เห็นข่าวทีแรกก็ว่า ‘อย่างเฮ’ พอโฆษกรัฐบาลแถลงเรื่องนี้ กลายเป็น ‘อย่างฮา’
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย ที่รัฐบาล คสช. เพิ่งประกาศหมาดๆ ถ้ารายได้รายปีน้อยกว่า ๓ หมื่นบาท ได้รับ ๓ พัน ถ้ามากกว่า ‘น้อย’ หน่อยนึง ปีละสามหมื่นขึ้นไปไม่เกิน ๑ แสน ได้พันห้า
โครงการนี้โฆษกห่านอูแจงว่าทั่นผู้ยิ่งยงแห่ง คสช. ย้ำว่านี่เป็น “มาตรการชั่วคราว ให้ครั้งเดียวแล้วจบ ไม่ใช่การให้เงินช่วยเหลือแบบรายเดือน” เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบ
“แต่จะแตกต่างจากประชานิยมในอดีต ที่มุ่งให้ความช่วยเหลือประชาชนแบบสะเปะสะปะ”
(http://www.js100.com/en/site/news/view/33425)
อ๊ะว้าว พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด แถลงว่านี่เป็นวิสัยทัศน์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มุ่งหมายจะบอกว่าไม่ได้ลอกเลียนใคร
แต่พลพรรคฝ่ายการเมืองที่เขาเคยทำประชานิยมมาก่อนแล้วกลับชี้ว่า ก็คือ “นโยบายหว่านเงิน...เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ” ดีๆ นี่เอง
นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว. พาณิชย์พรรคเพื่อไทยวิจารณ์แหลก
“การทำให้คนจนได้รับประโยชน์เป็นเรื่องที่ควรสนับสนุน เพราะเศรษฐกิจไม่มีสีและฝักฝ่ายทางการเมือง แต่รัฐบาลต้องใช้สติปัญญาคิดหามาตรการทางเศรษฐกิจที่ทำให้ประชาชนมีความหวัง จะเกิดการลงทุนและการจ้างงานทำให้คนยากจนมีรายได้อย่างต่อเนื่องซึ่งดีกว่าการแจกเงิน”
พร้อมกับฟื้นฝอยย้อนรอยอดีต “รัฐบาลนี้เคยสร้างวาทกรรมกล่าวหารัฐบาลเพื่อไทยที่ดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวว่าเป็นประชานิยม อ้างว่าการรับจำนำสูงกว่าราคาตลาดทำให้รัฐขาดทุน
ทั้งที่เป็นนโยบายสาธารณะทางเศรษฐกิจตามมาตรา ๘๔ (๘) ของรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ เพื่อให้สินค้าเกษตรได้รับราคาที่เหมาะสมและไม่ทำให้เสียวินัย เพราะไม่ได้เป็นการให้เปล่าเหมือนการแจกเงิน ทำให้เกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่มีกำลังซื้อ เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องตามมามากมาย”
(https://www.facebook.com/photo.php?fbid=550821261780775&set=a.432104336985802.1073741827.100005587187129&type=3&theater)
อีกคน อดีต รมว. พลังงาน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ แจงเละ “จะไม่ได้เกิดประโยชน์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจแต่อย่างใด เพราะเศรษฐกิจในภาพรวมยังแย่อย่างมาก...
ที่แท้จริงจะต้องแก้ในภาพรวมของทั้งประเทศมากกว่าการแจกเงินให้กับประชาชนกลุ่มหนึ่ งซึ่งไม่ต่างจากเช็คช่วยชาติ ๒,๐๐๐ บาท สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ทำไปแล้วศูนย์เปล่า”
นายพิชัยแนะด้วยว่า รัฐบาลควรที่จะคิดให้เบ็ดแก่ประชาชน มากกว่าให้ปลา “เพราะประขาชนยังนำไปหากินในอนาคตได้” และ “ควรพัฒนาแนวคิดที่เป็นประโยชน์ในระยะกลางและระยะยาว เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงต่อเนื่องให้ประชาชน ดีกว่านโยบายที่ให้ผลแค่ระยะสั้นแบบนี้”
(http://www.matichon.co.th/news/369977)
จะว่าคนที่ออกมาวิจารณ์เหล่านี้เป็นฝ่ายการเมืองตรงข้ามก็ใช่ แต่ว่าความงดงามของระบอบประชาธิปไตยอยู่ที่ การรับฟังข้อคิดเห็นและคำตำหนิของฝ่ายตรงข้าม
รัฐบาลของประยุทธ์อ้างเสมอว่ายึดอำนาจมาเพื่อสร้างประชาธิปไตยยั่งยืน การก่อสร้างมันต้องลงหลักตั้งแต่เสาเข็มไปถึงขึ้นโครงร่าง ไม่ใช่หยุดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นประชาธิปไตยไว้ก่อน ไม่รู้จะลงมือเมื่อไหร่
จำเพาะเจาะตรงในเรื่องเศรษฐกิจที่ประยุทธ์อ้าง เวลานี้หนี้สาธารณะของประเทศขึ้นไปเป็นเกือบ ๔๓ เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี
(รายละเอียดจากข่าวมติชนออนไลน์ http://www.matichon.co.th/news/369886ประกาศกระทรวงการคลังในราชกิจจานุเบกษาแจ้งว่า หนี้สาธารณะไทยเวลานี้อยู่ที่ ๕,๙๘๘,๓๘๖.๕๓ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๒.๗๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
ผลพวงไม่มากก็น้อยมาจากการจับจ่ายเงินคลังแบบอีลุ่ยฉุยแฉกของ คสช. ไม่รู้ส่วนตัวส่วนรวมแยกตรงไหน มั่วไปหมด แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ใครวิจารณ์ได้อย่างไร
นี่ก็ออกนโยบายใหม่ ‘ฟิตเนส’ สำหรับข้าราชการ ทุกบ่ายวันพุธตั้งแต่ ๑๕.๐๐ น. เป็นเวลาชั่วโมงครึ่ง ให้ต้องไปออกกำลังกายกัน บิ๊กตูบจะนำร่องฟิตเองร่วมกับข้าราชการทำเนียบ
อ้างว่าได้ไอเดียมาจากการประชุมอนามัยโลก มีประกาศปฏิญญากรุงเทพฯ ระบุว่าประชากรไทยติดนิสัยสังคมก้มหน้า เอาแต่ดูโทรศัพท์อัจฉริยะ เล่นคอมพิวเตอร์ ไม่ใช้การเคลื่อนไหวของร่างกาย กลายเป็นมนุษย์ ‘เนือยนิ่ง’ (น้องๆ ซอมบี้มั้ง)
(http://www.thairath.co.th/content/791392)
แบบนี้ไม่ใช่ไอเดียเจ๋งแล้วละ ไอ้การออกกำลังกายรักษาสุขภาพน่ะที่ไหนในโลกเจริญแล้วเขาส่งเสริมและถือปฏิบัติกันถ้วนหน้า ยกตัวอย่างในซิลิคอนแวลเล่ย์ แคลิฟอร์เนีย บริษัทใหญ่ๆ ด้านเทคโนโลยี่ จัดให้พนักงานมีสถานที่ออกกำลังกายเพื่อคลายเครียดระหว่างการงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มาก
แต่ไม่มีที่ไหนบังคับให้พนักงานต้องออกกำลังกายชั่วโมงครึ่งอย่างข้าราชการไตแลนเดีย (อาจมีที่เกาหลีเหนือหรือจีน ก็ขออภัย เราไม่ใช่คนแถวนั้น)
หรือว่านี่เป็นแนวคิดสุดวิเศษที่ได้จากสถาบันทหารไทย ซึ่งในตอนบ่ายเวลาราชการที่ไม่ใช่วันหยุด พวกนายทหารชอบปลีกเวลาไปออกกำลังกายกีฬากอล์ฟกันเป็นนิจสินอยู่แล้ว
ooo
แม่นอีหลีตี้นาง pic.twitter.com/G7yMGJ1boD— jomjai konjing (@jomjai_konjing) November 23, 2016