเพื่อหาข้อสรุปขั้นต่อไป ขอให้เราดูบทเรียนจากเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและเวียดนามด้วย

เพื่อประเมินว่าสิ่งที่เราต้องนำไปแลกนั้น “คุ้ม” กับอัตราภาษีที่ลดลง และเป็นธรรมกับผู้ที่ต้องรับผลกระทบของการเจรจาแค่ไหน ภายใต้มุมมองเปรียบเทียบกับไพ่ของประเทศอื่น

และจะยิ่งดีขึ้นอีก หากเราสามารถจับมือประเทศเพื่อนบ้านเพื่อต่อรองกับสหรัฐฯ ไปด้วยกัน อย่างน้อยๆ ก็ร่วมกันขีดเส้นไม่ให้ใครต้องแลกอะไรเกินตัว

พลิกเกมจากที่สหรัฐฯ พยายามเจรจาแยกรายตัวมาตลอด ให้กลายเป็นเกมที่พันธมิตรอาเซียนจับมือกันยืนประจันหน้ายักษ์

https://www.facebook.com/photo/?fbid=122211617570124432&set=a.122096928734124432