วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 28, 2568

แน่นะ ‘ภูมิ’ ส่งอุยกูร์ให้จีนไม่มีทางอื่นแล้ว เบิ่งดูจดหมายวิงวอนของพวกเขาบ้างป่าว ว่าอยาก “ไปตั้งถิ่นฐานใหม่” ก็รัฐไทยนั่นเองที่ “ดองและส่งคืน” จดหมายเหล่านั้น

แน่นะ ภูมิที่ว่าไม่มีทางเลือกใดแล้ว นอกจากส่งผู้ลี้ภัยอุยกูร์กลับจีน ทั้งที่เชื่อไม่ได้ว่าจีนจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดีตามอ้าง ก็ที่มาขอลี้ภัยเบื้องต้นเพราะจีนทำร้าย ทรมานมิใช่หรือ อะไรทำให้ภูมิธรรมตระบัตได้ขนาดนี้

ทั่นรองฯ คุมกะลาโหมบอก “เรามีหนังสือที่เป็นทางการจากจีน​ ที่ควรแก่การเชื่อถือ​” หนะไม่ใช่หรอก ไฉนไม่ดูจดหมาย ๓ ฉบับ ชาวอุยกูร์ที่ถูกกักและคุมขังในไทยมานานเกือบ ๑๑ ปี “ขอความช่วยเหลือ” ให้ “ได้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่”

ฉบับแรก เมื่อ ๑๓ มิ.ย.๖๗ แจ้งชัดเจน “อย่าส่งเค้ากลับจีน เพราะหากถูกส่งไปชีวิตเค้าไม่ถูกขัง ก็ถูกทรมานและอาจตายได้ อนิจจาจดหมายฉบับนี้โดนทางการไทย “ดองและส่งคืน” อีกฉบับเขียนแทนชาวอุยกูร์ที่ถูกกักกัน ๔๓ คน

“ย้ำเรื่องการที่นายกฯ ก็เพิ่งได้รับคุณพ่อที่เพิ่งกลับมาราวมครอบครัวได้ ซึ่งเป็นหัวอกของความเป็นสมาชิกในครอบครัวที่ถูกทำให้แยกจากกัน” เชื่อว่าทั่นนายกฯ ตระหนักในข้อเท็จจริงว่า พวกเขาขอให้ “ส่งไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม (ตุรกี)”

ฉบับที่สาม “เขียนโดยผู้ต้องกักอุยกูร์ในห้องกักที่สวนพลูขอความช่วยเหลือ SOS...ไม่ให้ถูกบังคับส่งกลับไปยังประเทศจีน เนื่องจากภัยอันตราย โดยพวกเขาประกาศอดอาหารเป็นเวลา ๑๙ วัน ตั้งแต่วันที่ ๑๐ -๒๘ม.ค. ๒๕๖๘”

กัณวีร์ สืบแสง บอก “หยุดโกหกบิดเบือน” เรื่องชาวอุยกูร์อยู่ในไทยมากว่า ๑๐ ปีแล้ว “ไม่มีประเทศไหนมาขอรับไปตั้งถิ่นฐานใหม่เลย” แถมให้ด้วยว่า “ผมนี่แหละที่เป็นคนประสานกับรัฐบาลตุรกีเมื่อปี ๒๕๕๗” แล้วเขาก็อำนวยความสะดวก

“จะส่งเครื่องบินเช่าเหมา ๒ ลำ จากแองคาราเมืองหลวงตุรกี มาไทยภายใน ๒๔ ช.ม.” หากแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เปลี่ยนใจไม่ให้ส่งไปตุรกีตอนนั้น...อย่ามโนว่าไม่มีคนอยากรับเค้า ยังมีมากกว่าตุรกีอีก ๒ ประเทศที่ต้องการ แต่รัฐบาลไม่เอา”

อจ.Puangthong Pawakapan ถึงได้ว่า “ไร้ศักดิ์ศรี ไร้มนุษยธรรมยิ่งกว่ารัฐบาลทหาร” ยกอุทธาหรณ์สมัยพ่อนายกฯ ลี้ภัยอยู่ต่างแดน “แล้วรัฐบาลของประเทศนั้นๆ ทำตามคำขอของรัฐบาลไทยให้ส่งคุณพ่อคุณกลับมาดำเนินคดีในไทย พวกคุณจะรู้สึกอย่างไร”

พูดไปทำไรมี กระทั่งศาล ไม้หลัก ก็เป็นไปกับเขาด้วย ภาคประชาชนยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนฉุกเฉิน และให้นายกฯ กับ ผบ.ตร.ชี้แจงข้อเท็จจริง ศาลทั่นยกคำร้องเฉยเลย พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม บอกว่าประหลาดใจนัก

“ตอนนี้เราอยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่รัฐบาลทหาร แต่ทำไมเหตุการณ์ครั้งนี้เหมือนกับเหตุการณ์เมื่อปี ๒๕๕๘ ที่เป็นรัฐบาลทหาร” บังอาจ ละเมิดพ.ร.บ.ป้องกันปราบปรามการทรมานและบังคับสูญหาย กันสบายเฉิ่ม

(https://ch3plus.com/news/political/ruangden/434053=IwY2xjawIuFrZ, https://www.facebook.com/TheReportersTH/J55AEpw7ggAR และ https://www.facebook.com/NolKannavee/posts/haeg4oANPo) 

นอกจากได้แพนด้า 2 ตัว ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อะไรจากการส่งชาวอุยกูร์ 40 คนให้จีน (ยังนึกไม่ออก) ที่แน่ๆ ไทยเสี่ยงผิดกฎหมายเรื่องใดบ้าง

.....

Thanapol Eawsakul
7 hours ago
·นอกจากแพนด้า 2 ตัว
ผมยังนึกไม่ออกเลยว่า ประเทศไทยจะได้ประโยชน์อะไรจากการส่งชาวอุยกูร์ 48 คน
กลับไปให้ประเทศจีน

Atukkit Sawangsuk
7 hours ago
·
ไม่ต้องพูดถึงมนุษยธรรม สิทธิมนุษยชน ก็ได้
โง่แค่ไหนที่ส่งชาวอุยกูร์ให้จีน ได้ไม่คุ้มเสีย
ทั้งที่รู้ว่าผิดอนุสัญญาระหว่างประเทศ ทั้งที่ไทยเป็นมนตรี UNHRC ตอนนั้นปลาบปลื้มกันหน้าบาน
ทั้งที่รู้ว่าอุยกูร์โลก ตุรกี จะประณาม โกรธแค้น
ทั้งที่รัฐมนตรีต่างประเทศของทรัมป์มันขู่ไว้
อันธพาลอย่างทรัมป์ ทำอะไรมีผลประโยชน์แลก จะช่วยยูเครนก็ต้องทำ MOU แลกแร่ธาตุ
แล้วไทยส่งอุยกูร์กลับจีน ได้อะไรแลก
มีข้อตกลงการค้าการลงทุนไหม ก็ไม่มี มีแต่ความเกรงใจจีนแบบเดิมๆ เป็นเบี้ยล่างเข้าไปอีก
:
อ้อ ได้หมีแพนด้า 2 ตัว
.....


รถขนคนที่ปิดด้วยเทปดำรอบด้าน ซึ่งเชื่อว่าเป็นรถที่ใช้พาตัวชาวอุยกูร์ออกจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สวนพลู

27 กุมภาพันธ์ 2025
บีบีซีไทย

กระแสข่าวการส่งตัวชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นผู้ต้องกักในสถานกักตัวคนต่างด้าว สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เริ่มสะพัดมากขึ้นตั้งแต่เมื่อวานเย็น ล่าสุดวันนี้ (27 ก.พ.) ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติออกมายืนยันว่ามีการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนจริง

นายรอมฎอน ปันจอร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อจากพรรคประชาชน คือหนึ่งในผู้สังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวหน้าสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในซอยสวนพลูตั้งแต่เมื่อคืนวาน (26 ก.พ.) เขาอธิบายความผิดปกติหลายประการที่เกิดขึ้นหน้าสถานกักตัวคนต่างด้าวแห่งนี้ ต่อหน้าสื่อมวลชนประจำรัฐสภา

"ผมเจอญาติชาวอินเดีย บอกว่าวันนี้ [สตม.] ปิดทำการ มีป้ายประกาศแปะไว้ข้างในด้วยว่าขอให้กลับมาอีกครั้งหนึ่งในวันศุกร์ โดยเขาอ้างว่าได้ข้อมูลมาว่ามีนายมาเยี่ยมเป็นเวลาสองวัน คือวันที่ 26-27 ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะไม่ใช่วันหยุดทำการใด ๆ"

นายรอมฎอนยังสังเกตเห็นรถขนคนขนาดใหญ่อยู่ใน สตม. ก่อนปลีกตัวกลับออกมาก่อนเมื่อเวลาประมาณ 22.00 น.

วันนี้ (27 ก.พ.) เขาระบุในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ตนเองได้รับรายงานจากผู้สังเกตการณ์รายอื่นที่ยังอยู่หน้าสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สวนพลู เมื่อช่วงเวลาประมาณ 2.14 น. ที่ผ่านมาว่า มีขบวนรถขนผู้ต้องกักติดฟิล์มดำหลายคันพร้อมรถนำขบวน เคลื่อนออกจากสถานกักตัวของ สตม. ด้วยความรีบเร่งก่อนขึ้นทางด่วนออกไป

สส.จากพรรคประชาชนรายนี้ตั้งข้อสังเกตระหว่างการแถลงต่อสื่อมวลชนที่รัฐสภาว่า การใช้เทปดำพันรอบประตูและหน้าต่างของตัวรถ "เป็นเรื่องผิดปกติ"


นายรอมฎอน ปันจอร์ สังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวหน้าสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สวนพลู เมื่อค่ำวานนี้ (26 ก.พ.)

ชลิดา ทาเจริญศักดิ์ ประธานมูลนิธิศักยภาพชุมชน ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงกำไรที่พยายามช่วยเหลือชาวอุยกูร์และมีจุดยืนคัดค้านการส่งกลับพวกเขาตามคำร้องขอของจีนตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมา ก็เป็นหนึ่งในผู้สังเกตการณ์หน้าสถานกักกันคนต่างด้าวของ สตม. สวนพลู ด้วย

เธอบอกกับบีบีซีไทยว่า หลังเห็นขบวนรถออกมาจาก สตม. สวนพลู และเร่งรีบขึ้นทางด่วนมุ่งหน้าไปทางดอนเมือง เธอได้พยายามขับรถตามขบวนไป แต่ไม่สามารถติดตามได้ เนื่องจากถูกปิดกั้นไม่ให้ขึ้นใช้ทางด่วนเหมือนกับขบวนรถดังกล่าว

ชลิดาจึงเลือกใช้เส้นทางปกติ ในตอนนั้นเธอคาดการณ์ว่าขบวนรถอาจจะมุ่งหน้าไปยัง อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งเป็นจุดที่ทางการจีนส่งเครื่องบินเช่าเหมาลำมารับชาวจีน 200 คน จากเมืองสแกมเมอร์ในเมียวดีเมื่อวันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายเธอก็วกกลับมายังท่าอากาศยานดอนเมือง และขับรถสำรวจฐานทัพอากาศดอนเมืองจากด้านนอก แต่ไม่เห็นความเคลื่อนไหวที่น่าสงสัย เนื่องจากยากต่อการสังเกตการณ์จากภายนอก

ประธานมูลนิธิศักยภาพชุมชนบอกกับบีบีซีไทยว่า เธอสงสัยความเคลื่อนไหวของเที่ยวบินของสายการบินไชน่า เซาท์เทิร์น แอร์ไลน์ ที่ออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองไปเมื่อเช้าตรู่วันนี้

ขณะเดียวกันสำนักข่าวรีพอร์ตเตอร์รายงานว่า ตรวจสอบพบสายการบินไชน่า เซาท์เทิร์น แอร์ไลน์ เที่ยวบิน CZ5245 มาถึงท่าอากาศยานดอนเมืองเมื่อเวลา 23.37 น. ของคืนวันที่ 26 ก.พ. โดยเดินทางออกจากสนามบินคัชการ์ เขตการปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีน ซึ่งต่อมาพบว่าเครื่องบินลำนี้เดินทางออกจากสนามบินดอนเมืองเมื่อเวลา 04.48 น. เช้าตรู่วันนี้

ข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ติดตามเที่ยวบิน Flightaware ระบุว่า พบเห็นความเคลื่อนไหวของเครื่องบินลำดังกล่าวล่าสุดแถวเมืองอาเค่อซูในเขตการปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ แต่ไม่ยืนยันจุดลงจอดของเครื่องบินลำดังกล่าว

ทั้งนี้ ปกติแล้วสายการบินไชน่า เซาท์เทิร์น แอร์ไลน์ ดำเนินการที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิเท่านั้น ไม่ได้มีเที่ยวบินที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง

เตือนเจ้าหน้าที่รัฐไทยเสี่ยงละเมิดกฎหมายหลายข้อ หากมีการส่งกลับชาวอุยกูร์จริง

ชลิดาบอกกับบีบีซีไทยว่า หากมีการส่งกลับชาวอุยกูร์จริง ถือว่าเจ้าหน้าที่ของไทยที่เกี่ยวข้องอาจจะมีความผิดฐานละเมิดกฎหมายของไทยหลายประการ นับตั้งแต่ละเมิดกฎหมายเรื่องการทรมานและอุ้มหาย, การละเว้นปฏิบัติหน้าที่, การกระทำการใด ๆ ที่ทำให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ในอำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ, การละเมิดจริยธรรมร้ายแรง, รวมถึงการขัดขวางการพิจารณาของศาล เนื่องจากศาลอาญากรุงเทพใต้เพิ่งเปิดการพิจารณาคำร้องให้ปล่อยตัวชาวอุยกูร์จำนวน 43 คนที่อยู่ในสถานกักตัวคนต่างด้าวเมื่อวันที่ 17 ก.พ. ที่ผ่านมา และกระบวนการศาลยังดำเนินอยู่จนถึงตอนนี้ โดยวันที่ 27 มี.ค. ทางศาลมีนัดไต่สวนผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) ด้วย จากการรายงานของสำนักข่าวเบนาร์นิวส์

ด้านนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อจากพรรคประชาชน แถลงต่อสื่อวันนี้ว่า หากมีการส่งกลับชาวอุยกูร์จริง ถือว่าไทยละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศด้วย

ทำไมต้องเป็นจังหวะนี้ ?

บีบีซีไทยสอบถาม ชลิดา ประธานมูลนิธิศักยภาพชุมชน ว่าเหตุใดการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนต้องเกิดขึ้นในจังหวะนี้ หากสุดท้ายแล้วมีข้อมูลทางการยืนยันว่าทางการไทยส่งตัวผู้ต้องกักทั้งหมดกลับไปยังจีนจริง

เธอตอบว่า "เรามองสองอย่าง นายกฯ ไปจีนรอบนี้มา ไม่รู้ว่าไปตกลงอะไรกัน และมีความเป็นไปได้ว่าอาจมีการตกลงให้ส่งชาวอุยกูร์กลับ" ชลิดากล่าวถึงการเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา

"ประเด็นที่สองเกี่ยวกับเรื่องชเวโก๊กโก่ ซึ่งตอนนี้ที่ทางจีนปล่อยข่าวออกมาว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐไทยระดับสูงประมาณ 200-400 คนที่เกี่ยวข้องกับชเวโก๊กโก่ และเขาจะเปิดเผยเมื่อไรก็ได้ แต่เป็นไปได้ว่าอาจมีคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเราไม่รู้ว่าเป็นใคร เข้ามาต่อรอง และทำให้เกิดการส่งตัวไป" ชลิดากล่าว

อย่างไรก็ดี บีบีซีไทยไม่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างนี้ได้อย่างอิสระในตอนนี้

ขณะที่นายรอมฎอนบอกกับบีบีซีไทยว่า คณะผู้บริหารชุดใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ผู้มีท่าทีที่ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ทางการไทยส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีน นับตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทางการจีนเปิดเกมรุกอย่างหนัก เพื่อนำตัวชาวอุยกูร์ชุดนี้กลับไปยังประเทศให้ได้

นอกจากนี้ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (26 ก.พ.) จอห์น มูเลนาร์ ประธานคณะกรรมาธิการพิเศษของสภาผู้แทนราษฎรว่าด้วยการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกับ ราชา กฤษณะมูรติ สมาชิกอาวุโส เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยหยุดการเนรเทศชาวอุยกูร์ด้วย

"ผมนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าทำไมต้องตอนนี้ ทำไมต้องมาเร่งรัดในช่วง 2 เดือนนี้ เพราะมันมีกระแสข่าวการส่งกลับมาตลอด" รอมฎอน กล่าว "ประเด็นแรกที่เราวิเคราะห์ คือเรื่องความร่วมมือระหว่างไทยกับจีนในเรื่องปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพราะจังหวะจะโคนมันพอดิบพอดีกัน"

หากมีการส่งชาวอุยกูร์กลับจีนจริง จะส่งผลกระทบต่อไทยอย่างไร ?

รอมฏอน สส. จากพรรคประชาชนบอกบีบีซีไทยตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ว่า "เป็นเรื่องน่าเศร้า" หากสุดท้ายแล้วมีข้อมูลอย่างเป็นทางการยืนยันว่าไทยส่งกลับชาวอุยกูร์เกิดขึ้นจริง เนื่องจากไทยเพิ่งได้ทำงานในฐานะคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นบทบาทด้านสิทธิมนุษยชนของไทยบนเวทีโลกที่สำคัญยิ่ง

ย้อนไปในเดือน ก.ค. 2558 คือครั้งล่าสุดที่ประเทศไทยส่งชาวอุยกูร์ 109 คน กลับไปยังจีน โดยปรากฎภาพพวกเขาถูกตำรวจจีนควบคุมตัวขึ้นเครื่องบินในลักษณะถูกคลุมหัวและสวมกุญแจมือ ซึ่งยังไม่มีใครทราบชะตากรรมชาวอุยกูร์ชุดดังกล่าวจนถึงตอนนี้

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลทหารภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากประชาคมโลก โดยเฉพาะจากประเทศโลกมุสลิม

"ถ้าเราจำกันได้ เราเคยมีการส่งชาวอุยกูร์ไปก่อนหน้านี้ แล้วหลังจากนั้นเกิดเหตุระเบิดขึ้น" รังสิมันต์ กล่าวถึงข้อกังวลที่เขาหนักใจมากที่สุด โดยหยิบยกเหตุการณ์ระเบิดศาลพระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 2558 ซึ่งมีจำเลยเป็นชาวอุยกูร์ในคดีนี้


การส่งตัวชาวอุยกูร์ 109 คน กลับจีนเมื่อเดือน ก.ค. 2558

ขณะเดียวกัน ชลิดาบอกกับบีบีซีไทยในช่วงเช้าวันนี้ว่า หากมีการส่งกลับชาวอุยกูร์เกิดขึ้นจริง ซึ่งความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาก็ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าทั้งหมดถูกส่งกลับจีนแล้ว ย่อมสื่อถึงว่า "รัฐบาลไทยไม่แคร์ประชาคมโลกเลย ไม่แคร์การละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่แคร์ศาล"

รังสิมันต์ สส.จากพรรคประชาชนยังบอกด้วยว่า กรณีนี้จะทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจมากขึ้น เพราะทาง รมว.ต่างประเทศของสหรัฐฯ มีท่าทีที่ชัดเจนมาตลอดว่าไม่ต้องการให้ไทยเนรเทศชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีน

ทางด้าน สส.รอมฎอน บอกกับบีบีซีไทยว่า นอกจากปัญหาเสียดุลอำนาจระหว่างสองประเทศมหาอำนาจที่อาจตามมาแล้ว เขายังกังวลเกี่ยวกับปฏิกิริยาของประเทศโลกมุสลิมด้วย ซึ่งในตอนนี้ยังไม่มีการสื่อสารจากรัฐบาลว่าจะรับมือกับผลกระทบจากโลกตะวันตกและโลกมุสลิมอย่างไร

"ผมอยากให้รัฐบาลสื่อสารถึงเหตุผลหรือการคำนวณไตร่ตรองอย่างรอบด้าน เกี่ยวกับผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อเรื่องนี้" เขาบอก "ผมนึกไม่ออกจริง ๆ ว่ารัฐบาลคำนวณอย่างไร หรือมีข้อแลกเปลี่ยนอะไร หรือประเทศชาติได้ประโยชน์อะไรจากจากการทำสิ่งนี้"


ระเบิดศาลพระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์ เกิดขึ้นในปี 2558 หลังการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนได้ราว 1 เดือน

ล่าสุด น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีพบรถตำรวจมีความผิดปกติ ที่บ่งชี้ว่าอาจมีการขนย้ายชาวอุยกูร์ รวมถึงพบเที่ยวบินออกจากดอนเมืองไปยังประเทศจีนว่า "ยังไม่ได้คุยในรายละเอียด"

"แต่ว่าเรื่องแบบนี้ถ้าประเทศใดก็ตามจะทำอะไรต้องยึดหลักกฎหมาย ยึดกระบวนการระหว่างประเทศ ยึดเรื่องสิทธิมนุษยชน อันนี้คือเรื่องใหญ่ ทุกประเทศต้องยึดเรื่องนี้เป็นหลัก" นายกรัฐมนตรี กล่าว

ขณะที่ทางประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ส่งหนังสือด่วนถึงนายกรัฐมนตรีในวันนี้ ระบุถึงความกังวลว่าการส่งชาวอุยกูร์ไปยังประเทศต้นทางจะทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายต่อชีวิต ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน กระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประชาคมโลกและประเทศโลกมุสลิม


ล่าสุดช่วงเวลาประมาณ 16.40 น. วันนี้ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เผยแพร่ภาพชาวอุยกูร์ที่เดินทางถึงเขตการปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ และมีญาติมาต้อนรับ

ผบ.ตร. ยืนยันส่งชาวอุยกูร์ทั้งหมด 40 ราย กลับจีนจริง

เมื่อเวลาประมาณ 16.12 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ยืนยันต่อสื่อมวลชนว่ามีการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีนจริง จำนวน 40 คน ไม่ใช่ 48 คนดังที่ปรากฏในข่าวก่อนหน้านี้ พร้อมกับยืนยันด้วยว่าผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ทั้งหมดที่อยู่กับ สตม. มีทั้งหมด 40 คน และบอกว่าการส่งตัวครั้งนี้เป็นการทำงานร่วมกันกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ภายใต้ "มีการทำหนังสืออย่างเป็นทางการจากทางการจีน ผ่านทางการทูตมาทางรัฐบาลก่อน"

"ในหนังสือได้แสดงความจริงใจและแสดงเจตจำนงว่าจะดูแลคนจีนชาวอุยกูร์เหล่านี้ โดยให้คำมั่น ความจริงใจ ยืนยันเป็นหนังสือว่าจะดูแลเรื่องความปลอดภัย เรื่องที่อยู่ ที่พักอาศัย รวมถึงให้ญาติของชาวอุยกูร์ที่อยู่ในประเทศไทยมานาน ได้ร่วมต้อนรับที่ประเทศของเขาด้วย" ผบ.ตร. กล่าว

ผบ.ตร. เปิดเผยต่อว่าเมื่อมีการร้องขออย่างเป็นทางการจากจีน พร้อมกับคำมั่นผ่านหนังสือดังกล่าว ทางรัฐบาลจึงจัดให้มีการประชุมผ่าน สมช. และมีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติส่งชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีน

"เมื่อเราได้รับมติของ สมช. ทางเราจึงวางแผนเพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่เรียบร้อย รอบคอย ปลอดภัย ทั้งตัวของชาวอุยกูร์และเจ้าหน้าที่"

ผบ.ตร. ยังได้อธิบายเหตุผลทาง "เทคนิคของผู้ปฎิบัติ" ที่พบว่ามีการใช้เทปดำพันรอบรถตำรวจอย่างลึกลับ เพื่อขนชาวอุยกูร์ทั้งหมดไปยังท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมืองช่วงเช้ามืดวันนี้

"เราอยู่ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งหลักสิทธิมนุษยชน รวมถึง พ.ร.บ.ป้องกันการอุ้มหายและทรมาน เราต้องการให้เกิดความเรียบร้อย ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่สงบหรือบานปลาย ผมเชื่อว่าทุกท่านรู้อยู่แล้วว่าเมื่อก่อนเกิดอะไรขึ้น"


(ขวาบน) นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปสังเกตการณ์การปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์ที่ส่งกลับไปยังประเทศจีน

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยืนยันว่าทุกอย่างทำตามมติและคำสั่งของ สมช. ซึ่งผ่านการวางแผนมาระยะหนึ่งแล้ว

"เราไม่ได้คิดเองแล้วทำเลย ทุกอย่างใช้เวลามาระยะหนึ่ง การนำตัวชาวอุยกูร์ออกจากสถานที่ต้องกัก เรามีขั้นตอนที่ทำให้เกิดความเข้าใจก่อน เมื่อชาวอุยกูร์ออกไปแล้วมีความเข้าใจ สังเกตไหมครับว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย แล้วเราก็ส่งมอบให้ทางการจีนรับขึ้นเครื่องไปโดยไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น"

ผบ.ตร. ยืนยันด้วยว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์ครั้งนี้ ทางตำรวจทำตามข้อบัญญัติทางกฎหมาย ถูกต้องตามหลักสิทธิมนุษยชน และมีความชอบธรรม

"ทางรัฐบาลไทยได้มีการประชุมและตกลงกันว่าเราจะส่งเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงไปอยู่ที่มณฑลซินเจียง ประเทศจีน เพื่อรอดูว่า ลงมา [จากเครื่องบิน] แล้ว รัฐบาลจีนได้ทำตามข้อตกลงอย่างที่แสดงความจริงใจไหม มีญาติมารับไหม ได้รับการตรวจสุขภาพไหม ผมได้การยืนยันว่าได้รับการตรวจสุขภาพ มีญาติมารับ ทุกอย่างเป็นไปตามที่ทางการจีนทำหนังสือมาถึงรัฐบาลไทย"

รายชื่อผู้ไปสังเกตการณ์ที่ ผบ.ตร. กล่าวคือ พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร., ตัวแทน รมว.ต่างประเทศของไทย, และ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช.

"ในอดีตเราไม่เคยได้รับความมั่นใจเช่นปัจจุบัน ความมั่นใจเช่นปัจจุบันเกิดจากการประชุม ตรวจสอบ ประสานงานผ่านการทูต ตำรวจเป็นแค่ระดับห่วงโซ่ล่างที่ต้องปฏิบัติตามมติของ สมช." พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าว และบอกว่าด้วยว่ารายละเอียดเกี่ยวกับความยินยอมของชาวอุยกูร์หรือข้อแลกเปลี่ยนต่าง ๆ ให้ทาง สมช. เป็นผู้ตอบเอง

https://www.bbc.com/thai/articles/c9vyyyp81kro


‘กัณวีร์‘ เดือด ถามทำไมไทยไม่รู้จักมนุษยธรรม เห็นมนุษย์เป็นสิ่งของ หลังส่ง 48 อุยกูร์ กลับจีน ชง 3 ข้อเสนอถึง ครม. หวังแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยอย่างยั่งยืน


The Reporters
10 hours ago
·
PARLIAMENT: ‘กัณวีร์‘ เดือด ถามทำไมไทยไม่รู้จักมนุษยธรรม เห็นมนุษย์เป็นสิ่งของ หลังส่ง 48 อุยกูร์ กลับจีน ชง 3 ข้อเสนอถึง ครม. หวังแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยอย่างยั่งยืน
วันนี้ (27 ก.พ.68) นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม อภิปรายญัตติด่วนด้วยวาจาเรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาข้อเท็จจริง และผลกระทบกรณีการผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ กลับไปประเทศจีน เพื่อส่งข้อเสนอแนะให้กับคณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป ตามที่ นายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เป็นผู้เสนอ
นายกัณวีร์ เปิดเผยว่า 1 ปี 9 เดือนที่ผ่านมาในอาชีพการเป็น สส. วันนี้เป็นวันที่อึดอัดมากที่สุดในการที่จะต้องลุกขึ้นมาอภิปราย และวันนี้หากจะร่ำไห้ในการอภิปราย จะไม่ให้ร่ำไห้ให้กับชาวมุสลิม จะไม่ร่ำไห้ให้กับชาวอุยกูร์ แต่จะร่ำไห้ให้กับการบริหารจัดการในรัฐบาลชุดนี้กับการผลักดันผู้ลี้ภัยกลับประเทศต้นกำเนิด โดยต้องกลับไปเผชิญหายนะต่อชีวิตของพวกเขา
นายกัณวีร์ กล่าวว่า หนึ่งเหตุผลที่มาเป็นนักการเมืองคือการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ผู้ลี้ภัยที่เกี่ยวข้องกับชาวอุยกูร์ ตนเองเข้ามาเป็นนักการเมืองจากคนที่ทำงานมนุษยธรรม จากคนที่พยายามแก้ไขปัญหาที่อยู่ใต้พรมในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองไทย ไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ผู้ลี้ภัย’ ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับงานมนุษยธรรม ตนเองที่กระโดดเข้ามาสู่แวดวงทางการเมือง เพื่อที่จะเป็นคนที่เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนโดยเฉพาะผู้ลี้ภัยมุสลิมอุยกูร์
วันนี้ทำให้เห็นชัดเจนว่า ความพยายามไม่เคยเป็นผล เสียงสะท้อนจากสังคม เสียงสะท้อนจากเวทีระหว่างประเทศ ต่อให้ประเทศไทยช่วยพิจารณาการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน โดยยึดหลักทางด้านมนุษยธรรม ไม่เคยเข้าไปในหูรัฐบาล ซึ่งข่าวลือทั้งหลายที่เอามาเมื่อปลายปีที่แล้ว โดนทุกคนตีหมดว่า “กัณวีร์ชอบออกข่าวลือว่าจะมีส่งกลับในการผลักดันชาวลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศต้นกำเนิด“ จนข่าวลือทั้งหมดเป็นความจริง การผลักดันผู้ลี้ภัยกลับประเทศต้นกำเนิดไม่เอื้ออำนวยให้เขาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ไม่ใช่แนวทางการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน
“หากพวกท่านไม่เข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย หากท่านไม่เข้าใจสถานการณ์ในเรื่องมนุษยธรรม ถามผู้รู้ ถามคนที่ทำงาน อย่าใช้ความมั่นคงมาพิจารณาในการตัดสินใจหาเหตุผลในการแก้ไขปัญหาเรื่องผู้ลี้ภัย” นายกัณวีร์ กล่าว
นายกัณวีร์ กล่าวต่อว่า ตนเองไม่อยากจะเอ่ยนามสำนักงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่เสนอผลักดันผู้ลี้ภัยให้กับประเทศต้นกำเนิด นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายถ้าประเทศไทยยังไม่รู้จักคำว่ามนุษยธรรม ทำไมทุกคนถึงไม่เห็นว่า ‘มนุษย์ คือ มนุษย์’ ทำไมทุกคนชอบมองเห็น ‘มนุษย์ คือ สิ่งของ’ วันนี้เขาส่งคนกลับไปกว่า 40 ชีวิต ชีวิตเขาอยู่ตรงไหน ตอนนี้เขาก็คือคนอย่างพวกเรา มีครอบครัว ไม่รู้การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ถามผู้รู้ เราในฐานะสภานิติบัญญัติจำเป็นต้องพิจารณาด่วนในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้
”เราไม่สามารถปิดหูปิดตาสาธารณะชน เราไม่สามารถปิดหูปิดตาเวทีระหว่างประเทศได้อีกต่อไป ลืมหูลืมตาเปิดดูว่าชีวิตนี้โลกนี้มันมีเรื่องอะไรอีกบ้าง” นายกัณวีร์ กล่าว
นายกัณวีร์ เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนในเรื่องที่เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยทั้งหมด 3 แนวทาง
1. การเดินทางกลับประเทศต้นกำเนิดแบบสมัครใจ เมื่อเช้าชาวอุยกูร์เดินทางกลับประเทศต้นกำเนิดด้วยความสมัครใจหรือไม่ ตนเองตอบได้เลยว่า “ไม่” นี่คือแนวทางแรกแต่ปรับใช้กับชาวอุยกูร์ไม่ได้
2. การผสมผสานกลมกลืนในประเทศที่ขอลี้ภัย เมื่อเขาลี้ภัยเข้ามาแล้ว หากเรามีกฎหมายรองรับให้เขาสามารถทำงานได้ ให้เขาสามารถอยู่ได้ ให้เขาสามารถมาเป็นแรงงานข้ามชาติได้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เราเรียกว่าการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน หากเราสามารถทำได้ประเทศไทยจะสามารถเปลี่ยนภาระเป็นพลัง
3. การตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ การเดินทางไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม โดยใช้การรวมครอบครัวเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่อยู่ในห้องกักมายาวนานถึง 11 ปี แต่ทำไมไม่คิด ถ้าไม่รู้ถามผู้รู้
นายกัณวีร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า มุสลิมชาวอุยกูร์ถูกผลักดันกลับไป ชะตาชีวิตพวกเขาเป็นอย่างไร เรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ออกมาพูด และสุดท้ายข่าวลือเป็นความจริง ฉะนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนที่เสนอไปทั้ง 3 ข้อ ขอให้สภาฯ นำไปเสนอให้กับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณา
รายงาน: สุทธิดา บุญมณี
ภาพ: ธนทิพย์ เล้าสุทธิพงศ์
#TheReporters #เดอะรีพอร์ตเตอร์ #กัณวีร์สืบแสง #ชาวอุยกูร์ #ผู้ลี้ภัย #อุยกูร์

https://www.facebook.com/photo/?fbid=998048125850556&set=a.534942252161148


https://www.facebook.com/watch/?v=996950212401951


สภาอุยกูร์โลก ออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน ชี้ สูญเสียความน่าเชื่อถือ มอง UNHCR ล้มเหลว จี้ ไทยแจงชะตากรรมชาวอุยกูร์


The Reporters
9 hours ago
·
UPDATE: สภาอุยกูร์โลก ออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน ชี้ สูญเสียความน่าเชื่อถือ มอง UNHCR ล้มเหลว จี้ ไทยแจงชะตากรรมชาวอุยกูร์

วันนี้ (27 ก.พ. 68) สภาอุยกูร์โลก The World Uyghur Congress (WUC) ได้ออกแถลงการณ์ประณามการส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไปยังประเทศจีน โดยมีใจความว่า

“สภาอุยกูร์โลก (WUC) ขอประณามการบังคับส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 40 คนจากประเทศไทยไปยังจีน การกระทําที่ผิดกฎหมายนี้ทําให้บุคคลเหล่านี้ตกอยู่ในอันตรายอย่างร้ายแรง เนื่องจากตอนนี้พวกเขาเผชิญกับความเสี่ยงสูงในการประหัตประหาร การทรมาน และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงอื่น ๆ จากทางการจีน

สมาชิกรัฐสภาไทยจากพรรคประชาชน รอมฎอน ปันจอร์ โพสต์วิดีโอบนแอปพลิเคชั่นเอ็กซ์ (X) ที่แสดงรถคุมขังขนาดใหญ่เข้าสู่ศูนย์กักกัน สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองสวนพลู เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นวันนี้ รายงานชี้ให้เห็นว่าผู้ถูกคุมขังเหล่านี้ ถูกย้ายไปยังสนามบินใกล้เคียง และถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศจีนในเวลาต่อมา เมื่อถูกถามถึงสถานการณ์ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ยืนยันว่า การส่งตัวครั้งนี้เกิดขึ้นหรือไม่

“ประเทศไทยสูญเสียความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศในประเด็นนี้ ประเทศไทยต้องรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนนี้ UNCHR ยังล้มเหลวในการปฏิบัติภารกิจในการปกป้องกลุ่มเปราะบางที่เผชิญกับอันตรายครั้งใหญ่”

ประธาน WUC กล่าวในการตอบสนองต่อข่าวที่น่าเศร้า ว่า ชะตากรรมของผู้ที่ถูกเนรเทศตอนนี้ไม่ชัดเจน เนื่องจากพวกเขาอาจถูกลงโทษที่เลวร้ายที่สุด

ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่กล่าวถึงเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่หนีจากการปราบปรามของจีนในตุรกีตะวันออก และถูกควบคุมตัวโดยพลการในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2014 (พ.ศ. 2557) ในขณะนั้นจำนวนที่ถูกคุมขัง 109 คนถูกบังคับเนรเทศไปยังประเทศจีน แม้จะมีการรับรองจากรัฐบาลไทยต่อสํานักงานผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ผู้ลี้ภัยที่เหลือถูกปฏิเสธการเป็นตัวแทนทางกฎหมาย การคุ้มครองด้านมนุษยธรรม และโอกาสในการตั้งถิ่นฐานใหม่ แม้จะมีการอุทธรณ์ระหว่างประเทศซ้ําแล้วซ้ําเล่าก็ตาม แม้จะมีคําสัญญาที่จะช่วยเหลือ แต่ UNHCR ก็ล้มเหลวในการปกป้องกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเผชิญกับแรงกดดันอย่างมากจากทางการจีน การแทรกแซงของพวกเขาน้อยเกินไป และสายเกินไป

การตัดสินใจของไทยในการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์เหล่านี้ ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการของการไม่ส่งผู้ลี้ภัยกลับ ซึ่งห้ามมิให้บุคคลกลับไปยังประเทศที่พวกเขาเผชิญกับภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิต และเสรีภาพของพวกเขา กรณีที่ผ่านมาของการบังคับให้ชาวอุยกูร์ถูกเนรเทศไปยังประเทศจีน ส่งผลให้บุคคลหายตัวไป ต้องเผชิญกับการจําคุกอย่างไม่มีกําหนด หรือถูกทารุณกรรมอย่างรุนแรง

ก่อนหน้านี้ WUC ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยงดเว้นการเนรเทศชาวอุยกูร์ โดยเน้นว่า การทําเช่นนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นอันตรายต่อชีวิตของผู้ที่ถูกเนรเทศเท่านั้น แต่ยังทําลายชื่อเสียงระดับนานาชาติของประเทศไทย และการยึดมั่นในพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนอีกด้วย เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยืนยัน และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ และชี้แจงชะตากรรมของชาวอุยกูร์ที่ถูกเนรเทศเหล่านี้

WUC เรียกร้องให้สหประชาชาติ สหภาพยุโรป และรัฐบาลที่เกี่ยวข้องดําเนินการทันที เพื่อตอบสนองต่อการเนรเทศครั้งนี้ ต้องใช้แรงกดดันทางการทูต และกฎหมายเพื่อให้แน่ใจว่าเรื่องนี้จะมีความรับผิดชอบ
https://www.facebook.com/photo/?fbid=998064179182284&set=a.534942245494482
.....


ต้นปีนี้ AP ชาวอุยกูร์เคยขอไทยไม่บังคับส่งกลับจีนเหตุเสี่ยงต่อการคุมขังและเสียชีวิต

ชาวอุยกูร์ขอไทยไม่บังคับส่งกลับจีนเหตุเสี่ยงต่อการคุมขังและเสียชีวิต

20/01/2025
iLaw

11 มกราคม 2568 เอพีรายงานข้อมูลจากจดหมายของชาวอุยกูร์ที่ถูกกักตัวในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงปี2557 ว่า รัฐบาลไทยกำลังเตรียมตัวในการส่งตัวพวกเขากลับไปประเทศจีน ในจดหมายที่เอพีได้รับระบุทำนองว่า พวกเขาอาจถูกคุมขังและอาจจะต้องเสียชีวิต จึงเรียกร้องต่อองค์กรต่างประเทศและประเทศต่างๆที่มีความกังวลในสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในการแทรกแซงการส่งกลับอย่างเร่งด่วนเพื่อที่จะปกป้องพวกเขาจากชะตากรรมที่น่าเศร้าก่อนที่จะสายเกินไป

อุยกูร์เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในมณฑลซินเจียงของประเทศจีนและนับถือศาสนาอิสลาม หลังจากถูกปราบปรามจากรัฐบาลกลางปักกิ่งมาเป็นเวลากว่าทศวรรษ รัฐบาลจีนทำการปราบปรามอย่างรุนแรงอันเป็นมาตรการที่ประเทศตะวันตกรวมทั้งสหรัฐอเมริกามองว่า เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มีความเป็นไปได้ว่า ชาวอุยกูร์มากถึงล้านคนถูกกวาดต้อนและคุมขังที่ค่ายปรับทัศนคติ (Re-education camp) ชาวอุยกูร์ที่เคยถูกคุมขังรายงานถึงการถูกทำร้ายและบางรายถึงขั้นเสียชีวิต

เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติในประเด็นเช่น เรื่องสิทธิมนุษยชนของผู้อพยพ ประเด็นชนกลุ่มน้อย และเสรีภาพในศาสนาหรือความเชื่อ ส่งจดหมายถึงรัฐบาลไทยระบุว่า ปี 2557 ชาวอุยกูร์ประมาณ 350 คนลี้ภัยมาที่ประเทศไทยใกล้กับชายแดนไทยและมาเลเซียเป้าหมายคือต้องการเดินทางไปยังตุรกี เดือนกรกฎาคม 2558 ชาวอุยกูร์ที่ประกอบด้วยผู้หญิงและเด็กรวม 173 คนถูกส่งตัวไปที่ตุรกี ขณะที่มีชาวอุยกูร์อีกกลุ่มรวม 109 คน เป็นผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กถูกบังคับส่งกลับไปยังประเทศจีน ไม่ทราบถึงชะตากรรมและที่อยู่ของผู้ที่ถูกส่งตัวกลับเหล่านั้น

ชาวอุยกูร์ที่เหลือ 58 คนแบ่งเป็นผู้ที่ถูกกักตัวอยู่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 43 คน มีห้าคนที่กำลังรับโทษจากการพยายามหลบหนีและอีกห้าคนเสียชีวิตในสถานกักตัว ในจำนวนนี้มีเด็กสองคน

18 มกราคม 2568 วอยซ์ออฟอเมริการายงานว่า มาร์โค รูบิโอ วุฒิสมาชิกเรียกร้องให้ไทยไม่ส่งกลับชาวอุยกูร์ 48 คน เขาระบุว่า ชาวอุยกูร์เหล่านี้ถูกคุมขังเพียงเพราะชาติพันธุ์และศาสนาของเขาพวกเขา และมีการนำตัวชาวอุยกูร์เข้าไปในค่ายและกลายเป็นแรงงานบังคับ หรือแรงงานทาส มาร์โคเป็นวุฒิสมาชิกที่มีบทบาทในการวิจารณ์รัฐบาลปักกิ่ง เป็นหนึ่งในผู้ร่วมสนับสนุนร่างกฎหมายแรงงานบังคับอุยกูร์ในปี 2564 ที่แบนการนำเข้าจากซินเจียงเว้นแต่จะปลอดการใช้แรงงานบังคับ จุดยืนของเขาในเรื่องสิทธิมนุษยชนในจีนนำสู่การคว่ำบาตรจีนตั้งแต่ปี 2563

หลังการเผยแพร่ข่าวการเตรียมส่งตัวกลับไปจีน องค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ ออกมาเรียกร้องในประเด็นนี้รวมถึงองค์กรที่ทำงานเรื่องสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์ เช่น สภาอุยกูร์โลก (World Uyghur Congress) เรียกร้องให้ไทยหยุดความพยายามในการส่งกลับชาวอุยกูร์ทั้ง 48 คน ขณะที่กลุ่ม Uyghur Rights สร้างแคมเปญบน Change เรียกร้องรัฐบาลไทยยุติการบังคับส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ ร่วมมือกับ UNHCR และองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดหาที่พักพิงที่ปลอดภัยสำหรับชาวอุยกูร์ อนุญาตให้ผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศเข้าถึงชาวอุยกูร์เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม และยืนยันคำมั่นของประเทศไทยที่มีต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและหลักมนุษยธรรม

ร่วมลงชื่อเพื่อให้รัฐบาลไทยยุติการบังคับส่งกลับชาวอุยกูร์ได้ที่นี่ : https://www.change.org/p/the-petition-to-thai-government-don-t-deport-uyghur-to-china

https://www.ilaw.or.th/articles/50128
.....

สงวน คุ้มรุ่งโรจน์
7 hours ago
·
NHK รายงานข่าว"บังคับส่งกลับ"(强制送還)อุยกูร์ที่ถูกควบคุมตัว
องค์กรสิทธิมนุษยชนประณามอย่างรุนแรง

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=554655910958621&id=100092426492007


ศิธา ทิวารี ฝากคนรอบข้าง ปม แพทองธาร ชินวัตร ลุกหนีจากสภา “ไม่ต้องปกป้องอุ๊งอิ๊งมากขนาดนั้น”

 




https://x.com/thestandardth/status/1895110653733675402
https://x.com/pang_punn/status/1895069149916995855

ไทม์ไลน์ปัญหาผู้ลี้ภัยอุยกูร์ในไทย 1 ทศวรรษในห้องขัง ตม.


THE STANDARD
13 hours ago
·
ไทม์ไลน์ปัญหาผู้ลี้ภัยอุยกูร์ในไทย 1 ทศวรรษในห้องขัง ตม.
.
ชาวอุยกูร์เป็นกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีนมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ โดยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียง-อุยกูร์ ซึ่งเป็นมณฑลที่มีพื้นที่มากที่สุดของจีน
.
จุดเริ่มต้นของปัญหาชาวอุยกูร์ที่ลี้ภัยมายังไทยเกิดขึ้นในช่วงปี 2014 จากการที่รัฐบาลจีนดำเนินมาตรการเด็ดขาดในการจัดการด้านวัฒนธรรมและศาสนาของชาวอุยกูร์ เช่น การห้ามประกอบพิธีทางศาสนาหรือการถือศีลอด ส่งผลให้ชาวอุยกูร์จำนวนไม่น้อยต้องการลี้ภัยไปยังประเทศที่ 3
.
โดยชาวอุยกูร์บางส่วนเลือกลี้ภัยมาทางภาคใต้ของไทยหรือไปที่มาเลเซีย ซึ่งในเดือนมีนาคม 2014 ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 220 คน ถูกพบและจับกุมตัวได้ในสวนยางพารา อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา ซึ่งแม้ทั้งหมดต้องการลี้ภัยไปประเทศตุรกีและทางการตุรกียินดีรับ แต่รัฐบาลไทยขณะนั้นปฏิเสธโดยไม่ให้เหตุผลที่ชัดเจน ก่อนที่กลุ่มผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์จะถูกกระจายไปคุมขังในสถานกักตัวของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ทั่วประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการคุมขังชาวอุยกูร์มาอย่างยาวนาน
.
ในยุครัฐบาล คสช. ปี 2015 ปรากฏรายงานข่าวว่า ทางการไทยบังคับส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 109 คนให้กับทางการจีน โดยกลุ่มชาวอุยกูร์ถูกใส่กุญแจมือและใช้ถุงดำครอบศีรษะ ก่อนส่งตัวให้เจ้าหน้าที่จีนในกรุงเทพฯ พาขึ้นเครื่องบินกลับประเทศจีน โดยไม่มีใครทราบชะตากรรมของชาวอุยกูร์กลุ่มนี้อีกหลังจากนั้น
.
ข่าวเกี่ยวกับชาวอุยกูร์เกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยกรณีที่เป็นข่าวดังคือเหตุระเบิดศาลพระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์ ที่เกิดขึ้น 1 เดือนหลังการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 109 คนให้กับจีน ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 คน และบาดเจ็บกว่า 130 คน โดยทางการไทยจับกุมผู้ต้องสงสัยชาวอุยกูร์ได้ 2 คน และมีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นการตอบโต้การกระทำของทางการไทย
.
สภาอุยกูร์โลก (World Uyghur Congress: WUC) เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา มีผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์เสียชีวิตภายใต้การควบคุมดูแลของทางการไทยแล้วอย่างน้อย 5 ราย ขณะที่ภาคประชาสังคมตั้งข้อสังเกตว่าการเสียชีวิตของชาวอุยกูร์ในสถานกักตัวของ ตม. ไทยนั้น สะท้อนคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่และแออัด
.
เมื่อวันที่ 11 มกราคม สภาอุยกูร์โลกเผยแพร่แถลงการณ์ ระบุว่ากลุ่มชายชาวอุยกูร์ได้ส่งจดหมายขอความช่วยเหลือโดยด่วนจากชุมชนระหว่างประเทศ รวมถึงองค์กรและหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชน หลังจากที่มีข่าวว่ารัฐบาลไทยได้หารือเกี่ยวกับการส่งพวกเขากลับไปจีน โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่ไทยเตรียมการสำหรับวันครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของแรงกดดันจากปักกิ่งในการให้ส่งตัวกลุ่มผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ให้ทางการจีน
.
ขณะที่วานนี้ (26 กุมภาพันธ์) สภาอุยกูร์โลกเผยแพร่แถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการเนรเทศผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 48 คนไปยังจีน หลังจากมีรายงานกำหนดการว่าไทยจะส่งตัวกลุ่มผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์เหล่านี้ให้จีนในวันนี้ (27 กุมภาพันธ์)
.
อ้างอิง:
https://prachatai.com/journal/2024/03/108432
https://www.uyghurcongress.org/.../press-release-wuc.../
https://www.uyghurcongress.org/.../press-release-wuc.../
.
#TheStandardNews

https://www.facebook.com/photo/?fbid=981095500816460&set=a.586524703606877



การส่งตัวอุยกูร์ให้จีน รัฐบาลนายกฯ แพทองธาร อำมหิตเลือดเย็นสุดๆ เมื่อเปรียบกับ UAE และ อังกฤษ ไม่ได้ส่งทักษิณ-ยิ่งลักษณ์กลับไทย


Puangthong Pawakapan
7 hours ago
·
ไร้ศักดิ์ศรี ไร้มนุษยธรรมยิ่งกว่ารัฐบาลทหาร
อยากให้นายกฯ แพทองธาร ลองคิดดูว่าสมัยคุณพ่อของคุณลี้ภัยในต่างแดน แล้วรัฐบาลของประเทศนั้นๆ ทำตามคำขอของรัฐบาลไทยให้ส่งคุณพ่อคุณกลับมาดำเนินคดีในไทย พวกคุณจะรู้สึกอย่างไร
รัฐบาลประยุทธ์ก็เคยขอให้อังกฤษส่งตัวคุณยิ่งลักษณ์กลับ ถ้ารัฐบาลอังกฤษทำอย่างเดียวกันกับที่คุณทำกับชาวอุยกูร์ พวกคุณจะรู้สึกอย่างไร

https://www.facebook.com/puangthong.r.pawakapan/posts/9587285791322094








 

ไหนใครด่าพี่เฟคนิวส์คะ ยื่นหน้าสวยๆออกมาค่ะ


กัณวีร์ สืบแสง Kannavee Suebsang
@nolkannavee
5 hours ago

ช่วยกันจดชื่อหน่อยครับ 🙏 ที่ผมจดไว้มีเท่านี้ 
1. ภูมิธรรม
2. ภูมิธรรม
3. ภูมิธรรม 
4. ภูมิธรรม 
5. ภูมิธรรม 
6. ภูมิธรรม 
7. ภูมิธรรม 
8. ภูมิธรรม 
9. ภูมิธรรม 
10. ภูมิธรรม 
11. ภูมิธรรม 
12. ภูมิธรรม 
13. ภูมิธรรม
……..
399. ภูมิธรรม 
400. ภูมิธรรม






https://x.com/nolkannavee/status/1895131547654857004



 



หนังสือ 2 เล่มนี้ จะช่วยให้คนไทยตระหนัก ถึงการกดขี่ชาวอุยกูร์ ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รับรู้มากนักในสังคมไทย


@SamyanPress
·Oct 28, 2022

เสียงเพรียกหาสิทธิมนุษยชน


หนังสือเล่มนี้เป็นข้อเขียนของนักโทษทางการเมืองชาวอุยกูร์ อิลฮัม โตห์ติปัญญาชนและศาสตราจารย์ชาวอุยกูร์ผู้ศึกษาและทำงานอย่างหนักเพื่อส่งเสริมความเข้าใจระหว่างชาวอุยกูร์และชาวจีนทว่าเขาถูกศาลจีนพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต



ความทุกข์ของชาวอุยกูร์ ภายใต้คอมมิวนิสต์จีน 

หนังสือเล่มนี้กำเนิดขึ้นมาเพื่อสร้างความตระหนักเรื่องการกดขี่ชาวอุยกูร์ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รับรู้ในสังคมไทยมากนักในช่วงที่หนังสือออก และเพื่อต้องการต่อต้านโฆษณาชวนเชื่อที่เผด็จการไทยร่วมมือกับเผด็จการจีนเผยแพร่เกี่ยวกับเรื่องอุยกูร์

(https://x.com/SamyanPress)


‘ช่อ พรรณิการ์’ ชึ้ ‘รัฐบาลแพทองธาร’ ส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน คือเอาชีวิตและผลประโยชน์คนไทยไปเสี่ยงภัย เสียภาพพจน์และอำนาจต่อรองในเวทีต่างประเทศ


สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว
8 hours ago
·
‘ช่อ พรรณิการ์’ ชึ้ ‘รัฐบาลแพทองธาร’ ส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน คือเอาชีวิตและผลประโยชน์คนไทยไปเสี่ยงภัย ยกเคสสถานทูตไทยในตุรกีโดนบุกทำลายข้าวของ-ระเบิดพระพรหมเอราวัณ เสียชีวิต 20 ราย
วันที่ 27 ก.พ.68 นางสาวพรรณิการ์ วานิช คณะก้าวหน้า โพสต์
“การส่งอุยกูร์กลับจีนเมื่อปี 58 โดยรัฐบาลประยุทธ์ ทำให้เกิด
1. สถานทูตไทยที่กรุงอังการา ตุรกี โดนบุกทำลายข้าวของ คนไทย 1,300 คนในตุรกีตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ปลอดภัย
2. เกิดเหตุระเบิดพระพรหมเอราวัณ ทำให้มีคนตายกว่า 20 ราย
การที่รัฐบาลแพทองธารส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีนกลางดึกเมื่อคืนนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องที่รัฐบาลอาจกำลังทำผิดกฎหมาย ทั้งพรบ.อุ้มหายฯ และผิดกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นการเอาชีวิตและผลประโยชน์คนไทยไปเสี่ยงภัยด้วย
และที่น่าผิดหวังที่สุดคือ เมื่อเช้านายกฯ บอกว่า การจะส่งอูยกูร์กลับ ต้องยึดหลักกฎหมายและสิทธิมนุษยชน แต่พอตกบ่าย มีการยืนยันว่าส่งไปถึงจีนแล้ว นายกฯ กลับบอกว่าไม่ได้รับรายงาน ให้ไปถามรองนายกฯ ภูมิธรรม“
“สำหรับพวกที่พยายามปั่น เรื่องพรรคประชาชนอุยกูร์ ขอย้ำว่าที่พูดๆ กันนี่ คือเป็นห่วงคนไทยว่าจะเดือดร้อนเหมือนตอนประยุทธ์ส่งอุยกูร์กลับในปี 2558 คนตายตายจริง คนเจ็บเจ็บจริง คนที่พยายามจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์คนไทย ขอถามกลับว่าแล้วรัฐบาลเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทยหรือเพื่อชาติไหนคะ”

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1257418625745074&set=a.328293581990921






Pannika Wanich @Pannika_FWP

สรุปกรณีส่งตัวอุยกูร์กลับจีน ส่งผลกระทบต่อคนไทย 4 ด้าน 

1. คนไทยในต่างแดนเสี่ยงตกเป็นเป้าก่อเหตุร้าย 
2. คนไทยในไทย เสี่ยงตกเป็นเป้าเช่นกัน 
3. ไทยเสียอำนาจต่อรองอย่างมีนัยสำคัญในการเจรจากับสหรัฐฯในสงครามการค้า 
4. ไทยตกที่นั่งลำบากในเวทีโลกในฐานะชาติสมาชิกกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ UNHRC 

ไม่น่าเชื่อว่าพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลคสช. สมัยประยุทธ์ จะกลับมาเกิดซ้ำในยุคแพทองธาร รัฐบาลพลเรือน
.....

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1257418625745074&set=a.328293581990921
https://x.com/Pannika_FWP/status/1895127923851698692



เตือนความจำ บรรดาไอโอและพวกแบก ที่ออกมาปกป้องรัฐบาลอุ้งอิ๊ง ที่ส่งอุยกูร์กลับไปให้จีน ทางการไทยเคยยื่นเรื่องขออังกฤษส่งตัว “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กลับประเทศไทย แต่ "ยิ่งลักษณ์" โชคดีที่หนีไปอยู่ประเทศที่ให้ความสำคัญต่อสิทธิมนุษย์ชน เค้า ไม่ส่งตัวคุณยิ่งลักษณ์มาให้รัฐบาลไทย



ทางการไทยยื่นเรื่องขออังกฤษส่งตัว “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กลับประเทศไทย

31 กรกฎาคม พ.ศ.2561
มติชนสุดสัปดาห์

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม บีบีซี ไทย รายงานว่า รัฐบาลไทยได้ร้องต่อรัฐบาลอังกฤษอย่างเป็นทางการแล้ว ขอให้ส่งตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงที่หลบหนีคดีกลับไทย

ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษว่า สถานเอกอัครราชทูตไทยในสหราชอาณาจักร ได้ส่งจดหมายลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 ไปที่กระทรวงการต่างประเทศของสหราชอาณาจักร (Foreign and Commonwealth Office) เพื่อร้องขอต่อทางการของอังกฤษให้ส่งตัว น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาประเทศไทย

ในจดหมายดังกล่าวได้อ้างถึง สนธิสัญญาระหว่างสหราชอาณาจักรและสยามปี 1911 ที่ว่าด้วยการส่งตัวอาชญากรผู้หลบหนีคดีกลับประเทศ อ้างสิทธิร้องขอให้ส่งตัว น.ส. ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็น บุคคลที่มีสัญชาติไทย และเชื่อว่าพำนักอยู่ในสหราชอาณาจักรกลับไปรับโทษในประเทศไทย



จดหมายที่มีเนื้อหา 6 ย่อหน้า ความยาว 1 หน้าครึ่ง บรรยายว่า:

“สถานเอกอัครราชทูตไทยขอส่งความปรารถนาดีมายังกระทรวงการต่างประเทศ เรามีความยินดีและเป็นเกียรติที่จะอ้างอิงถึง สนธิสัญญาระหว่างสหราชอาณาจักรและสยามปี 1911 ที่ว่าด้วยการส่งตัวอาชญากรผู้หลบหนีคดีกลับประเทศ ภายใต้คำสั่งการของรัฐบาลไทย และบทบัญญัติในสนธิสัญญาดังกล่าว ทางสถานทูตจึงขอใช้สิทธิร้องให้ส่งตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บุคคลที่มีสัญชาติไทยและเชื่อว่าพำนักอยู่ใน สหราชอาณาจักรกลับประเทศไทย

“นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นบุคคลที่ทางการไทยต้องการนำตัวมารับโทษจำคุก 5 ปี ภายหลังคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองที่พิพากษาว่าเธอมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ด้วยเหตุนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงออกหมายจับตั้งแต่มีคำตัดสินเมื่อ 27 กันยายน 2561 เพื่อนำตัว นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มารับโทษ

หากรัฐบาลอังกฤษเห็นว่าความผิดที่กล่าวถึงข้างต้นไม่อยู่ในบัญชีการกระทำความผิดของบุคคลอันเป็นการให้ส่งตัวให้ประเทศต้นทางดำเนินคดีได้ตามที่ ระบุไว้ใน มาตรา 2 วรรค 1 ของสนธิสัญญาดังกล่าว รัฐบาลไทยจึงร้องขอมาด้วยความเคารพให้รัฐบาลอังกฤษได้พิจารณาความผิดข้ออื่นๆที่ระบุไว้ ในวรรคสุดท้ายของมาตรา 2 ที่ระบุว่า “การส่งตัวกลับ อาจกระทำได้ภายใต้ความเห็นชอบของประเทศนั้น หากการกระทำความผิดทางอาญานั้น เป็นความผิดภายใต้กฎหมายของทั้งสองประเทศคู่สัญญา” ในกรณีนี้รัฐบาลไทยขอให้คำมั่นว่าจะร่วมมือและตอบแทนอย่างเต็มที่หากได้รับ การร้องขอทำนองเดียวกันจากรัฐบาลอังกฤษ

“คำร้องขอส่งตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับไทยประกอบไปด้วย บทสรุปข้อเท็จจริงของคดี รวมทั้งสำเนาคำพิพากษาที่เกี่ยวข้อง และหมายจับที่แนบมาด้วย



“ทางสถานทูตรู้สึกเป็นเกียรติที่จะแจ้งต่อกระทรวงต่างประเทศด้วยว่าคำร้องนี้ไม่เกี่ยวพันกับการสอบสวน ดำเนินคดี หรือ การลงโทษบุคคล ที่กระทำความผิดเกี่ยวกับทางการเมืองหรือการทหาร เธอผู้นี้ยังไม่ได้รับการอภัยโทษ หรือ นิรโทษ อีกทั้งหมายจับนี้ไม่มีวันหมดอายุ สถานเอกอัครราชทูตไทยอยากขอความกรุณาจากท่านให้เก็บคำร้องนี้ไว้เป็นข่าวลับและรีบดำเนินการต่อคำร้องนี้อย่างเร่งด่วน

“ท้ายนี้ สถานเอกอัครราชทูตไทย ขอส่งความปรารถนาดี และความนับถืออย่างสูงมายังกระทรวงการต่างประเทศ

สถานเอกอัครราชทูตไทย ลอนดอน
5 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 (2018)

https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_121966


ครั้งหนึ่งรองนายกประวิตรส่งอุยกูร์ให้จีน 109 คน ทำแบบนี้แหละ รวบรัดตัดตอน ส่งตอนไม่มึใครรู้ จีนส่งเครื่องบินมารับไป หนนั้นก็ฮือฮามากแล้วเพราะดันมีภาพพวกเขาในเครื่องบินถูกปล่อยออกมา ในเครื่อง ถูกนั่งประกบโดยจนท. ถูกใส่ถุงดำคลุมหัว เป็นสภาพนักโทษอุกฉกรรจ์


ภาพ “อุยกูร์” 109 คน ขณะถูกจับคลุมหัว-ขึ้นเครื่องส่งตัวกลับจากไทย ในสมัยรัฐบาลประยุทธ์


Noi Thamsathien
16 hours ago
·
ครั้งหนึ่งรองนายกประวิตรส่งอุยกูร์ให้จีน 109 คน ทำแบบนี้แหละ รวบรัดตัดตอน ส่งตอนไม่มึใครรู้ จีนส่งเครื่องบินมารับไป หนนั้นก็ฮือฮามากแล้วเพราะดันมีภาพพวกเขาในเครื่องบินถูกปล่อยออกมา ในเครื่อง ถูกนั่งประกบโดยจนท. ถูกใส่ถุงดำคลุมหัว เป็นสภาพนักโทษอุกฉกรรจ์ ผู้คนแตกตื่นเพราะมันมีข้อสงสัย มีข่าว ตลอดมาว่าจีนปราบปรามอุยกูร์ รัฐบาลไทยตอนนั้นเจอแรงกดดันหนักจนถึงขนาดต้องส่งสมช.ตามไปดูถึงจีน เราก็ไปฟังการแถลงข่าวหนนั้น จำได้ว่าสมช.กลับมาแถลงว่าจีนปฎิบัติกับอุยกูร์ดี ไทยกลายเป็นเครื่องการันตีให้จีนไปซะอีก ทั้งที่สิ่งที่เห็นอาจเป็นแค่ผักชี เป็นการใช้ชื่อเสียงของประเทศไปการันตีให้จีน ตอนนั้นฝ่ายต่างๆก็พยายามอย่างมากที่จะปรามไทยไม่ให้ส่งอุยกูร์ที่เหลือให้จีน และเราเข้าใจว่านี่คือกลุ่มอุยกูร์ที่เหลือทึ่กำลังติดตามกันอยู่ว่าโดนขนย้ายส่งให้จีนใช่หรือไม่ เพราะข่างการขนย้ายกลางดึก ล่าสุดสื่อรายงานว่ามีเครื่องบินจีนบินมาจากซินเจียง น่าจะรับตัวกลับหรือไม่
คือใช้ชีวิตในที่กักกันมันก็แย่อยู่แล้ว ตอนนี้ดันมีข่าวส่งตัวให้จีนอีก รัฐบาลไทยควรต้องออกมาชี้แจงเรื่องนี้ให้ชัดเจน
พลอ.ประวิตรทำมันก็อย่างหนึ่ง รัฐบาลนี้มาจากการเลือกตั้ง ควรเคารพสิทธิมนุษยชน และรัฐบาลในระบบประชาธิปไตยมันควรจะต้องมี accountability โปร่งใสหน่อยค่ะ



https://www.facebook.com/noi.thamsathien/posts/2892045860961916



สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติประนามไทยแล้ว เรื่องส่งตัวอุยกูร์ให้จีน


Noi Thamsathien
5 hours ago
·
สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติประนามไทยแล้วนะเรื่องส่งตัวอุยกูร์ให้จีน

ในแถลงการณ์ที่ออกสดๆร้อนๆวันนี้บอกว่า การกระทำนี้สวนทางกับที่พูดมาตลอดว่ายังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องจะส่งตัวให้จีน (คือมันแปลว่าโกหกไง) แถลงการณ์บอกว่าที่ผ่านมาพยายามขอเยี่ยมแต่ไม่ได้รับอนุญาต นี่เป็นข้อมูลที่ประนามไทยมาก เพราะดูว่าไม่มีมนุษยธรรม

ในส่วนของข้อกฎหมาย ยูเอ็นเอชซีอาร์บอกว่า การส่งตัวกลับโดยที่คนที่ถูกส่งจะไม่ปลอดภัยเผชิญอันตราย อันนี้ผิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และขัดกับมาตราสิบสามของพรบ.ป้องกันการอุ้มหายซ้อมทรมานของไทยเอง ขัดกับมาตรา สิบหกของ ASEAN Human Rights Declaration และยังขัดกับมาตราสิบสี่ของUniversal Declaration of Human Rights หรือปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ

ตอนนี้กลุ่มองค์กรของอุยกูร์นอกจีนออกมาเรียกร้องให้นานาชาติลงโทษไทย บอกว่าไทยจับมือจีนก่ออาชญากรรมกับอุยกูร์ ให้มีการสอบสวนกรณีนี้ ให้ตรวจสอบไทยที่ส่งอุยกูร์กลับหนก่อนหน้านี้ด้วย คือเสียงเรียกร้องนี้คงยากจะไปได้ไกล แต่ใครจะรู้ล่ะ งานนี้คือชักศึกเข้าบ้านชัดๆ เป็นการปักธงให้ประเทศมีภาพเป็นผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างโจ๋งครึ่ม ไม่ปกป้องผู้อ่อนแอ ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ เครดิตตก ถ้าตอนนี้บอกนานาชาติว่าไม่ได้ละเมิดสิทธิคนในประเทศก็คงมีคำถาม ภาพลักษณ์ที่ออกมาที่แน่ๆอีกอย่างคือแนบชิดกับจีน แนบชิดไม่ใช่แบบเท่าเทียมด้วยนะ

ผบ.ตร.ยอมรับว่าไทยส่งตัวอุยกูร์ให้จีน เป็นการทำงานสามฝ่าย จีนขอมา ตร.ประสานกับสมช.จัดให้ งานระดับนี้นายกไม่รู้เป็นไปไม่ได้ มันต้องเป็นการขอระดับรัฐบาล จึงได้มีการสั่งการลงไปยังหน่วยงานระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ

ผบ.ตร.บอกว่า งานนี้เป็นเรื่องความสมัครใจไม่ได้บังคับ เราว่าคำพูดนี้ดูแคลนคนฟังมาก ถ้าพวกเขาสมัครใจคงไม่หนีออกมาจากจีนแต่แรกแล้ว ถัดมาบอกว่าจีนให้คำมั่นจะปฎิบัติกับอุยกูร์ด้วยดี คือเรื่องสิทธิกับจีน จะมีใครสักกี่คนเชื่อนอกจากไอโอ อีกอย่าง มีรายงานว่า ศาลไทยเองยังอยู่ระหว่างพิจารณากรณีพวกเขา การส่งตัวให้จีนมันตัดตอนกระบวนการทางศาล

เรื่องไม่ตลกอีกอย่าง สส.เพื่อไทยในสภาแย้งในระหว่างการอภิปรายเรื่องอุยกูร์แปลกๆ เช่นคำว่าอุยกูร์มันไม่ควรใช้เพราะพวกเขาเป็นคนจีน คือนั่นมันสัญชาติไหม อุยกูร์เป็นเชื้อชาติ เป็นกลุ่มคนพูดภาษาในตระกูล Turgic อาศัยในซินเจี๋ยงที่เป็นเขตปกครองตนเองในจีน มันย่อมเรียกได้ คืออย่ากลัวจะทำให้จีนไม่พอใจจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

หรือต้องกินแคลเซียม
อ่านเพิ่ม
UN Human Rights Chief deeply troubled by Thailand’s deportation of Uyghurs to China


https://www.ohchr.org/en/press-releases/2025/02/un-human-rights-chief-deeply-troubled-thailands-deportation-uyghurs-china
.....

https://www.facebook.com/photo?fbid=2892503974249438&set=a.314073345425860


วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 27, 2568

นายกฯ อิ๊งโดนสองเด้ง ทั้งจากการที่ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ‘คนเดียว’ และกรณีไทยส่งชาวอัยกูร์ ๔๘ คนไปให้จีน ผิด ม.๒๖ พรบ.ป้องกันทรมาน

เท่ากับว่าเวลานี้ นายกฯ อิ๊งโดนสองเด้ง ทั้งจากการที่ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ คนเดียว ประเด็นขาดคุณสมบัติ ฯลฯ แล้วยังกรณีส่งชาวอุยกูร์ ๔๘ คนให้จีน ผิด พรบ.ป้องกันการทรมาน แสดงว่าไม่รู้อะไร เพราะมีคนบริหารแทน

เช้าตรู่วันนี้ราวตีสองครึ่ง ปรากฏมีรถตู้ทึบ ๓ คันทะยอยออกจากกองตรวจคนเข้าเมือง ซอยสวนพลู ท่ามกลางผู้สื่อข่าวและ ส.ส.ฝ่ายค้านที่คอยจับจ้อง ตามข่าวลือว่าจะมีการนำส่งชาวอุยกูร์ที่ถูกกักตัว กลับไปสู่ประเทศจีน

ประชาไทพบ ตม.สวนพลูย้ายผู้ต้องกัก ๓ ชุดกลางดึก ไม่ทราบเป็นอุยกูร์หรือไม่” เนื่องจากรถทุกคันปิดทึบมองไม่เห็นภายใน “รถขนผู้ต้องกักชุดแรกพุ่งออกมาเร็วมาก” โดยขึ้นทางด่วน “จากนั้น ตร.ก็ปิดทางเพื่อไม่ให้รถคันอื่นตามขึ้นทางด่วนไปได้”

Nattharavut Kunishe Muangsuk เขียนถึงเรื่องนี้ว่า “เรื่องส่งอุยกูร์ชุดสุดท้ายกลับจีนนี่ที่น่าประหลาดใจ คือคดียังอยู่ในกระบวนการของศาลไทย แต่ดำเนินการส่งกลับแบบลับๆ ล่อๆ และรีบเร่ง แถมแปะเทปห้องขัง เหมือนไม่ใช่คน”

เขาว่าการส่งกลับไปให้จีนแทนที่จะผลักดันไปยังประเทศที่สามแบบนี้ มีการแลกเปลี่ยนอะไรกับจีนหรือเปล่า “เราจะรับมือปฏิกิริยาจากโลกมุสลิมอย่างไร เพราะมันเสี่ยงต่อการชักศึกเข้าบ้านอย่างมาก” มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจะเดินทางไปยังศาลอาญา

“เพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนฝ่ายเดียวโดยพลัน ตามมาตรา ๒๖ พ.ร.บ.”  ป้องกันทรมานฯ ด้าน Thanapol Eawsakul วิจารณ์ว่าถ้าส่งจริงจะกระทบ ๓ ชิ่ง ทั้ง น.ส.แพทองธาร นายทักษิณ ชินวัตร และอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย ประธานอาเซียน

ทางพรรคฝ่ายค้าน รังสิมันต์ โรม ชี้ว่าเป็นเรื่องไม่ดีต่อการเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนยูเอ็นของไทย โดยเฉพาะไทยเรามี พรบ.ป้องกันซ้อมทรมานและอุ้มหาย ซึ่งมาตราสำคัญห้าม “ส่งคนที่เรารู้ดีว่าเมื่อส่งไปแล้วจะเป็นอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกาย”

รังสิมันต์บอกว่ากำลังหารือกันในฝ่ายค้านจะตั้งญัตติด่วนหรือไม่ ขณะที่กระบวนการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ได้เริ่มขึ้นแล้ว ข้อกล่าวหาสำคัญคือ “ตัวนายกฯ ขาดคุณสมบัติ ขาดความรู้ความสามารถ ขาดเจตจำนงที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน”

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ปชน.กล่าวว่า “ทุกๆ ปัญหานั้นนะครับ เกิดจากตัวนายกฯ เอง ที่ไม่สามารถควบคุมเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลได้...เราควรที่จะอภิปรายที่ตัวนายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว...ที่จะต้องเป็นผู้ตอบชี้แจง”

สำหรับ น.ส.แพทองธาร มีอาการหวั่นไหวอยู่เหมือนกัน แต่ก็มั่นใจ “พรรคร่วมไม่ปล่อยลอยแพค่ะ ส่งข้อความไปขอความช่วยเหลือจากทุกคนแล้วว่า มือใหม่ ไม่เคยโดนอภิปรายมาก่อน ทุกคนพร้อมที่จะสนับสนุนค่ะ

(https://www.pptvhd36.com/%E0%B8%81/243719, https://www.matichon.co.th/politics/news_5068368, https://crcfthailand.org/2025/02/27/58268/ และ https://prachatai.com/journal/2025/02/112242) 

ลูกบ้านของคอนโดหลายแห่งที่พักอาศัยในย่านมักกะสัน สุขุมวิท และอโศก กำลังได้รับความเดือดร้อนจากกลุ่มทุนจีน เอาคอนโดมาเปิดโรงแรม และเอากุญแจไปห้อยตามเสาไฟฟ้าและทางเท้า





https://x.com/captainnerd23/status/1894722866018677239
https://x.com/ThaiPBS/status/1894561041582821481


สะพัดฝ่ายค้านสับขาหลอก หลังข้อสอบรั่ว ล็อกเป้าซักฟอก “แพทองธาร” คนเดียวโทษฐานแลกผลประโยชน์ของชาติ เพื่อประโยชน์ตัวเอง-ครอบครัว


The Politics ข่าวบ้าน การเมือง
10 hours ago
·
สะพัดฝ่ายค้านสับขาหลอก หลังข้อสอบรั่ว ล็อกเป้าซักฟอก “แพทองธาร” คนเดียวโทษฐานแลกผลประโยชน์ของชาติ เพื่อประโยชน์ตัวเอง-ครอบครัว

วันที่ 26 ก.พ. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคประชาชน (ปชน.) เกี่ยวกับการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ที่ฝ่ายค้านกำหนดจะยื่นญัตติต่อประธานสภาฯ ในวันพรุ่งนี้ (27 ก.พ.) ว่า เดิมพรรค ปชน. วางเป้าซักฟอก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีรวม 10 คน แต่ล่าสุดทีมยุทธศาสตร์ของพรรคสับขาหลอก เปลี่ยนแผนโดยจะล็อกเป้ายื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร เพียงผู้เดียวเท่านั้น
.
สำหรับเหตุผลนั้นเนื่องจากเกิดกรณีข้อสอบรั่ว เกลือเป็นหนอนภายในพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นพรรคใด ที่แอบส่งการบ้าน รายชื่อรัฐมนตรี 10 คน รวมถึงพฤติการณ์ต่างๆ ของรัฐมนตรีไปให้สื่อมวลชนเผยแพร่ ช่วงบ่ายวันที่ 26 ก.พ. เสมือนเป็นการปล่อยข่าวส่งซิกให้รัฐบาลล่วงหน้า
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับอีกเหตุผลของการจับนายกรัฐมนตรีขึ้นเขียงแต่เพียงผู้เดียว เพราะต้องการดัดหลัง สั่งสอนรัฐบาล กรณีที่ฝ่ายค้านส่งสัญญาณขอเวลาในการอภิปรายไป 5 วัน เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอย่างเต็มที่ แต่ทางรัฐบาลไม่สนใจ ส่งสัญญาณ ตัดเวลาให้อภิปรายเพียง 2 วัน ดังนั้นทีมยุทธศาสตร์จึงตัดสินใจเปลี่ยนแผน จัดหนักนายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียวไปเลย เวลาอภิปรายจะได้เพียงพอ
.
นอกจากนี้ทีมยุทธศาสตร์ยังมองว่า การหว่านแหอภิปรายรัฐมนตรีบวกนายกฯ รวม 10 คน อาจจะสูญเปล่า อภิปรายไม่เข้าเป้า อีกทั้งยัง
อาจจะเปิดช่องให้นายกรัฐมนตรี ลอยตัวเหนือปัญหาให้คนอื่นมาตอบแทน เลยเปลี่ยนแผนให้โฟกัสไปที่ตัวนายกฯ คนเดียวไปเลย
.
ด้วยสภาพสถานการณ์การเมืองขณะนี้ต้นตอของปัญหาจริงๆ คือรัฐบาลยอมแลกผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพื่อให้ผลประโยชน์ของตัวเองและครอบครัว อีกทั้งยอมแลกจนทุกอย่างพังไปหมด เลยต้องถอนรากถอนโคนที่คนๆ นี้เพียงคนเดียว และให้นำไปสู่การยุบสภาฯ แม้จะล็อกเป้า อภิปรายนายกฯเพียงคนเดียว แต่จะมีการอภิปรายสาวไส้ขยายผลแต่ละกระทรวงด้วย ดังนั้นในส่วนที่ฝ่ายค้านมองว่า กระทรวงใดมีความผิดที่ชัดเจน จะมีการโรยเกลือ ยื่นร้อง ป.ป.ช. หลังจากศึกซักฟอกต่อไป

#ThePolitics

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1060071322828029&set=a.479371834231317




 

‘ดร.ประจักษ์’ วิเคราะห์ ‘หุ้นส่วนทางอำนาจใหม่’ ‘ชนชั้นนำไทย’ บน ‘ฉันทมติเปราะบาง’ ระวัง! หลีกไม่พ้น ‘วงจรอุบาทว์

https://www.matichonweekly.com/column/article_828992

มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 กุมภาพันธ์ 2568

หมายเหตุ เนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทสัมภาษณ์ของ “รศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ” คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในรายการ “ประชาธิปไตยสองสี” โดย “ใบตองแห้ง-อธึกกิต แสวงสุข” ทางช่องยูทูบมติชนทีวี

“ผมมองตรงกันกับอาจารย์เกษียร เตชะพีระ แกใช้คำว่า ‘ฉันทามติ 112’ ตอนนี้อีลีตมีฉันทามติร่วมกันอย่างหนึ่ง เป็นฉันทามติขั้นต่ำมาก ก็คือว่าไม่ให้ไอ้สิ่งแปลกปลอมทางการเมืองเข้าสู่อำนาจได้ คือมีศัตรูร่วม

“แต่ถามว่าที่มาจับมือกัน จะทำอะไร? จะเปลี่ยนสังคมไปในทิศทางไหน? มีนโยบายร่วมกันไหม? มีวิชั่นร่วมกันไหม? ก็ไม่มี มันก็เลยไปแบบงงๆ ไปแบบตะกุกตะกัก มันติดขัดไปหมด เพราะไม่มีอะไรร่วมกัน

“ถามว่ารัฐบาลเอง เพื่อไทยก็มีปัญหาทั้งกับรวมไทยสร้างชาติกับภูมิใจไทย เพราะจริงๆ ในแง่แนวทางทางการเมือง มันคนละทาง นโยบายเศรษฐกิจก็ไม่ได้เห็นตรงกัน ไม่ต้องพูดถึงความบาดหมางในอดีต ยังไงมันก็มีอยู่ มันก็ทำงานร่วมกันลำบาก

“แต่อยู่ด้วยกันได้ รวมถึงองคาพยพอื่นๆ ในชนชั้นนำก็ยังเกาะกันอยู่ได้ เพราะไม่เอาก้าวไกล ไม่เอาความเปลี่ยนแปลง ไม่เอาการรื้อโครงสร้าง อาจารย์เกษียรเรียกอันนี้ว่า ‘ฉันทามติ 112’

“ผมเรียกว่ามันเป็นสภาวะ ‘หุ้นส่วนทางอำนาจใหม่’ ที่คนที่เคยเป็นศัตรูกันมาจับมือกันเป็นหุ้นส่วนทางอำนาจ เพื่อรักษาระเบียบอำนาจเดิม คือผลประโยชน์ของชนชั้นนำต้องไม่ถูกแตะต้อง

“ก็คือการผูกขาดทางเศรษฐกิจในมือกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่ม ระบอบที่มันไม่ต้องเป็นประชาธิปไตยมาก เสียงของประชาชนไม่ต้องมามีความหมายมาก ให้อีลีตเขาตกลงกันเอง แล้วก็ห้ามปฏิรูปกองทัพ ห้ามปฏิรูป 112 ปฏิรูปอะไรที่เกี่ยวกับพระราชอำนาจ คือรักษาระเบียบโครงสร้างการเมืองและเศรษฐกิจแบบเดิมเอาไว้ แค่นี้เอง

“ทำอะไรด้วยกันไม่รู้ ว่าไปทีละเรื่อง แล้วแต่กระแส แล้วแต่สถานการณ์ นอกจากว่าไปทีละเรื่องแล้ว มันยังมีความไม่ไว้วางใจกันอยู่สูง มันเลยเป็น ‘ฉันทามติที่เปราะบางมาก’ จะล้มเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะมันวางอยู่บนการมีผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น ขั้นต่ำ แต่ไม่ได้มีอุดมการณ์หรือนโยบายอะไรร่วมกันเลย
“ถ้ามองโลกในแง่ร้าย ผมวิเคราะห์มาในทางนี้ ก็สงสัยไม่รอดแหงๆ 44 ส.ส. (พรรคก้าวไกล/ประชาชน) ที่คดีอยู่ใน ป.ป.ช. เพราะถ้าเกมของเขา ยุทธศาสตร์ใหญ่ของชนชั้นนำ คือขจัดไอ้สิ่งแปลกปลอมนี้ออกไปจากการเมืองไทย ผมว่าเราก็ต้องเตรียมมองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อน มันก็จะต้องนำไปสู่การตัดสิทธิ์ 44 ส.ส.

“ไม่ใช่เรื่องของกฎหมายเลย ไม่ใช่เรื่องอะไรทั้งสิ้น เป็นเรื่องของอำนาจล้วนๆ”

https://www.youtube.com/watch?v=ziMG5uqIVnU

“ผมคิดว่า ตราบใดที่หุ้นส่วนทางอำนาจนี้ยังมีฉันทมติตรงนี้อยู่ มันก็จะไม่มีอะไรที่มาเป็นอุบัติเหตุใหญ่ถึงขั้นล้มรัฐบาล จะไม่มีการรัฐประหาร สิ่งที่มันจะเกิดขึ้น เขาอาจจะเปลี่ยนแค่ตัวนายกฯ เปลี่ยนรัฐมนตรี หรือสกัดไม่ให้ทำนโยบายบางอย่าง แต่มันจะไม่ได้ถึงขั้นที่มาเปลี่ยนดุลทางอำนาจมากเกินไป ถึงขั้นล้มรัฐบาลเลย อันนี้ไม่มี

“ฉะนั้น การเมืองจะนิ่งๆ ไปอย่างนี้ จนถึงปี 2570 ภายใต้ฉันทมตินี้ เป็นการนิ่งที่อาจจะไม่ได้มีการพัฒนาอะไรมากนัก ข้อดีคือไม่มีความรุนแรงบนท้องถนน ไม่มีความขัดแย้งสูง ทุกอย่างถูกกดเอาไว้ กระทั่งคนที่ไม่พอใจสภาวะแบบนี้ มันก็ถูกทำให้หมดหวังว่าคุณเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก คุณไปรอเลือกตั้ง 2570 แล้วกัน

“(เลือกตั้ง 2570 คุณก็เปลี่ยนไม่ได้อีก เพราะพรรคประชาชนถูกตัดหัวหมด – ใบตองแห้ง) ตรงนี้มันจะเป็นอันตราย ถ้ามันไปทำลายความหวังมากเกินไป ถึงจุดหนึ่งมันก็มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ฟางเส้นสุดท้าย’ ในทางการเมือง ไปทำอะไรบางอย่างที่มันเป็นชนวน เราไม่รู้ล่วงหน้าหรอกว่าอันไหนมันจะจุดติด จุดไม่ติด ก่อนหน้าที่จะมีการประท้วงครั้งใหญ่

“ถ้าคุณมั่นใจในอำนาจของตัวเองมากเกินไป แล้วคุณคิดว่าคุณกดหัวประชาชนไปได้เรื่อยๆ คุณทุบทำลายความหวังเขาไปเรื่อยๆ ไม่สนใจไยดีอะไรทั้งสิ้น ไม่แคร์ วันหนึ่งมันก็อย่างที่ผมว่า อาจจะระเบิดออกมาก็ได้ ในโลกนี้มันก็มีหลายครั้งแล้ว อยู่ดีๆ มันก็เกิดอาหรับสปริง หรือปีที่แล้ว บังกลาเทศ คนออกมาขับไล่นายกรัฐมนตรี

“ผมว่ามันก็อันตราย ถ้าปี 2570 คนตั้งความหวังว่าจะเปลี่ยน ผ่านคูหาเลือกตั้ง แล้วพรรคการเมืองที่เขาสนับสนุน ตัวแทนที่เขาอยากเห็นเข้าไปสู่อำนาจ มันโดนตัดตอนตั้งแต่ต้น อันนี้ ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น มันอาจจะนำไปสู่อะไรก็ไม่รู้ เราไม่รู้ล่วงหน้าหรอก มันไม่สามารถ ‘ประเมินต่ำ’ ได้ การเมืองไทยมันไม่เคยนิ่งนาน

“เพราะการเมืองสภาพแบบนี้ไม่ได้มีใครชอบทั้งสิ้น การเมืองแบบอึมครึม การเมืองที่บีบให้ต้องมาเกิดดีลแบบนี้ แล้วตั้งรัฐบาลที่มีแต่ ‘ฉันทามติขั้นต่ำ’ ว่าไม่เอาอะไร แต่ไม่ได้มีอะไรร่วมกัน สุดท้ายมันแก้ไขอะไรไม่ได้ ปัญหาก็จะหมักหมม ยังไงคนก็ต้องการความเปลี่ยนแปลงอยู่

“หรือกระทั่งคนที่หนุนรัฐบาลปัจจุบัน เขาก็อยากเห็นผลงานที่มากกว่านี้ แต่มันก็ติดกับดักไปหมด เพราะชนชั้นนำเขาไม่ได้ต้องการให้เปลี่ยนอะไรมาก เพื่อไทยเองจะไปเปลี่ยนอะไรมากก็ไม่ได้ มันก็จะไปขัดกับฉันทามติที่เขากำหนดเอาไว้ ตีกรอบเอาไว้ให้ทำได้แค่นี้

“พอสภาพเป็นอย่างนี้ มันก็ไม่ได้มีความชอบธรรมมาก ไม่ได้มีความนิยมมาก แล้วสังคมก็ยังแบ่งขั้วแบ่งข้าง ยังไม่ได้มี ‘ฉันทมติใหม่’ ที่มันจะมาหลอมรวมทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน มันก็เป็นการเมืองที่พร้อมจะเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา แต่เราไม่รู้เมื่อไหร่”

“(คนก็กลัวว่ามันจะกลายเป็นรัฐประหาร – ใบตองแห้ง) การเมืองไทยมันเลยอยู่ในวงจรอุบาทว์อย่างแท้จริง มันเละเทะ มันบิดเบี้ยวไปหมด มันก็เหมือนกับว่าชนชั้นนำเองหรือกองทัพ เขาก็มีเครื่องมือในการขู่ เฮ้ย! ถ้าจะมาเปลี่ยนอะไรมากเกินไป เดี๋ยวทำรัฐประหารนะ

“ถ้าเปลี่ยนอะไรไม่ได้ การเมืองมันก็ไม่ไปไหน สังคมมันก็ไม่พัฒนา เศรษฐกิจก็แย่ พูดง่ายๆ ฉันทมติของชนชั้นนำอันนี้ที่จะสกัดความเปลี่ยนแปลง มันเป็นฉันทมติที่ ‘ฝืน’ กระแสความคิดของคนส่วนใหญ่ในสังคม

“คนต้องการความเปลี่ยนแปลงที่มากกว่านี้ มันเลยสวนทางกัน อีลีตเขาไปจับมือกัน เขาตกลงกันได้ แต่สังคมไม่ได้เห็นด้วยกันแบบนั้นทั้งหมด

“หรือที่อีลีตบอกว่า ห้ามแตะต้อง 112 สิ้นเชิง 112 กลายเป็นอะไรที่แก้ไม่ได้ แต่ถ้าไปถามสังคมจริงๆ ผมว่ากระแสต่อต้าน (ขบวนการรณรงค์แก้ไข ม.112) มันน้อยลงเยอะแล้วนะ คนเข้าใจเรื่อง 112 มากขึ้น หรือคนตระหนักรู้มากขึ้นว่ามันมีปัญหา

“เผลอๆ มันค่อยๆ ก่อตัวเป็นฉันทมติว่ามันต้องแก้บ้าง มาตรา 112 นี้ แต่อีลีตบอก ห้ามแก้เลย มันสวนทางกัน ฉันทามติของชนชั้นนำมันไม่ได้สะท้อนความคิดของคนในสังคมทั้งหมด แต่คุณจะใช้กำลังบีบให้คนห้ามคิดต่าง”

https://www.matichonweekly.com/column/article_828992