อิทธิฤทธิ์ “ทรัมป์ เอฟเฟกต์” เขย่าเศรษฐกิจโลกสะเทือนถึงเมืองไทย (คลิป)
ที่มา มติชนออนไลน์
18 พ.ย. 59
ก็แค่เปลี่ยนตัวประธานาธิบดี ตามกติกาเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกา แต่เหตุไฉน การได้ตัว “นายโดนัลด์ ทรัมป์” จากพรรครีพับลิกันมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ จึงเกิดปรากฎการณ์ที่เรียกกันว่า “ช็อคโลก” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานการณ์ “ผัวผวน” ทางเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุนทั่วโลก ปั่นป่วน สั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดิไหวในระดับ 10 ริกเตอร์!!
นับจากวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 9 พฤศจิกายน 2559 มาจนถึงนาทีนี้ กระแสคลื่นแห่งความไม่แน่นอน ยังส่งผลให้ตลาดทุน ตลาดเงิน ตลาดทองคำ ฯลฯ ทั่วโลกยังคงเหวี่ยงตัวขึ้นลงอย่างสนุกสนานและปรากฎว่าตลาดทองคำไม่ตอบรับเชิงบวกเหมือนที่คาดการณ์กันไว้ว่า หาก “ทรัมป์” มาราคาทองจะพุ่งพรวดแน่
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่อสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ ด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวต่อจีน รวมถึงความโผงผาง ไม่ยืดหยุ่นของทรัมป์ที่แสดงออกมาตลอดในช่วงหาเสียเลือกตั้ง
แต่พอเอาเข้าจริง “ทรัมป์” ดูจะโชว์คอนเน็กชั่นและวิสัยทัศน์ให้เห็นว่า เขาถนัดในการพูดคุยเจรจาต่อรองมากกว่าที่จะเปิดศึก การต่อสายตรงพูดจาภาษาดอกไม้กับกับ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน หรืออวยกันหวานชื่น กับ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย เปลี่ยนมุมมองใหม่ว่า ทรัมป์คงไม่ใช่สายเฮี้ยวที่จะเป็นผู้จุดชนวนความขัดแย้งหรือก่อสงคราม จึงไม่มีความจำเป็นที่คนจะหนีมาถือทรัพย์สินปลอดภัยเป็นทองคำอย่างที่คิดๆ กันไว้
สิ่งเดียวที่กลายเป็น “ขาขึ้น” และแข็งตัวขึ้นเรื่อยๆ คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ บนความเชื่อมุมใหม่ว่า นโยบายของ “ทรัมป์” ต่อจากนี้จะผลักดันให้เกิดการลงทุน สร้างเศรษฐกิจสหรัฐให้เติบโต ลดภาษี กระตุ้นการค้าขาย รวมถึงส่งผลดีต่อตลาดเงินและตลาดทุนของสหรัฐฯ เอง นั่นนำมาซึ่งสถานการณ์ “เงินไหลกลับสหรัฐ”
โดยทั้งสถาบัน และกองทุนหลายแห่งต่างพากันโยกเงินหรือการลงทุน จากการถือพันธบัตร, เงินฝาก, เงินลงทุนในตลาดหุ้น ในกลุ่ม “ตลาดเกิดใหม่” อันรวมถึงเอเชีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตลาดหุ้นไทยก็หนีไม่พ้นชะตากรรมเดียวกับ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ที่ตัวเลข “ขายสุทธิ” ของต่างประเทศยังคงวิ่งต่อไปอีก
เฉพาะตลาดหุ้นไทย เดือนตุลาคม ต่างชาติขายสุทธิไป 18,071 ล้านบาทในเดือนตุลาคม และเดือน พฤศจิกายนนับคืนวันที่ 14 ขายสุทธิไปแล้ว 17,649 ล้านบาท หรือในภาพรวมช่วงไม่ถึง 1 สัปดาห์หลังทราบผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยรวมๆ กว่า 70,000 ล้านบาท เรียบร้อยแล้ว
ยังไม่หมดแค่นั้น จุดที่ต้องจับตากันต่อไปคือ แนวทางที่ ทรัมป์ ประกาศว่าจะลดปัญหาที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับจีนมหาศาลมาตลอด หากหากทรัมป์จะพูดจริงทำจริงโดยเพิ่มกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงสุดถึง 45% จากอัตราภาษีนำเข้าจากจีนเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 4.3% ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าการส่งออกจากจีนเข้าไปสหรัฐจะลดลง 45-50% ซึ่งไทยก็จะพลอยโดนหางเลขไปด้วย เพราะหากจีนขายของเข้าสหรัฐฯ ไม่ได้ กำลังซื้อและความมั่งคั่งจะลดลง ความสามารถในการซื้อสินค้าหรือนำเข้าสินค้าจากไทยย่อมลดลงด้วย ซึ่งนั่นไม่ใช่ข่าวดีของการส่งออกไทยในอนาคตด้วยเช่นเดียวกัน
นี่คืออิทธิฤทธิ์ของ “ทรัมป์” ที่เห็นผลทันทีในตลาดเงินและตลาดทุน โดยยังไม่นับรวมถึงการเจรจาการค้าทั้งในระดับ ทวิภาคและพหุภาคี ไม่ว่าจะเป็น นาฟต้า, ทีพีพี ที่จะถูกทบทวน/ต่อรองกันใหม่หมดแน่นอน