
CatDumb
8 hours ago
·
พอดีช่วงนี้ผมกำลังสนใจเรื่องนักธุรกิจสีเทา มาฟอกภาพลักษณ์ตัวเองให้เป็นคนดี
ก็เลยหาข้อมูลดู แล้วเจอเคสตัวอย่างที่เป็นเคสใกล้ตัวเลย เพราะเกิดขึ้นในไทยเมื่อไม่กี่ปีก่อน เป็นคดีของ "ประสิทธิ์ เจียวก๊ก" นั่นเองครับ
วันนี้เลยขอเอาเรื่องราวนี้มาสรุปให้ได้อ่านกันเป็นกรณีศึกษากันครับ
[จุดเริ่มต้น ประสิทธิ์ เจียวก๊ก]
– “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก” เกิดที่กระบี่ ตอนเด็กเกเร ชกต่อย รีดไถเงิน ก่อนกลายเป็นเจ้ามือไพ่และตีไก่ชน ถึงขั้นเปิดบ่อนท้ายโรงเรียน พอ ม.3 ถูกไล่ออกจากโรงเรียน
– ไม่มีโรงเรียนไหนในกระบี่รับเข้าเรียน เลยถูกส่งมาเรียนกรุงเทพฯ เรียนจนจบ ปวช. ภาควิชาสถาปัตยกรรม ได้ทำงานเป็นคนตรวจบ้านก่อนส่งลูกค้า พอทำไปสักระยะ ก็ชวนเพื่อนสมัยเรียนมาตั้งบริษัทผู้รับเหมาต่อเติมบ้าน
– แต่ไม่ทันไรบริษัทก็ต้องปิดตัวลง เพราะพรรคพวกเอาปืนไปยิงคนที่หมั่นไส้ ตำรวจตรวจค้นเจอทั้งปืนและยาเสพติด โดนจับกันหมด แต่ประสิทธิ์ใช้เงินยัดตำรวจให้ตัวเองและพรรคพวกรอดมาได้
– จากนั้นโดนจับคดีหนีทหาร ศาลจึงสั่งให้ไปเป็นทหารเกณฑ์ พออยู่ในค่ายก็ไปตีสนิทกับจ่า จนได้อภิสิทธิ์ในการทำธุรกิจในค่าย นั่นคือการตั้งโต๊ะโทรศัพท์ให้ทหารที่คิดถึงครอบครัวใช้บริการ เก็บนาทีละ 3-5 บาท เอาเงินมาแบ่งกับจ่า
– หลังเกณฑ์ทหารออกมา ได้งานเซลล์ขายเครื่องแรงดันน้ำ แต่ช่วงเดือนแรกขายยังไงก็ขายไม่ได้ จนวันหนึ่งได้ไปพรีเซนต์กับร้านค้าใหญ่ที่หนึ่ง ประสิทธิ์ได้พรีเซนต์เป็นคิวสุดท้ายคิดว่ายังไงก็ขายไม่ได้ แต่บังเอิญเจออาม่าแม่เถ้าแก่ของร้านเลยไปคุยตีสนิท จนอาม่าไปโน้มน้าวให้ลูกชายตัวเองซื้อเครื่องกรองน้ำกับตัวเองได้สำเร็จ
– เลยรู้ทริคว่าการขายของต้องเข้าหาและเอาใจคนแก่ จากนั้นก็เจออีกเทคนิคหนึ่งคือการสร้างข่าวลวง ไปบอกร้าน B ว่าร้าน A สั่งซื้อของจำนวนมากทั้งที่ไม่ได้สั่ง พอร้าน B ได้ยินก็ยอมไม่ได้ ต้องสั่งของมาสต๊อกเพื่อขายแข่ง
– พอเริ่มมีคอนเน็กชั่นก็เริ่มเข้าสู่ธุรกิจสีเทา ทำบ่อนพนันในเขตมีนบุรี
– ทำบ่อนมา 2 ปี เริ่มอยากเป็นคนดี ปี 2550 ออกกรุงเทพฯ กลับไปเริ่มต้นใหม่ที่กระบี่ ทำธุรกิจอสังหาฯ แล้วปรากฏว่าประสบความสำเร็จ เลยย่ามใจไปกู้ซื้อที่ดิน แต่พอปี 2551 สหรัฐฯ เกิดวิกฤติซับไพรม์ บ้านที่กู้มาทำเลยขายไม่ออก ทำประสิทธิ์ติดหนี้กับทั้งธนาคารและหนี้นอกระบบ รวม 1,000 ล้านบาท
– แต่พอปี 2553 สามารถปลดหนี้ 1,000 ล้านไปได้อย่างปริศนา โดยไม่บอกว่าทำได้อย่างไร เล่าแค่ว่าไม่ยอมแพ้กับสิ่งที่เจอ
[การสร้างภาพลักษณ์ "CEO นักบุญ"]
- ในช่วงนั้นเอง ที่เขาเริ่มสร้างภาพลักษณ์ของตัวเองให้เป็นคนดี เริ่มขายสตอรี่ตัวเองว่าเป็นอันธพาลกลับใจ ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจหลายด้าน ทั้งการท่องเที่ยว, เทคโนโลยี, และอสังหาริมทรัพย์ จนกลายเป็นนักธุรกิจพันล้าน
- จากนั้นก็สร้างภาพลักษณ์ว่าตัวเองเป็นคนดี ใจบุญ เป็นผู้ให้ ด้วยการกระทำเหล่านี้
1. เอาเงินมาทำบุญ บริจาค ประกาศว่าเงินที่หามาได้จะหักกำไร 90% แล้วคืนสู่สังคมตลอดชีวิต
2. จัดโครงการช่วยเหลือสังคมมากมาย เช่น โครงการ “คืนคุณแผ่นดิน” และ “ตลอดทั้งปีทำดีเพื่อพ่อ”
3. ทำรายการทีวีช่อง 5 ในรายการ "คืนคุณแผ่นดิน เพื่อสังคมและประชาชน"
4. เป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เดินทางไปบรรยายในสถานที่ต่างๆ ทั้งหน่วยงานรัฐ, ค่ายทหาร, มหาวิทยาลัย, และออกสื่อบ่อยครั้ง พูดเรื่องคุณธรรม, ความกตัญญู, การทำธุรกิจสีขาว และการตอบแทนแผ่นดิน
5. ได้รับรางวัลยกย่องคุณความดีมากมาย เช่น “คนทำดีต้นแบบสังคมแห่งปี 2558 คนดีเพื่อพ่อ” จากสถาบันปกเกล้า ตามด้วยรางวัล “ผู้สนับสนุนการทำดี” จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภาพลักษณ์ของเขาก็เลยดูดีมากยิ่งขึ้นไปอีก
6. จ้าง แอ๊ด คาราบาว แต่งเพลงอวยความดีของตัวเอง ท่อนฮุคร้องว่า " ประธานประสิทธิ์ เจียวก๊ก ที่เรารัก คือผู้มากทั้งความดีและทรัพย์สิน แม้มาจากเด็ก มีปัญหาไม่มีจะกิน แต่กลับโบยบินสู่ฝั่งฝันดังตั้งใจ"
[ประโยคเด็ด ทำ IO เพราะรักชาติมันผิดตรงไหน?]
– 1 ธันวาคม 2563 พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ได้เปิดเผยขบวนการ IO ของกองทัพ ระบุว่าบริษัทของประสิทธิ์ให้กองทัพใช้เซิร์ฟเวอร์ในการทำ IO
– ประสิทธิ์ออกมาตอบโต้ว่าเขาอาจจะอยู่เบื้องหลัง IO ก็จริง แต่ก็เป็นการทำความดีเพื่อสถาบัน พร้อมสวนกลับคณะก้าวหน้าว่าผิดหรือที่ต้องการให้ประชาชนรู้เท่าทันข่าวปลอม “ผมไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นประชาชนคนหนึ่งที่รักในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างที่สุด”
– จนรายการถามตรงๆ กับจอมขวัญ ไทยรัฐทีวี ได้เชิญ คุณช่อ กับ ประสิทธิ์ ไปออกรายการ ระหว่างการโต้เถียงกัน ประสิทธิ์แกะกระดุมเสื้อเปิดหน้าอก มีรอยสักคำว่า “ทรงพระเจริญ” อยู่ด้านใน พร้อมบอกว่า “ถ้าผมเป็น IO จริง ผมก็เป็น IO ดีละกัน”
- ยืนยันด้วยว่าไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองไหน แต่ที่สามารถเข้านอกออกในกองทัพได้ เพราะได้ทำโครงการพัฒนาความรู้ให้ทหารร่วมกัน โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน
[คนดีแตก การถูกเปิดโปงและจับกุมในช่วงโควิด]
- จริงๆ แล้วเบื้องหลังภาพลักษณ์นักบุญของประสิทธิ์ คือการทำธุรกิจสีเทาแบบ "แชร์ลูกโซ่" โดยมีรูปแบบการลงทุนหลักๆ ดังนี้:
1. การลงทุนในสหกรณ์ออมทรัพย์: ชักชวนให้คนนำเงินมาฝากหรือลงทุนในสหกรณ์ที่เขาจัดตั้งขึ้น โดยอ้างว่าจะได้ดอกเบี้ย ที่สูงกว่าธนาคารทั่วไปหลายเท่า
2. การลงทุนในแพ็กเกจท่องเที่ยว: นี่คือหนึ่งในธุรกิจหลัก เขาชักชวนให้คนมาซื้อ "Voucher" ท่องเที่ยวล่วงหน้า โดยสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงถึง 10-15% ต่อปี หรือสามารถนำไปขายต่อทำกำไรได้
3. การลงทุนในตู้เติมเงินอัจฉริยะ: อ้างว่ามีธุรกิจตู้เติมเงินมือถืออัจฉริยะ (คล้ายตู้บุญเติม) และชวนคนมาร่วมลงทุนเป็นเจ้าของตู้ โดยการันตีผลกำไร
4. การลงทุนในธุรกิจอื่นๆ: อ้างว่ามีธุรกิจนำเข้าสินค้า, ธุรกิจเทคโนโลยี และอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน และให้ผลตอบแทนสูง
- แชร์ลูกโซ่ต้องการเงินใหม่มาหมุนเวียนตลอดเวลา แต่พอเข้าสู่ช่วงโควิด-19 ระบาด เขาไม่สามารถหาเงินใหม่มาจ่ายนักลงทุนเก่าได้
- ผู้เสียหายจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ จนคดีไปถึง กองปราบปราม และ DSI
- 15 พฤษภาคม 2564 ประสิทธิ์ถูกตำรวจกองปราบเรียกตัว ก่อนเปิดโปงว่าทำธุรกิจลูกโซ่ฉ้อโกงอย่างที่ระบุไว้ด้านบน เหยื่อหลายคนบอกว่าหลงเชื่อเพราะเห็นว่าเขาเป็นคนดี
[พยายามหนีออกจากศาล และถูกตัดสินจำคุก 1155 ปี]
– 17 พฤษภาคม 2565 ประสิทธิ์ไปมอบตัวกับกองปราบ โดนสอบสวนยาว 9 ชั่วโมง สุดท้ายไม่ยอมให้ประกันตัว
– 22 ธันวาคม 2565 เกิดเรื่องสุดพีคขึ้น เมื่อประสิทธิ์วางแผนหลบหนีระหว่างไปขึ้นศาล ด้วยการขอเข้าห้องน้ำ แล้วแอบให้คนเอาชุดมาให้เปลี่ยนในห้องน้ำ และเอากุญแจมาไข แต่สุดท้ายก็ไม่รอดเพราะเจ้าหน้าที่ไหวตัวทัน
– 3 กรกฎาคม 2566 ศาลตัดสินจำคุก ประสิทธิ์ เจียวก๊ก 1,155 ปี (นับจากกระทง) ปรับ 145 ล้าน โดยระบุว่ามีผู้เสียหายถึง 321 ราย ความเสียหายมากกว่า 1,000 ล้านบาท ปิดตำนานนักธุรกิจคนดีกลับใจ
หมายเหตุ: แม้จะถูกตัดสินจำคุกเป็นพันปี แต่ตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย โทษจำคุกในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จะถูกจำคุกจริงสูงสุด ไม่เกิน 20 ปี (ส่วนคดีพยายามหลบหนีจะถูกฟ้องแยกต่างหาก)
#เหมียวเฟนเดอร์

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1299314111997575&set=a.710601544202171
พอดีช่วงนี้ผมกำลังสนใจเรื่องนักธุรกิจสีเทา มาฟอกภาพลักษณ์ตัวเองให้เป็นคนดี
ก็เลยหาข้อมูลดู แล้วเจอเคสตัวอย่างที่เป็นเคสใกล้ตัวเลย เพราะเกิดขึ้นในไทยเมื่อไม่กี่ปีก่อน เป็นคดีของ "ประสิทธิ์ เจียวก๊ก" นั่นเองครับ
วันนี้เลยขอเอาเรื่องราวนี้มาสรุปให้ได้อ่านกันเป็นกรณีศึกษากันครับ
[จุดเริ่มต้น ประสิทธิ์ เจียวก๊ก]
– “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก” เกิดที่กระบี่ ตอนเด็กเกเร ชกต่อย รีดไถเงิน ก่อนกลายเป็นเจ้ามือไพ่และตีไก่ชน ถึงขั้นเปิดบ่อนท้ายโรงเรียน พอ ม.3 ถูกไล่ออกจากโรงเรียน
– ไม่มีโรงเรียนไหนในกระบี่รับเข้าเรียน เลยถูกส่งมาเรียนกรุงเทพฯ เรียนจนจบ ปวช. ภาควิชาสถาปัตยกรรม ได้ทำงานเป็นคนตรวจบ้านก่อนส่งลูกค้า พอทำไปสักระยะ ก็ชวนเพื่อนสมัยเรียนมาตั้งบริษัทผู้รับเหมาต่อเติมบ้าน
– แต่ไม่ทันไรบริษัทก็ต้องปิดตัวลง เพราะพรรคพวกเอาปืนไปยิงคนที่หมั่นไส้ ตำรวจตรวจค้นเจอทั้งปืนและยาเสพติด โดนจับกันหมด แต่ประสิทธิ์ใช้เงินยัดตำรวจให้ตัวเองและพรรคพวกรอดมาได้
– จากนั้นโดนจับคดีหนีทหาร ศาลจึงสั่งให้ไปเป็นทหารเกณฑ์ พออยู่ในค่ายก็ไปตีสนิทกับจ่า จนได้อภิสิทธิ์ในการทำธุรกิจในค่าย นั่นคือการตั้งโต๊ะโทรศัพท์ให้ทหารที่คิดถึงครอบครัวใช้บริการ เก็บนาทีละ 3-5 บาท เอาเงินมาแบ่งกับจ่า
– หลังเกณฑ์ทหารออกมา ได้งานเซลล์ขายเครื่องแรงดันน้ำ แต่ช่วงเดือนแรกขายยังไงก็ขายไม่ได้ จนวันหนึ่งได้ไปพรีเซนต์กับร้านค้าใหญ่ที่หนึ่ง ประสิทธิ์ได้พรีเซนต์เป็นคิวสุดท้ายคิดว่ายังไงก็ขายไม่ได้ แต่บังเอิญเจออาม่าแม่เถ้าแก่ของร้านเลยไปคุยตีสนิท จนอาม่าไปโน้มน้าวให้ลูกชายตัวเองซื้อเครื่องกรองน้ำกับตัวเองได้สำเร็จ
– เลยรู้ทริคว่าการขายของต้องเข้าหาและเอาใจคนแก่ จากนั้นก็เจออีกเทคนิคหนึ่งคือการสร้างข่าวลวง ไปบอกร้าน B ว่าร้าน A สั่งซื้อของจำนวนมากทั้งที่ไม่ได้สั่ง พอร้าน B ได้ยินก็ยอมไม่ได้ ต้องสั่งของมาสต๊อกเพื่อขายแข่ง
– พอเริ่มมีคอนเน็กชั่นก็เริ่มเข้าสู่ธุรกิจสีเทา ทำบ่อนพนันในเขตมีนบุรี
– ทำบ่อนมา 2 ปี เริ่มอยากเป็นคนดี ปี 2550 ออกกรุงเทพฯ กลับไปเริ่มต้นใหม่ที่กระบี่ ทำธุรกิจอสังหาฯ แล้วปรากฏว่าประสบความสำเร็จ เลยย่ามใจไปกู้ซื้อที่ดิน แต่พอปี 2551 สหรัฐฯ เกิดวิกฤติซับไพรม์ บ้านที่กู้มาทำเลยขายไม่ออก ทำประสิทธิ์ติดหนี้กับทั้งธนาคารและหนี้นอกระบบ รวม 1,000 ล้านบาท
– แต่พอปี 2553 สามารถปลดหนี้ 1,000 ล้านไปได้อย่างปริศนา โดยไม่บอกว่าทำได้อย่างไร เล่าแค่ว่าไม่ยอมแพ้กับสิ่งที่เจอ
[การสร้างภาพลักษณ์ "CEO นักบุญ"]
- ในช่วงนั้นเอง ที่เขาเริ่มสร้างภาพลักษณ์ของตัวเองให้เป็นคนดี เริ่มขายสตอรี่ตัวเองว่าเป็นอันธพาลกลับใจ ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจหลายด้าน ทั้งการท่องเที่ยว, เทคโนโลยี, และอสังหาริมทรัพย์ จนกลายเป็นนักธุรกิจพันล้าน
- จากนั้นก็สร้างภาพลักษณ์ว่าตัวเองเป็นคนดี ใจบุญ เป็นผู้ให้ ด้วยการกระทำเหล่านี้
1. เอาเงินมาทำบุญ บริจาค ประกาศว่าเงินที่หามาได้จะหักกำไร 90% แล้วคืนสู่สังคมตลอดชีวิต
2. จัดโครงการช่วยเหลือสังคมมากมาย เช่น โครงการ “คืนคุณแผ่นดิน” และ “ตลอดทั้งปีทำดีเพื่อพ่อ”
3. ทำรายการทีวีช่อง 5 ในรายการ "คืนคุณแผ่นดิน เพื่อสังคมและประชาชน"
4. เป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เดินทางไปบรรยายในสถานที่ต่างๆ ทั้งหน่วยงานรัฐ, ค่ายทหาร, มหาวิทยาลัย, และออกสื่อบ่อยครั้ง พูดเรื่องคุณธรรม, ความกตัญญู, การทำธุรกิจสีขาว และการตอบแทนแผ่นดิน
5. ได้รับรางวัลยกย่องคุณความดีมากมาย เช่น “คนทำดีต้นแบบสังคมแห่งปี 2558 คนดีเพื่อพ่อ” จากสถาบันปกเกล้า ตามด้วยรางวัล “ผู้สนับสนุนการทำดี” จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภาพลักษณ์ของเขาก็เลยดูดีมากยิ่งขึ้นไปอีก
6. จ้าง แอ๊ด คาราบาว แต่งเพลงอวยความดีของตัวเอง ท่อนฮุคร้องว่า " ประธานประสิทธิ์ เจียวก๊ก ที่เรารัก คือผู้มากทั้งความดีและทรัพย์สิน แม้มาจากเด็ก มีปัญหาไม่มีจะกิน แต่กลับโบยบินสู่ฝั่งฝันดังตั้งใจ"
[ประโยคเด็ด ทำ IO เพราะรักชาติมันผิดตรงไหน?]
– 1 ธันวาคม 2563 พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ได้เปิดเผยขบวนการ IO ของกองทัพ ระบุว่าบริษัทของประสิทธิ์ให้กองทัพใช้เซิร์ฟเวอร์ในการทำ IO
– ประสิทธิ์ออกมาตอบโต้ว่าเขาอาจจะอยู่เบื้องหลัง IO ก็จริง แต่ก็เป็นการทำความดีเพื่อสถาบัน พร้อมสวนกลับคณะก้าวหน้าว่าผิดหรือที่ต้องการให้ประชาชนรู้เท่าทันข่าวปลอม “ผมไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นประชาชนคนหนึ่งที่รักในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างที่สุด”
– จนรายการถามตรงๆ กับจอมขวัญ ไทยรัฐทีวี ได้เชิญ คุณช่อ กับ ประสิทธิ์ ไปออกรายการ ระหว่างการโต้เถียงกัน ประสิทธิ์แกะกระดุมเสื้อเปิดหน้าอก มีรอยสักคำว่า “ทรงพระเจริญ” อยู่ด้านใน พร้อมบอกว่า “ถ้าผมเป็น IO จริง ผมก็เป็น IO ดีละกัน”
- ยืนยันด้วยว่าไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองไหน แต่ที่สามารถเข้านอกออกในกองทัพได้ เพราะได้ทำโครงการพัฒนาความรู้ให้ทหารร่วมกัน โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน
[คนดีแตก การถูกเปิดโปงและจับกุมในช่วงโควิด]
- จริงๆ แล้วเบื้องหลังภาพลักษณ์นักบุญของประสิทธิ์ คือการทำธุรกิจสีเทาแบบ "แชร์ลูกโซ่" โดยมีรูปแบบการลงทุนหลักๆ ดังนี้:
1. การลงทุนในสหกรณ์ออมทรัพย์: ชักชวนให้คนนำเงินมาฝากหรือลงทุนในสหกรณ์ที่เขาจัดตั้งขึ้น โดยอ้างว่าจะได้ดอกเบี้ย ที่สูงกว่าธนาคารทั่วไปหลายเท่า
2. การลงทุนในแพ็กเกจท่องเที่ยว: นี่คือหนึ่งในธุรกิจหลัก เขาชักชวนให้คนมาซื้อ "Voucher" ท่องเที่ยวล่วงหน้า โดยสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงถึง 10-15% ต่อปี หรือสามารถนำไปขายต่อทำกำไรได้
3. การลงทุนในตู้เติมเงินอัจฉริยะ: อ้างว่ามีธุรกิจตู้เติมเงินมือถืออัจฉริยะ (คล้ายตู้บุญเติม) และชวนคนมาร่วมลงทุนเป็นเจ้าของตู้ โดยการันตีผลกำไร
4. การลงทุนในธุรกิจอื่นๆ: อ้างว่ามีธุรกิจนำเข้าสินค้า, ธุรกิจเทคโนโลยี และอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียน และให้ผลตอบแทนสูง
- แชร์ลูกโซ่ต้องการเงินใหม่มาหมุนเวียนตลอดเวลา แต่พอเข้าสู่ช่วงโควิด-19 ระบาด เขาไม่สามารถหาเงินใหม่มาจ่ายนักลงทุนเก่าได้
- ผู้เสียหายจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ จนคดีไปถึง กองปราบปราม และ DSI
- 15 พฤษภาคม 2564 ประสิทธิ์ถูกตำรวจกองปราบเรียกตัว ก่อนเปิดโปงว่าทำธุรกิจลูกโซ่ฉ้อโกงอย่างที่ระบุไว้ด้านบน เหยื่อหลายคนบอกว่าหลงเชื่อเพราะเห็นว่าเขาเป็นคนดี
[พยายามหนีออกจากศาล และถูกตัดสินจำคุก 1155 ปี]
– 17 พฤษภาคม 2565 ประสิทธิ์ไปมอบตัวกับกองปราบ โดนสอบสวนยาว 9 ชั่วโมง สุดท้ายไม่ยอมให้ประกันตัว
– 22 ธันวาคม 2565 เกิดเรื่องสุดพีคขึ้น เมื่อประสิทธิ์วางแผนหลบหนีระหว่างไปขึ้นศาล ด้วยการขอเข้าห้องน้ำ แล้วแอบให้คนเอาชุดมาให้เปลี่ยนในห้องน้ำ และเอากุญแจมาไข แต่สุดท้ายก็ไม่รอดเพราะเจ้าหน้าที่ไหวตัวทัน
– 3 กรกฎาคม 2566 ศาลตัดสินจำคุก ประสิทธิ์ เจียวก๊ก 1,155 ปี (นับจากกระทง) ปรับ 145 ล้าน โดยระบุว่ามีผู้เสียหายถึง 321 ราย ความเสียหายมากกว่า 1,000 ล้านบาท ปิดตำนานนักธุรกิจคนดีกลับใจ
หมายเหตุ: แม้จะถูกตัดสินจำคุกเป็นพันปี แต่ตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย โทษจำคุกในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จะถูกจำคุกจริงสูงสุด ไม่เกิน 20 ปี (ส่วนคดีพยายามหลบหนีจะถูกฟ้องแยกต่างหาก)
#เหมียวเฟนเดอร์

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1299314111997575&set=a.710601544202171