กระบวนยุติธรรมไทยวันนี้ (จะสี่ปียุค
คสช.) ถ้าไม่บิดเบี้ยวก็ล้าหลังเต็มทน ดูคดี เปรมชัย กรรณสูต เศรษฐีบริษัทก่อสร้างอิตาเลี่ยนไทย
เข้าป่าล่าสัตว์สงวนในเขตหวงห้าม ยังไม่ทันได้พิจารณาคดี หลุดไปแล้ว ๒ กระทง
หลังจากรอง ผบ.ตร. คนดังของ คสช.
แถลงว่าการสอบสวนคดีนายเปรมชัยคืบหน้าไปไกลทีเดียว ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วได้ความว่าผู้ต้องหา
‘ไม่ผิด’ ในกรณี ‘ทารุณกรรมสัตว์’ เพราะไม่เข้าข่ายการกระทำความผิดตาม
พรบ.ป้องกันทารุณกรรมสัตว์ พ.ศ.๒๕๕๗
เนื่องจาก “ในมาตรา ๓ ที่ระบุว่าสัตว์ที่เลี้ยงไว้เป็นสัตว์บ้าน
สัตว์เลี้ยงไว้ใช้งาน ใช้เป็นอาหาร เพื่อการแสดง
และให้รวมถึงสัตว์ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ตามที่รัฐมนตรีประกาศ แต่ยังไม่ได้ประกาศถึงสัตว์ป่าคุ้มครอง”
ซึ่งก็คือ
กฎหมายค่อนข้างล้าหลัง ไล่ตามไม่ทันพัฒนาการสังคม แม้จะครอบคลุม ‘สัตว์ป่า’ แต่มีข้อแม้ให้เป็นไปตามรายชื่อสัตว์ที่รัฐมนตรีประกาศ
บังเอิญผ่านมาสามปีกว่ารัฐมนตรียังไม่มีเวลาประกาศ เจ้าสัวนักล่าเลยรอดตัวไป
นี่เป็นการบิดเบี้ยวกฎหมาย
ในเมื่อเสือดำเป็นสัตว์ป่าสงวน แม้จะยังไม่ได้มีการประกาศชื่อใน
พรบ.คุ้มครองสัตว์ป่า ก็น่าจะตีความได้ว่าเข้าข่ายอยู่แล้ว แต่นี่ตำรวจ
คือเจ้าพนักงานสอบสวนรีบตีความยกประโยชน์แก่จำเลยเสียก่อนกระบวนพิจารณาความจะเริ่ม
เสร็จแล้วไหนๆ ก็ไหนๆ
สอบมาได้ตั้งเกือบร้อยแล้วอย่าให้ต้องคว้าน้ำเหลว
หันไปเล่นงานเจ้าหน้าที่ซึ่งทำการจับกุม และแจ้งความเรื่องนี้ดีกว่า พล.ต.อ.ศรีวราห์
รังสิพราหมณกุล “ยังสั่งการให้พนักงานสอบสวน
พิจารณาเจตนารมณ์ของผู้ที่แจ้งความในข้อหาทารุณกรรมสัตว์ว่ามีเจตนากลั่นแกล้ง
หรือมีจุดประสงค์อื่นไหม”
ตานี้พวกเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าต้องพากันหนาวละสิ
“คดีกำลังพลิก
คล้ายกับว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะแจ้งข้อหาเจ้าหน้าที่ป่าไม้เรื่องของการละเว้นปฏิบัติหน้าที่นั้น”
เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ที่เข้าเวรประจำคนหนึ่งให้ความเห็นกับผู้สื่อข่าวอมรินทร์ทีวี
“ตนขอยืนยันว่า
ในวันเกิดเหตุทุกคนต่างปฏิบัติหน้าที่กันอย่างเต็มที่ ไม่ได้ปล่อยปละละเลย
แต่ทำไมถึงกลับถูกตั้งข้อหาว่าละเลยการปฏิบัติหน้าที่”
มิหนำซ้ำเจ้าหน้าที่ตำรวจทองผาภูมิที่รับแจ้งความจากหัวหน้าด่านกักกันสัตว์กาญจนบุรี
กลับถูกหัวหน้าคือ ผู้กำกับฯ สภ.ทองผาภูมิสั่งภาคทัณฑ์ ฐานที่รับแจ้งความ “ให้ดำเนินคดีกับนายเปรมชัย
กรรณสูต กับพวก ในความผิดฐานกระทำการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควร”
เสียอีก
สำหรับอีกกระทงที่หลุด เกี่ยวกับที่ปรากฏในคลิปเสียงต่อรองระหว่างคณะล่าสัตว์ของนายเปรมชัยกับเจ้าหน้าที่
ซึ่งเป็นการสนทนาหลังถูกจับกุมเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานั้น
พ.ต.อ.วัชรินทร์
พูสิทธิ์ รองผู้บังคับการ ปปป. “ยืนยันว่าจากการตรวจสอบนั้นไม่ใช่เสียงของนายเปรมชัย
แต่เป็นของคนขับรถนายเปรมชัย คือนายยงค์ โดดเครือ ซึ่งพูดคุยในเรื่องทั่วไป”
“ทั้งนี้ในวันที่ ๘ มีนาคม
๒๕๖๑ จะมีการเชิญตัวนายวิเชียร ชินวงศ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก
กับพยานอีก ๕ คนมาให้ปากคำเพิ่มเติม
ก่อนจะมีการประชุมสรุปว่าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาหรือไม่ในวันที่ ๑๒ มีนาคมนี้”
(จาก รายการทุบโต๊ะข่าว, https://hilight.kapook.com/view/168783 และ https://hilight.kapook.com/view/168760)
รูปการณ์จากท่าทีของรอง ผบ.ตร.ในตอนนี้
น่าจะยึดมั่นถือมั่นตามกฎหมายที่ล้าหลัง ไม่แจ้งข้อกล่าวหาต่อผู้กระทำความผิด ทำนองเดียวกับที่มีการแจ้งข้อกล่าวหาด้วยกฎหมายล้าหลังมาแล้วเช่นกัน
มาตรฐานของผู้บังคับใช้กฎหมายไทยในประเด็นนี้จึงอยู่ที่
ฝ่ายผู้มีอำนาจต้องการจะ ‘ละโทษ’
หรืออยาก ‘กลั่นแกล้ง’ ใครนั่นต่างหาก
ดังเช่นกรณีไผ่ ดาวดิน
ที่ถูกศาลขอนแก่นปฏิเสธแล้วปฏิเสธเล่าไม่ยอมให้ประกันปล่อยตัวชั่วคราว
ด้วยข้ออ้างหนึ่งว่าเขาโพสต์เฟชบุ๊คหยามเหยียดศาล
โดยที่กฎหมายว่าด้วยการละเมิดต่อศาลนี้เป็นกฎหมายล้าสมัย
อยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ปี ๒๔๗๗ ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง จึงยังมีบทลงโทษที่ไม่ได้คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน
แม้สิบปีต่อมามีการระบุไว้ในกฎหมายจัดตั้งศาลปกครอง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงระวางโทษ
จากจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน ปรับ ๕๐๐ บาท ไปเป็นจำคุกไม่เกิน ๑ เดือน ปรับ ๕ หมื่นบาท
และใน พรป. ใหม่ยุค คสช.นี้ ที่ผ่านอนุมัติโดย
สนช.แล้ว ยังไม่ได้ประกาศใช้ มีเพิ่มเติมให้นำ ป.วิอาญาเข้ามาประกอบเพื่อการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาก็ตาม
โดยเนื้อแท้ของกฎหมายยังคงไม่ได้มาตรฐานสากล ๓ กรณี
ดังที่ ผศ.ดร.เอื้ออารีย์ อิ้งจะนิล
อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กล่าวไว้ในการเสวนาเรื่องกฎหมายละเมิดอำนาจศาล ที่ศูนย์นิติศาสตร์ มธ. เมื่อ ๒๑
กุมภาพันธ์
“1) เป็นการลงโทษบุคคลหลายครั้งจากการกระทำกรรมเดียว
ทั้งถูกลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล
และยังอาจถูกดำเนินคดีฐานดูหมิ่นศาลหรือฐานอื่นได้อีก
2) ขาดความชัดเจน เมื่อไปศาลแต่ละแห่งก็จะเห็นป้ายชั่วคราวแปะไว้ไม่เหมือนกัน
3) ไม่ได้พิจารณาคดีโดยตุลาการที่เป็นอิสระและเป็นกลาง แต่เป็นคู่กรณีที่มีส่วนได้เสียด้วย”
2) ขาดความชัดเจน เมื่อไปศาลแต่ละแห่งก็จะเห็นป้ายชั่วคราวแปะไว้ไม่เหมือนกัน
3) ไม่ได้พิจารณาคดีโดยตุลาการที่เป็นอิสระและเป็นกลาง แต่เป็นคู่กรณีที่มีส่วนได้เสียด้วย”