วันศุกร์, กันยายน 26, 2568

คำแถลงนโยบายรัฐบาล "อนุทิน" ที่เตรียมแจงรัฐสภา 29-30 ก.ย. หนึ่งในรายละเอียดที่น่าสนใจ คือเร่งแก้ไขปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ผ่านการทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา


บีบีซีไทย - BBC Thai
12 hours ago
·
หนึ่งในรายละเอียดที่น่าสนใจที่ปรากฏในนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐบาล “อนุทิน” คือการระบุถึงการ “ทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา”
.
อ่านเพิ่มเติมที่นี่ https://bbc.in/42chkb4

สรุปคำแถลงนโยบายรัฐบาล "อนุทิน" 5 กรอบ 15 นโยบาย ที่เตรียมแจงรัฐสภา 29-30 ก.ย.


ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กับ อนุทิน ชาญวีรกูล วันประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกฯ คนที่ 32 เมื่อ 5 ก.ย.

25 กันยายน 2025
บีบีซีไทย

การแถลงนโยบายรัฐบาล "อนุทิน" ต่อรัฐสภา จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 29-30 ก.ย. นี้ หนึ่งในรายละเอียดที่น่าสนใจในนโยบายด้านความมั่นคงคือ การระบุถึงการ "ทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา" ส่วนนโยบายเศรษฐกิจ มีโครงการแก้หนี้ประชาชนรายละไม่เกิน 1 แสนบาท และเพิ่มสภาพคล่องเอสเอ็มอี 1 ล้านบาท

วันนี้ (25 ก.ย.) ที่ประชุมคณะกรรมการประสานงาน (วิป) 3 ฝ่าย ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี (ครม.), สส. และ สว. ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธาน มีมติให้กำหนดวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา 29- 30 ก.ย. นี้ และกำหนดกรอบเวลาในการอภิปราย โดยแบ่งเป็น เวลาของ ครม. และพรรคร่วมรัฐบาล 6 ชม., พรรคร่วมฝ่ายค้าน 15 ชม., สว. 3 ชม. และเวลาของประธาน 1 ชม. ทั้งนี้ในส่วนของฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ประกาศไม่ร่วมทำงานในวิปฝ่ายค้านได้เวลาไป 6 ชม. ส่วนที่เหลืออีก 9 ชม. เป็นเวลาของพรรคประชาชน (ปชน.) และพรรคร่วมฯ ฝ่ายค้านอื่น ๆ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ชี้แจงเหตุผลความจำเป็นที่ต้องการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภาก่อน 30 ก.ย. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568 ว่า เป็นเพราะ "รัฐบาลมีเวลาทำงาน 4 เดือน จึงต้องการเร่งทำงาน"

ค่ำวันที่ 24 ก.ย. นายกฯ คนที่ 32 เรียกประชุม ครม. นัดพิเศษ ก่อนประกาศโรดแมปในการยุบสภาในเดือน ม.ค. 2569 และจัดให้มีการเลือกตั้งภายในเดือน มี.ค. หรืออย่างช้าเดือน เม.ย. 2569

นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลจะจัดให้มีการทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ในวันที่มีการลงคะแนนเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไปครั้งหน้า

คำมั่นสัญญานี้ถูกบรรจุลงเอกสารคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ส่งถึงบรรดา สส. สว. และสื่อมวลชนในช่วงเที่ยงวันนี้ด้วย ทว่ามีเนื้อหาเพียง 3 บรรทัดครึ่ง ระบุว่า "รัฐบาลนี้จะสนับสนุนการจัดทำประชามติและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยรับฟังเสียงของพี่น้องประชาชน และสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและเพื่อธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"

เอกสารคำแถลงนโยบายของ ครม. คณะนี้ มีเนื้อหาเพียง 7 หน้า (ไม่รวมภาคผนวก) ต่างจากรัฐบาล 2 ชุดก่อน ๆ ที่มีเนื้อหามากกว่าเท่าตัวหนึ่ง เพราะต้องแจกแจงนโยบายเร่งด่วน นโยบายระยะกลาง และระยะยาว


ทว่าด้วยอายุของรัฐบาล "อนุทิน" ที่จำกัดเวลาตัวเองเอาไว้ 4 เดือน ตามที่นายกฯ คนที่ 32 ลั่นวาจาเอาไว้ภายหลังการประชุม ครม. นัดพิเศษเมื่อ 24 ก.ย. ว่า จะยุบสภาภายในสิ้นเดือน ม.ค. 2569 เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนได้ใช้สิทธิเลือกตั้งภายในเดือน มี.ค. หรืออย่างช้าต้นเดือน เม.ย. 2569


นั่นทำให้นโยบายของรัฐบาลมีเพียงชุดเดียวและเป็น "นโยบายเร่งด่วน" ปรากฏเป็นกรอบนโยบาย 5 ด้าน 15 นโยบาย

บีบีซีไทยขอสรุปสาระสำคัญจากเอกสารนโยบายของรัฐบาล "อนุทิน" ดังนี้

3 หลัก 4 ภัย ที่รัฐบาลจะยึดถือและฝ่าไป


นายกฯ นำทีมแถลงผลการประชุม ครม. นัดพิเศษเมื่อ 24 ก.ย. โดยมีการเปิดเผยกรอบนโยบายของรัฐบาลด้วย

เอกสารคำแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา เริ่มต้นด้วยการแจกแจงหลัก 3 ประการที่รัฐบาลจะยึดถือ ได้แก่
  • พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
  • ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
  • ยึดมั่นในหลักนิติธรรม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม และการบริหารราชการแผ่นดินบนพื้นฐานของธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน
จากนั้นได้บรรยายถึงการเข้าสู่การบริหารราชการแผ่นดินภายใต้สถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนรอบด้านทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และภูมิรัฐศาสตร์ของโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โอกาสในการสร้างรายได้ของประชาชน และการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ

"ด้วยระยะเวลาที่มีอยู่จำกัดและงบประมาณที่รัฐบาลนี้ไม่ได้เป็นผู้จัดทำ ทั้งยังเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้" คำแถลงนโยบายของรัฐบาลระบุตอนหนึ่ง พร้อมอ้างถึงภัย 4 ด้าน ได้แก่ ภัยด้านเศรษฐกิจ ภัยด้านความมั่นคง ภัยด้านสังคม และภัยด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่รัฐบาลจะเร่งแก้ไข

นโยบายสำคัญที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศ ซึ่งรัฐบาลระบุว่าเป็นไป "เพื่อคืนความเชื่อมั่นและความสุขให้กับพี่น้องคนไทย" รวม 5 ด้าน มีดังนี้

ด้านเศรษฐกิจ มี 5 นโยบายหลัก


1. สร้างรายได้ ลดรายจ่าย
  • จัดทำโครงการ "คนละครึ่ง" เพื่อลดรายจ่ายประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิ ค่าพลังงาน ค่าน้ำดื่มสะอาด ค่าโดยสาร ค่าผ่านทาง เพื่อให้มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
  • บริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
  • สร้างโอกาสในการสร้างรายได้และความสามารถในการแข่งขันแก่ผู้ค้ารายย่อย ผู้ประกอบการ รวมถึงเกษตรกรและชุมชนในท้องถิ่นให้มั่นคงแข็งแรงขึ้นผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และท้องถิ่น โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) และการเพิ่มทักษะ (Upskill) เพื่อเพิ่มผลิตภาพ และสร้างโอกาสให้คนไทยมีรายได้มากขึ้น
  • ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการผลิตไฟฟ้าภาคครัวเรือนและกิจกรรมทางการเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนและชุมชน และเพิ่มพลังงานสีเขียว
2. แก้ไขปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่อง
  • หนี้ภาคประชาชน ช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาหนี้รายบุคคลในระบบ รายละไม่เกิน 1 แสนบาท เพื่อลดปัญหาหนี้ที่ทำให้คนไทยติดกับดักหนี้
  • เพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท
  • สร้างระบบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับลูกหนี้ที่มีวินัยในการชำระหนี้
  • ให้ความรู้ทางการเงิน นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ
  • สร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการ SMEs ในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐและภาคธุรกิจขนาดใหญ่
3. เพิ่มโอกาสการออมของประชาชนรายย่อย
ประชาชนทุกคนมีสิทธิซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยสะดวก เพื่อสร้างรายได้เพิ่มจากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
พัฒนาผลิตภัณฑ์สลากเพื่อการออม โดยกันเงินจำนวนหนึ่งที่ผู้ซื้อสลากที่ไม่ถูกรางวัลให้มีเงินออมอันเกิดจากเงินที่กันไว้

4. ฟื้นความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว
  • มุ่งเน้นการสร้างความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว
  • ปราบปรามการฉ้อโกงและการหลอกลวงนักท่องเที่ยว
  • จัดทำมาตรการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวไทยหันกลับมาเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2568 โดยให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเมืองรอง จูงใจให้ภาคเอกชนปรับปรุงโรงแรมที่พักและแหล่งท่องเที่ยวผ่านกลไกภาษี
  • ดึงดูดชาวต่างชาติให้พำนักในประเทศไทยระยะยาวและเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวมากขึ้น

เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กับ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เมื่อครั้งที่นายกฯ อนุทินนำมาเปิดตัวกับสื่อมวลชนครั้งแรกในฐานะรัฐมนตรีคนนอก

5. เร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสงครามการค้า
  • จัดตั้งทีมไทยแลนด์ ประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนการค้าไทย เพื่อยกระดับการค้าเสรีกับคู่ค้าเดิม, ดำเนินการเชิงรุกในการเปิดตลาดใหม่เพิ่มขึ้น อาทิ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรปตะวันออก เอเชียใต้ และลาตินอเมริกา, ผลักดันให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Co-operation and Development - OECD) เพื่อดึงดูดการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ
  • ดูแลและสนับสนุนผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ การสกัดปัญหาการสวมสิทธิ์ถิ่นกำเนิดสินค้า และป้องกันการทุ่มตลาด
  • ร่วมมือกับภาคเอกชนในการเจรจารายละเอียดรายสินค้าที่เกิดขึ้นจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ เพื่อเตรียมการรองรับมาตรการด้านการค้าของสหรัฐฯ อาทิ การจัดทำมาตรการในการส่งเสริมการใช้สินค้าอุตสาหกรรมและชิ้นส่วนที่ผลิตภายในประเทศเป็นหลัก การกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมของสินค้ากลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งกำหนดมาตรการมิให้นำเข้าสินค้าเกษตรที่มีการเผาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5
  • สร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ทันสมัยและเอื้อต่อการแข่งขันในปัจจุบันและอนาคต โดยปรับปรุงกฎระเบียบและขั้นตอนการอนุญาต, ปรับระบบส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ยานยนต์สมัยใหม่ อาหารแห่งอนาคต พลังงานสะอาด และอุตสาหกรรมชีวภาพ, ส่งเสริมให้นักลงทุน จากต่างประเทศจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทของไทย และสร้างห่วงโซ่การผลิตภายในประเทศจากผู้ประกอบการไทย
ด้านความมั่นคง มี 2 นโยบายหลัก

6. เร่งแก้ไขปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา
  • ใช้แนวทางสันติภาพ เพื่อนำความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ประชาชนตามบริเวณชายแดนโดยเร็ว และรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและเขตแดนที่เป็นของไทยโดยชอบธรรมตามเส้นเขตแดนที่เป็นสากล
  • ดำเนินการยุติความขัดแย้งผ่านกลไกการเจรจาทางการทูตที่เหมาะสมควบคู่กับการป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง
  • ทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา
  • ดำเนินนโยบายต่างประเทศในเชิงรุกที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นใจและสถานะของไทยในเวทีระหว่างประเทศ
7. เร่งแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
  • เร่งรัดปรับแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในด้านการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
  • พัฒนาเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

ครม. จะทำหน้าที่ได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา

ด้านสังคม มี 3 นโยบายหลัก

8. ปราบปรามการพนันผิดกฎหมายทุกรูปแบบอย่างจริงจัง
  • ไม่สนับสนุนให้มีการประกอบธุรกิจการพนันทุกชนิดให้เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย
  • ไม่สนับสนุนเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีธุรกิจการพนัน
  • ไม่สนับสนุนการพนันที่แฝงมาในรูปของกีฬา อาทิ โป๊กเกอร์
  • ดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติการพนันและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมและลดการอนุญาตการเล่นการพนันให้ได้มากที่สุด
9. รักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด โดยให้ถือว่าการกระทำของเจ้าพนักงานของรัฐในกรณีเหล่านี้เป็นการกระทำความผิดทางวินัยร้ายแรง และต้องดำเนินการทางอาญาอย่างเด็ดขาด

9.1 ละเว้นการบังคับใช้กฎหมายในการดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด บ่อนการพนันและการพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ ภัยไซเบอร์ การสร้างข่าวปลอมและการหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ

9.2 ใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ของรัฐไปเพื่อประโยชน์ทางการเมือง

10. ขจัดทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเด็ดขาดและจริงจัง โดยร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยกระดับความเชื่อมั่นของประชาชนและนานาประเทศ

11. พิทักษ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น โดยดำเนินมาตรการป้องกันและขจัดการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น โดยในส่วนของพระพุทธศาสนารัฐบาลจะดำเนินการโดยพระสังฆราชานุมัติด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม

ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มี 2 นโยบายหลัก

12. เร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยและพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง, เยียวยาและฟื้นฟูให้ประชาชนผู้ประสบภัยโดยเร่งด่วน, การอนุรักษ์ ฟื้นฟู และรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างยั่งยืน, ส่งเสริมการใช้พื้นที่ป่าและป่าชุมชนอย่างถูกต้อง รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

13. ผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ
  • ประกาศให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) เพื่อรับมือกับการค้าระหว่างประเทศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ในชุมชนและหน่วยงานของรัฐ การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและระบบขนส่งสาธารณะ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม
  • พัฒนายกระดับวิถีเกษตรกรไปสู่เกษตรกรรุ่นใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการป้องกันและลดการเผาในภาคการเกษตรเพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5
  • จัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้มาตรฐานสากลและผลักดันกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว อาทิ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ด้านการบริหารภาครัฐ การปฏิรูปกฎหมาย มี 2 นโยบายหลัก

14. เร่งรัดการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
  • พัฒนารัฐบาลดิจิทัลเชื่อมโยงทั้งระบบ ควบคู่การกับผลักดันการเปิดเผยข้อมูลเปิดของภาครัฐ
  • เสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับการบริหารภาครัฐให้ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจและประชาชน มีการบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริงระหว่างหน่วยงานของรัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม
15. เร่งรัดการปฏิรูปกฎหมาย กฎระเบียบ
  • ยกเลิกกฎหมาย กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคและสร้างภาระที่ไม่จำเป็นแก่ประชาชนและภาคธุรกิจที่เรียกว่ากิโยติน (Guillotine)
  • ริเริ่มเสนอกฎหมายที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล และผลักดันการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีดิจิทัลที่เปลี่ยนไป
  • จัดตั้งคณะทำงานติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล
นอกจากนโยบายสำคัญเพื่อจัดการปัญหาเฉพาะหน้า รัฐบาลจะดำเนินการให้สอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วย

https://www.bbc.com/thai/articles/cr5qz97p59no