วันศุกร์, พฤศจิกายน 14, 2568

ปัจจุบันไม่มีทางแก้ปัญหา เขตแดนไทยกับเพื่อนบ้านได้ โอกาสที่จะแก้ได้อยู่ในอนาคต ไม่ใช่ในปัจจุบัน เพราะเงื่อนไขปัจจัยหลายอย่างในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยให้เป็นไปได้เลย - ธงชัย วินิจจะกูล



ปัจจุบันไม่มีทางแก้ปัญหา เขตแดนไทยกับเพื่อนบ้านได้

03.09.2025
มติชนสุดสัปดาห์

บทความพิเศษ | ธงชัย วินิจจะกูล

ปัจจุบันไม่มีทางแก้ปัญหา
เขตแดนไทยกับเพื่อนบ้านได้

โอกาสที่จะแก้ได้อยู่ในอนาคต ไม่ใช่ในปัจจุบัน เพราะเงื่อนไขปัจจัยหลายอย่างในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยให้เป็นไปได้เลย

หากจะเริ่มบุกเบิกทางตั้งแต่ปัจจุบัน จะต้องพยายามคิดจาก “ความน่าจะเป็น” ในอนาคต ซึ่งน่าจะแตกต่างจากปัจจุบันอย่างมาก

ดังที่ได้อธิบายมาในหลายโอกาสก่อนหน้านี้แล้วว่า โดยพื้นฐาน เส้นเขตแดนทางบกรอบประเทศไทยทุกแห่ง เป็นระเบิดเวลาที่ตกทอดจากยุคอาณานิคมที่ขีดเส้นบนพื้นที่ซึ่งอำนาจของรัฐจารีตซ้อนทับกันอย่างสับสนวุ่นวาย ครั้นเมื่อรัฐสมัยใหม่ถูกสถาปนาว่าต้องมีอธิปไตยเหนือดินแดน ก็ใช้อำนาจกำหนดเส้นเขตแดนที่ชัดเจนอย่างต่อเนื่อง ขีดลงไปบนพื้นที่ซึ่งอำนาจซ้อนทับขาดความชัดเจนและไม่ต่อเนื่อง กำหนดเป็นเส้นเขตแดนขึ้นมาอย่างใดอย่างหนึ่ง

ยังไม่นับปัญหาพื้นที่ตามธรรมชาติเปลี่ยน แผนที่ต่างยุคใช้เทคโนโลยีต่างกัน และอีกสารพัดปัญหาที่ทำให้เส้นเขตแดนอาจกลายเป็นข้อพิพาทขัดแย้งกันได้แทบทุกจุดรอบประเทศไทย

บนพื้นฐานของปัญหาเช่นนี้ เราต้องการองค์ประกอบอื่นเป็นใจด้วย จึงจะแก้ปัญหาเขตแดนไทยกับเพื่อนบ้านได้

แต่อะไรคือเงื่อนไขปัจจัยหลายอย่างในปัจจุบันที่ไม่เอื้ออำนวยให้แก้ปัญหาเขตแดนไทยกับเพื่อนบ้านได้เลย

ประการแรกและสำคัญที่สุดคือ ปัจจุบันรัฐทั้งหลายในภูมิภาคไม่ตระหนักและไม่ยอมรับปัญหาจากประวัติศาสตร์ดังกล่าว แทนที่จะรับความจริงว่าเส้นเขตแดนและความคิดเรื่องอธิปไตยเหนือดินแดนไม่ใช่ความจริงที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ถูกกำหนดขึ้นมาอย่างมีปัญหาโดยมนุษย์ในยุคอาณานิคมเมื่อไม่นานมานี้เอง กลับยึดมั่นจะเป็นจะตายกับเส้นเขตแดนและอธิปไตยเหนือดินแดนราวกับมันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดำรงอยู่ตามธรรมชาติหรือนานมากแล้วและแก้ไขต่อรองกันหรือตกลงกันไม่ได้ เส้นเขตแดนและอธิปไตยเหนือดินแดนมีค่าเหนือกว่าชีวิตผู้คน

ประการที่สอง แต่ละรัฐอ้างสิทธิอธิปไตยเหนือดินแดนตามที่ตนต้องการ ไม่ว่าด้วยอคติความอยากได้ดินแดนที่รัฐจักรวรรดิแต่เดิมเคยอ้างมาก่อน หรือความกลัวถูกรังแกจากรัฐจักรวรรดิเดิมก็แล้วแต่ การตีความเข้าข้างตัวเองเช่นนี้ย่อมหนีไม่พ้นที่จะขัดแย้งกับประเทศรอบบ้านที่ตีความเข้าข้างตนเองเช่นกัน จึงนำไปสู่ความขัดแย้งและการรบราที่ไม่มีวันจบสิ้น เพราะไม่ว่าใครชนะในยุทธการครั้งหนึ่ง ย่อมเกิดบาดแผลกับอีกฝ่ายรอวันเอาคืน

ความจริงก็คือ ทั้งสองฝ่ายไม่มีทางพบดินแดนที่เป็นของตนอย่างปราศจากข้อขัดแย้ง เพราะไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “ดินแดนที่เป็นของตนอย่างปราศจากข้อโต้แย้ง” มาตั้งแต่ต้นที่ลงมือตีเส้นเขตแดนเป็นครั้งแรกในยุคอาณานิคม

ประการที่สาม อคติที่มีต่อกันระหว่างประเทศต่างๆ ในภูมิภาค

ประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้เต็มไปด้วยความระแวง สงสัย เห็นแก่ตัว และเกลียดอีกฝ่ายหนึ่ง แทบทุกประเทศยังปลูกฝังประวัติศาสตร์อันตรายเช่นนี้ให้ประชากรของตนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ประเทศไทยก็เช่นกัน

ทุกประเทศต่างมองประเทศรอบข้างเป็น “คนอื่น” เป็นศัตรู เป็นพวกทรยศลิ้นสองแฉกไว้ใจไม่ได้ เป็นพวกโหดร้ายชอบรังแก เป็นลูกกะจ๊อกที่เหิมเกริม ฯลฯ อคติเช่นนี้ทำให้มองไม่เห็น “เพื่อนบ้าน” ที่ไม่มีวันย้ายหนีจากกันไปไหนได้

ความไม่ไว้วางใจต่อกันในอดีตเป็นพื้นฐานของความระแวงในปัจจุบัน รัฐที่เคยเป็นเจ้าจักรวรรดิเดิม เช่น ไทย ก็อวดอ้างว่าดินแดนโน่นนี่เคยเป็นของตนมาแต่โบราณ รัฐที่ถูกรังแกกดขี่ ถูกรัฐจักรวรรดิแบ่งแยกและปกครองมาตั้งแต่สมัยจารีต ก็ระแวงว่าประเทศสืบทอดมาจากรัฐจักรวรรดิจะขยายดินแดนกลืนชาติของตนอยู่ร่ำไป



ประการที่สี่ ซึ่งดำรงอยู่ในแทบทุกประเทศในภูมิภาคคือ อิทธิพลของกองทัพที่มีมากเกินไปในแต่ละรัฐ ประชาธิปไตยยังง่อนแง่นหรือยังไม่เกิดด้วยซ้ำ นักการเมืองขาดความน่าเชื่อถือพอที่จะมีบทบาทนำ แถมยังไม่มีความรู้เรื่องเขตแดนสักเท่าไร มักคิดว่าทหารรู้ดีกว่า ทั้งๆ ที่กองทัพของประเทศเหล่านี้ในตัวมันเองก็เป็นมรดกจากยุคจารีตและยุคอาณานิคม เป็นกองทัพที่อย่างเก่งก็เชี่ยวชาญเรื่องการยุทธ์ อย่างเลวก็หมกมุ่นกับการแสวงอำนาจรัฐ แต่ล้วนไม่ผ่านการฝึกฝนให้เข้าใจประวัติศาสตร์หรือการเมืองระหว่างประเทศ

ในภาวะเช่นนี้เองและกองทัพแบบนี้เองที่มีบทบาทสูงในการจัดการปัญหาเขตแดน จึงย่อมต้องเข้าใจว่าการปกป้องรักษาอธิปไตยเหนือดินแดนทุกตารางนิ้วหมายถึงการทหาร ไม่เข้าใจว่ามรดกจากยุคจารีตและยุคอาณานิคมซึ่งต้องแก้ด้วยความคิด นโยบายและมาตรการที่ต่างออกไป แถมเมื่อเกิดปัญหาชายแดน มักเป็นโอกาสให้กองทัพสร้างเกียรติภูมิและเพิ่มงบประมาณไปด้วย การทหารจึงมักนำการทูตและการเมือง

ประการที่ห้า บ่อยครั้งกองทัพในประเทศเหล่านี้ใช้ปฏิบัติการจิตวิทยากับประชาชนของตนเอง หมายถึงการปกปิดข่าวสาร ให้ข้อมูลด้านเดียว ประโคมปลุกเร้าสร้างอารมณ์ร่วมของประชากรให้เห็นคล้อยตามกองทัพ

ตัวอย่างเช่น ในกรณีไทยปะทะกัมพูชาครั้งล่าสุดนี้ ยังมีคำถามน่าสงสัยหลายข้อ เช่น สาเหตุที่เป็นจุดปะทุความขัดแย้งยังไม่ชัดเจน การทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ ที่ใครจะเริ่มก่อนก็ตามบานปลายได้อย่างไร

ความสงสัยที่หนักกว่านั้นอีกก็คือ ทหารเป็นผู้รู้ดีเกี่ยวกับเขตแดน กองทัพไทยรู้จักดีทั้งแผนที่ 1 : 200,000 และแผนที่ 1 : 50,000 ทั้ง L7016 L7017 และระวางอื่นๆ กองทัพเปิดเผยแผนที่เหล่านั้นอย่างตรงไปตรงมาหรือยังว่า เขตแดนอยู่ตรงไหน สันปันน้ำอยู่ตรงไหน ปราสาททั้งหลายอยู่ตรงไหนบนแผนที่เหล่านั้น

รัฐบาลและกองทัพปิดบังอำพรางข้อมูลที่ตนไม่ต้องการ แล้วเผยแพร่เฉพาะข้อมูลที่เข้าข้างตนเองเท่านั้นหรือเปล่า (เช่น ทำไมไม่เผยแพร่ผลสำรวจของกรมแผนที่ทหารที่ทำการศึกษาบริเวณปราสาททั้งสามเมื่อปี 2544 และ 2545)



ประการที่หก ลัทธิชาตินิยมในแต่ละประเทศมีส่วนอย่างมากที่ส่งเสริมความเกลียดชังและความรุนแรง สื่อมวลชนและประชาชนขาดวุฒิภาวะในการรับฟังกลั่นกรองข่าวข้อมูล หลงเชื่อโฆษณาชวนเชื่อและข่าวข้อมูลที่เข้าข้างตนอย่างเซื่องๆ สื่อไร้จรรยาบรรณและไร้ฝีมือ กลับช่วยโหมกระพือไฟของความคลั่งชาติ

การปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชารอบล่าสุดนี้ มองจากสายตาชาวโลกนับว่าเป็นการขัดแย้งที่ไร้สาระ จากเหตุที่ไม่ชัดเจน แต่กลับบานปลายเพราะปัญหาการเมืองภายในของชนชั้นนำทั้งสองประเทศ และเพราะการโฆษณาชวนเชื่อปลุกเร้าชาตินิยมกับผู้คนและสื่อขาดสติของทั้งสองประเทศได้ผลอย่างเหลือเชื่อ เหล่านี้เป็นสาเหตุที่ไร้สาระทั้งสิ้น

ถ้าอนาคต สามารถเลิกหรือข้ามพ้นเงื่อนไขปัจจัยทั้งหลายดังที่กล่าวมาได้ ข้ามพ้นความผูกติดยึดมั่นที่ผิดๆ กับเส้นเขตแดนและอธิปไตยเหนือดินแดน ข้ามพ้นชาตินิยม ข้ามพ้นความระแวงเพื่อนบ้าน ข้ามพ้นการปล่อยให้กองทัพนำการเมือง ถ้าอนาคตเป็นเช่นนี้ เราจึงจะพบความเป็นไปได้มากมายที่จะแก้ปัญหาเขตแดนไทยกับเพื่อนบ้าน และสร้างสรรค์การปฏิบัติใหม่ๆ ขนบใหม่ๆ อย่างที่ทุกวันนี้ไม่มีทางคิดได้ในกรอบกะลาของชาตินิยม

เงื่อนไขสำคัญที่สุดที่จำเป็นสำหรับการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนก็คือ ประเทศสองฟากของเขตแดนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และเห็นตรงกันว่าการทำมาหากินอย่างสงบตามปกติเป็นเป้าหมายของความมั่นคงของรัฐ

หากมีเงื่อนไขดังกล่าว หนทางที่ตรงไปตรงมาที่สุดก็คือ ต่อรองกัน ได้บ้างเสียบ้าง ตกลงกันให้ชัดเจนทุกจุด หรือจะให้เป็นเขตพัฒนาร่วมกันก็อาจจะได้ แล้วเคารพข้อตกลงนั้น หลังจากนั้นจะได้ไม่ต้องทะเลาะกันอีก



ฟังดูเป็นอุดมคติเหลือเกิน แน่นอน …เพราะปัจจุบันปิดกั้นความเป็นไปได้ทั้งหลายด้วยความคิดว่า “เป็นไปไม่ได้” “ไม่สมจริง” “เพ้อฝัน” เพราะเรามักคิดว่าอนาคตก็ย่อมเหมือนกับปัจจุบันทุกอย่าง จนละทิ้งอุดมคติ ทิ้งความคิดสร้างสรรค์

ที่จริงไม่ยากเลยที่จะคิดในปัจจุบัน ถ้าหากไม่ปิดหูปิดตาตัวเราเองหรือหมกอยู่ใต้กะลาชาตินิยม

ความจริงก็คือ ประเทศไทยมีประสบการณ์เช่นนั้นมาบ้างแล้ว มิใช่สิ่งใหม่ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน นั่นคือ การตกลงดินแดนระหว่างไทยกับมาเลเซียในหลายสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งดำเนินไปด้วยดีไปสู่การตกลงอย่างสันติบนโต๊ะเจรจา

คนที่เห็นว่าทัศนะนี้ช่างไร้เดียงสาหรือเป็นพวกโลกสวยต่างหากช่างไร้เดียงสาอย่างยิ่ง ไม่รู้จักโลกกว้างและยังหลงอยู่กับชาตินิยมไกลปืนเที่ยง คนพวกนี้ดูถูกคนในชาติของตนว่ายังป่าเถื่อนและไร้ปัญญาไม่สามารถคิดนอกกรอบชาตินิยมได้

ความเห็นเช่นนั้นต่างหากที่มิได้ตระหนักว่าอารยธรรมมนุษย์พัฒนาไปถึงจุดที่การอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างประเทศต่างๆ ทำให้เส้นเขตแดนกลายเป็นเรื่องเล็ก แม้ว่าอธิปไตยเหนือดินแดนยังเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของรัฐทุกรัฐบนโลกนี้ ผู้คนตามชายแดนไม่ต้องกลัวลูกระเบิดกระสุนปืนจนอาจตายในสงครามโง่ๆ ดังที่อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เคยว่าไว้ แล้วในปัจจุบัน เราพอทำอะไรได้หรือไม่ ที่จะประคับประคองรอจนกว่าเงื่อนไขจะเหมาะกว่าที่เป็นอยู่



ทางออกที่เหมาะสมที่สุดในปัจจุบันคือ เฝ้าระวังมิให้ระเบิดเวลาใกล้จุดระเบิด อย่าให้ชนวนถูกจุดขึ้นมา ไม่ต้องหวังจะแก้ปัญหาให้สิ้นสุดในปัจจุบัน ใช้วิธีค่อยๆ ทำไปช้าๆ แก้ปัญหาทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ รอเงื่อนไขโอกาสที่เหมาะสมกว่านี้ในอนาคตค่อยพิจารณาการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ความขัดแย้งระหว่างไทย-ลาวที่บ้านร่มเกล้าเมื่อปี 2530-2531 เสียชีวิตทหารสองฝ่ายไปหลายร้อยนายนั้น จนปัจจุบันทั้งสองฝ่ายคงตระหนักว่าไม่มีทางแก้ปัญหาได้อย่างเด็ดขาดเสร็จสิ้นไปในปัจจุบัน

ดอนทรายในลำน้ำโขงเปลี่ยนแปลงเร็วมาก สนธิสัญญาซึ่งกำหนดให้เส้นเขตแดนอยู่ตรงร่องน้ำลึกระหว่างดอนทรายใหญ่ที่สุดกับฝั่งไทย ก็ได้แต่เฝ้าสำรวจดอนทรายและร่องน้ำลึกเหล่านั้นที่เปลี่ยนไปเป็นระยะๆ สันปันน้ำทุกแห่งที่เป็นเส้นเขตแดนก็เช่นกัน เจรจากันไปช้าๆ เท่าที่ได้ หากไม่ได้ก็เก็บปัญหาไว้ก่อน ค่อยๆ ระวังไม่ให้ระเบิดขึ้นมา แก้ไขไปเรื่อยๆ

เหล่านี้เป็นนโยบายที่ชาญฉลาดที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งแบบโง่ๆ จนกว่าสังคมของคู่กรณีทุกฝ่ายจะเห็นตรงกันว่าชีวิตมนุษย์และสันติภาพสำคัญกว่าเส้นเขตแดน

https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_856668