
.....
Patsawongkantamart Pongsawatdirartchasakon
18 hours ago
·
ความรักชาติกลายเป็นธุรกิจค้าความโง่
ในประเทศที่การศึกษายังไม่เคยสอนให้คนแยก “การรักชาติ” ออกจาก “การเกลียดชาติอื่น” มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คนอย่าง กัน จอมพลัง จะกลายเป็นวีรบุรุษของฝูงชนได้ภายในข้ามคืน
“ถ้าคุณเป็นคนไทย คุณต้องรักชาติ” และในประโยคต่อมา “เพราะฉะนั้น คุณต้องเกลียดเขมร” ฟังดูง่าย สะใจ เข้าใจเร็ว และที่สำคัญ ขายได้ดีในโลกโซเชียล ที่ algorithm ชอบคอนเทนต์ที่คนด่ากัน ความโกรธคือเชื้อเพลิงที่ให้พลังแก่ยอดไลก์ และ ‘ชาติ’ คือสินค้าที่ขายง่ายที่สุด
ปัญหาไม่ใช่ว่าคนอย่าง กัน จอมพลัง พูด แต่คือ มีคนจำนวนมากเชื่อ สังคมที่ถูกฝึกให้รักชาติผ่านเพลงปลุกใจ ผ่านแบบเรียนประวัติศาสตร์ที่สอนว่า ไทยไม่เคยแพ้ใคร จึงมีภูมิคุ้มกันต่ำต่อความคิดที่เรียบง่าย แต่รุนแรง “เรา = ดี เขา = ชั่ว” และเมื่อความคิดนี้ถูกอัดฉีดซ้ำ ๆ ด้วยการตลาดของอินฟลูเอนเซอร์ตลาดล่าง มันก็กลายเป็นความคลั่งที่ทำให้คนพร้อมจะเหยียบศักดิ์ศรีเพื่อนบ้านโดยไม่รู้สึกผิด
การรีไซเคิลความเกลียดเป็นคอนเทนต์ ทุกคำพูด ทุกคลิป ทุกการขึ้นรถแห่เปิดเพลงผีข้างชายแดน ล้วนคือกลยุทธ์การตลาดของคนที่รู้ว่าความโกรธขายได้ดีกว่าความเข้าใจ และผู้บริโภคก็พร้อมซื้อ
เพราะความรู้มันแพง แต่ความเกลียดมันฟรี!!
น่าเศร้าที่ผู้ชมจำนวนไม่น้อยรู้สึก “ภูมิใจ” กับการได้เห็นใครสักคนตะโกนด่าประเทศเพื่อนบ้านแทนตัวเอง ราวกับได้ล้างแค้นประวัติศาสตร์ที่พวกเขาไม่เคยอ่านจบ ทั้งที่ในความเป็นจริง สิ่งที่เขากำลังทำ คือการขายภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้ดูไร้อารยะในสายตาชาวโลก
แต่คนอย่าง กัน คงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มี สาวกคลั่งชาติ คอยเชียร์ พวกที่พิมพ์ “จริงที่สุดพี่กัน!” “รักพี่กันที่สุด รักชาติสุดใจ!” ใต้คอมเมนต์ทุกโพสต์ พวกที่ไม่เคยอ่านข่าวระหว่างประเทศแต่มั่นใจว่าเข้าใจ geopolitics ดีกว่าใคร พวกที่คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคือเกมต่อสู้ในมือถือ ที่แค่กดแชร์ก็ถือว่าได้รบเพื่อชาติ
นี่คือความล้มเหลวทางจริยธรรมของสังคมไทย
ถ้า “รักชาติ” หมายถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนชาติอื่น มันก็ไม่ต่างอะไรกับการประกาศสงครามต่อศีลธรรมโลก การยอมรับแนวคิดแบบนี้เท่ากับการบอกว่า “มนุษย์ที่อยู่อีกฝั่งของพรมแดนไม่ใช่คน” และเมื่อเราคิดแบบนั้น เราก็จะเริ่มทำร้ายพวกเขา โดยไม่รู้สึกว่าทำผิด
นี่คือความล้มเหลวทางศีลธรรมระดับราก เพราะคนไทยจำนวนไม่น้อย กำลัง define ความรักชาติแบบที่ไม่มีสิทธิมนุษยชนอยู่ในนั้นเลย และสิ่งที่น่ากลัวกว่าความโง่ คือความโง่ที่มั่นใจว่าตัวเองฉลาดเพราะมีธงชาติเป็นเครื่องหมายรับรอง
คุณ อังคณา นีละไพจิตร พูดในฐานะนักสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่เพราะไม่รักชาติ แต่เพราะเธอเข้าใจว่าการรักชาติที่แท้จริง คือการปกป้องศักดิ์ศรีของชาติ ด้วยการไม่ปล่อยให้ชาติกลายเป็นผู้รังแก แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับมา คือการถูกด่าจากฝูงคนที่เชื่อว่าการเห่าเสียงดังคือการปกป้องประเทศ
ปรากฏการณ์ เช่นนี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของไทยไม่ใช่คนไม่รักชาติ แต่คือคนที่ “ถูกสอนให้รักชาติแบบผิด” ต่างหาก
เรามีระบบการศึกษาที่สอนให้ “รักชาติ” ผ่านบทเรียนประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม ผ่านภาพวีรบุรุษในสงคราม
แต่ไม่เคยสอนให้ “รักมนุษย์” ที่อยู่ต่างชาติ ต่างศาสนา ต่างเชื้อสาย ต่างความคิด ต่างชาติพันธุ์
เราภูมิใจที่เด็กยืนตรงร้องเพลงชาติได้ทุกเช้า
แต่กลับไม่เคยสอนให้เขาเข้าใจคำว่า “สันติภาพ” หรือ “สิทธิมนุษยชน”
เราสอนให้เด็กท่องว่าไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใคร
แต่ไม่เคยสอนให้เขารู้ว่าความเป็นเอกราชต้องมาพร้อมความเคารพต่อเพื่อนบ้าน
เราสอนให้เขารู้จักคำว่า “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
แต่ไม่เคยสอนคำว่า “ความเท่าเทียม เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
ผลคือเราได้คนที่รักชาติด้วยความกลัว กลัวจะถูกมองว่าไม่รักชาติ
ได้คนที่ปกป้องชาติด้วยการเหยียบชาติอื่น
ได้คนที่ยืนตรงตอนเพลงชาติและร้องอย่างสุดเสียง แต่โก่งคอเห่าเมื่อเห็นเพื่อนบ้านไม่เหมือนเรา
ห้องเรียนไทยไม่ได้ล้มเหลวเพราะเด็กเรียนไม่เก่ง
แต่มันล้มเหลวเพราะสอนให้คน รักสัญลักษณ์ของชาติ มากกว่าคุณค่าของความเป็นชาติ
จนวันนี้ เรามีคนจำนวนมากที่ยกธงชาติขึ้นสูงสุด แต่ลากศีลธรรมลงต่ำสุดในเวลาเดียวกัน
สภาพเช่นนี้เอง ที่ทำให้คนไทยจำนวนมาก ไม่เหลือวิจารณญาณในการเสพข่าวและสื่อ
ไม่รู้จะวิเคราะห์อย่างไรเมื่อถูกป้อนความเกลียด
ไม่รู้จะตั้งคำถามอย่างไรเมื่อเห็นการบิดเบือน
และที่น่ากลัวที่สุดคือ
เราเริ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “คุณค่า” ของเราและเพื่อนมนุษย์อยู่ตรงไหน
https://www.facebook.com/patsawongkantamart.pongsawatdirartchasakon/posts/1870322747217269
Patsawongkantamart Pongsawatdirartchasakon
18 hours ago
·
ความรักชาติกลายเป็นธุรกิจค้าความโง่
ในประเทศที่การศึกษายังไม่เคยสอนให้คนแยก “การรักชาติ” ออกจาก “การเกลียดชาติอื่น” มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คนอย่าง กัน จอมพลัง จะกลายเป็นวีรบุรุษของฝูงชนได้ภายในข้ามคืน
“ถ้าคุณเป็นคนไทย คุณต้องรักชาติ” และในประโยคต่อมา “เพราะฉะนั้น คุณต้องเกลียดเขมร” ฟังดูง่าย สะใจ เข้าใจเร็ว และที่สำคัญ ขายได้ดีในโลกโซเชียล ที่ algorithm ชอบคอนเทนต์ที่คนด่ากัน ความโกรธคือเชื้อเพลิงที่ให้พลังแก่ยอดไลก์ และ ‘ชาติ’ คือสินค้าที่ขายง่ายที่สุด
ปัญหาไม่ใช่ว่าคนอย่าง กัน จอมพลัง พูด แต่คือ มีคนจำนวนมากเชื่อ สังคมที่ถูกฝึกให้รักชาติผ่านเพลงปลุกใจ ผ่านแบบเรียนประวัติศาสตร์ที่สอนว่า ไทยไม่เคยแพ้ใคร จึงมีภูมิคุ้มกันต่ำต่อความคิดที่เรียบง่าย แต่รุนแรง “เรา = ดี เขา = ชั่ว” และเมื่อความคิดนี้ถูกอัดฉีดซ้ำ ๆ ด้วยการตลาดของอินฟลูเอนเซอร์ตลาดล่าง มันก็กลายเป็นความคลั่งที่ทำให้คนพร้อมจะเหยียบศักดิ์ศรีเพื่อนบ้านโดยไม่รู้สึกผิด
การรีไซเคิลความเกลียดเป็นคอนเทนต์ ทุกคำพูด ทุกคลิป ทุกการขึ้นรถแห่เปิดเพลงผีข้างชายแดน ล้วนคือกลยุทธ์การตลาดของคนที่รู้ว่าความโกรธขายได้ดีกว่าความเข้าใจ และผู้บริโภคก็พร้อมซื้อ
เพราะความรู้มันแพง แต่ความเกลียดมันฟรี!!
น่าเศร้าที่ผู้ชมจำนวนไม่น้อยรู้สึก “ภูมิใจ” กับการได้เห็นใครสักคนตะโกนด่าประเทศเพื่อนบ้านแทนตัวเอง ราวกับได้ล้างแค้นประวัติศาสตร์ที่พวกเขาไม่เคยอ่านจบ ทั้งที่ในความเป็นจริง สิ่งที่เขากำลังทำ คือการขายภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้ดูไร้อารยะในสายตาชาวโลก
แต่คนอย่าง กัน คงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มี สาวกคลั่งชาติ คอยเชียร์ พวกที่พิมพ์ “จริงที่สุดพี่กัน!” “รักพี่กันที่สุด รักชาติสุดใจ!” ใต้คอมเมนต์ทุกโพสต์ พวกที่ไม่เคยอ่านข่าวระหว่างประเทศแต่มั่นใจว่าเข้าใจ geopolitics ดีกว่าใคร พวกที่คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคือเกมต่อสู้ในมือถือ ที่แค่กดแชร์ก็ถือว่าได้รบเพื่อชาติ
นี่คือความล้มเหลวทางจริยธรรมของสังคมไทย
ถ้า “รักชาติ” หมายถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนของคนชาติอื่น มันก็ไม่ต่างอะไรกับการประกาศสงครามต่อศีลธรรมโลก การยอมรับแนวคิดแบบนี้เท่ากับการบอกว่า “มนุษย์ที่อยู่อีกฝั่งของพรมแดนไม่ใช่คน” และเมื่อเราคิดแบบนั้น เราก็จะเริ่มทำร้ายพวกเขา โดยไม่รู้สึกว่าทำผิด
นี่คือความล้มเหลวทางศีลธรรมระดับราก เพราะคนไทยจำนวนไม่น้อย กำลัง define ความรักชาติแบบที่ไม่มีสิทธิมนุษยชนอยู่ในนั้นเลย และสิ่งที่น่ากลัวกว่าความโง่ คือความโง่ที่มั่นใจว่าตัวเองฉลาดเพราะมีธงชาติเป็นเครื่องหมายรับรอง
คุณ อังคณา นีละไพจิตร พูดในฐานะนักสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่เพราะไม่รักชาติ แต่เพราะเธอเข้าใจว่าการรักชาติที่แท้จริง คือการปกป้องศักดิ์ศรีของชาติ ด้วยการไม่ปล่อยให้ชาติกลายเป็นผู้รังแก แต่สิ่งที่เธอได้รับกลับมา คือการถูกด่าจากฝูงคนที่เชื่อว่าการเห่าเสียงดังคือการปกป้องประเทศ
ปรากฏการณ์ เช่นนี้เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของไทยไม่ใช่คนไม่รักชาติ แต่คือคนที่ “ถูกสอนให้รักชาติแบบผิด” ต่างหาก
เรามีระบบการศึกษาที่สอนให้ “รักชาติ” ผ่านบทเรียนประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม ผ่านภาพวีรบุรุษในสงคราม
แต่ไม่เคยสอนให้ “รักมนุษย์” ที่อยู่ต่างชาติ ต่างศาสนา ต่างเชื้อสาย ต่างความคิด ต่างชาติพันธุ์
เราภูมิใจที่เด็กยืนตรงร้องเพลงชาติได้ทุกเช้า
แต่กลับไม่เคยสอนให้เขาเข้าใจคำว่า “สันติภาพ” หรือ “สิทธิมนุษยชน”
เราสอนให้เด็กท่องว่าไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใคร
แต่ไม่เคยสอนให้เขารู้ว่าความเป็นเอกราชต้องมาพร้อมความเคารพต่อเพื่อนบ้าน
เราสอนให้เขารู้จักคำว่า “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
แต่ไม่เคยสอนคำว่า “ความเท่าเทียม เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
ผลคือเราได้คนที่รักชาติด้วยความกลัว กลัวจะถูกมองว่าไม่รักชาติ
ได้คนที่ปกป้องชาติด้วยการเหยียบชาติอื่น
ได้คนที่ยืนตรงตอนเพลงชาติและร้องอย่างสุดเสียง แต่โก่งคอเห่าเมื่อเห็นเพื่อนบ้านไม่เหมือนเรา
ห้องเรียนไทยไม่ได้ล้มเหลวเพราะเด็กเรียนไม่เก่ง
แต่มันล้มเหลวเพราะสอนให้คน รักสัญลักษณ์ของชาติ มากกว่าคุณค่าของความเป็นชาติ
จนวันนี้ เรามีคนจำนวนมากที่ยกธงชาติขึ้นสูงสุด แต่ลากศีลธรรมลงต่ำสุดในเวลาเดียวกัน
สภาพเช่นนี้เอง ที่ทำให้คนไทยจำนวนมาก ไม่เหลือวิจารณญาณในการเสพข่าวและสื่อ
ไม่รู้จะวิเคราะห์อย่างไรเมื่อถูกป้อนความเกลียด
ไม่รู้จะตั้งคำถามอย่างไรเมื่อเห็นการบิดเบือน
และที่น่ากลัวที่สุดคือ
เราเริ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “คุณค่า” ของเราและเพื่อนมนุษย์อยู่ตรงไหน
https://www.facebook.com/patsawongkantamart.pongsawatdirartchasakon/posts/1870322747217269